วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อาหารเพื่อสูขภาพ 5 ผัก บํารุงสายตาให้แจ่มแจ๋ว

อาหารเพื่อสุขภาพ

ทาน 5 ผัก บำรุงสายตา (Woman Plus)

          วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับผักแสนอร่อย 5 ชนิด ที่จะช่วยบำรุงสายตาของเราให้จัดเจนแจ่มแจ๋วกันนะคะ ใครอยากรู้ว่ามีผักอะไรบ้าง รอติดตามกันเลยค่ะ

อาหารเพื่อสุขภาพ

 ผักบุ้ง

          ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา สายตาสั้น แสบตา จะกินผักบุ้งก็ต้องกินผักบุ้งดิบ รับทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย นอกจากวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด

อาหารเพื่อสุขภาพ

 แครอท

          แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้มันก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแคโรทีนก็คือ วิตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาเพราะมันมีผลต่อปฏิกริยาเคมีของดวงตาต่อแสง วิตามินเอยังช่วยให้มีผิวที่ดีอีกด้วย และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่นมะเร็งได้ดี


ตำลึง

 ตำลึง

          ตำลึงมีคุณค่าทางอาหารสูง มีเบต้าแคโรทีนที่ดีที่สุด เบต้าแคโรทีนเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ เบต้าแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด

อาหารเพื่อสุขภาพ

 คะน้า

          คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ

อาหารเพื่อสุขภาพ

 ฟักทอง

          ฟักทองมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร บำรุงตับไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว มีสารลูทีนป้องกันการเสื่อมของจุดหรือแสงสีของเรตินา มีวิตามินเอบำรุงสายตา มีเบตาแคโรทีนซึ่งมีสาร Antioxidant สูงจึงช่วยต้านมะเร็งได้อีกด้วย

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 ปีศาจในตํานานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีก

10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ


บ่อยครั้งที่ทีนเอ็มไทยนำเสนอให้เพื่อนๆ รู้จักกับ ปีศาจหรือสัตว์ในตำนานกรีก, ญี่ปุ่น, จีน ซึ่งเราก็พอจะรู้จักกันมาเยอะพอสมควรแล้ว เช่นองค์เทพ, เมดูซ่า, มังกร เป็นต้น แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง ปีศาจในตำนานของชาวไอริชหรือชาวเซลติค ที่เขาพูดถึงสืบต่อกันมาดูบ้าง ขอบอกเลยว่ารูปร่างหน้าตาแปลกสุดๆ แถมร้ายกาจไม่แพ้ของชาติอื่นๆ เลย ^^ 10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Questing Beast

10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ

อันดับที่ 10 : Questing Beast 
สัตว์ปีศาจตัวนี้มีชื่อว่า Questing Beast ซึ่งมีลักษณะเหมือนงู แต่ตามจริงแล้ว มันก็ไม่เชิงงูซะทีเดียว เพราะตัวมันมีสัตว์หลายชนิดประกอบรวมร่างกัน คือ มีหัวเป็นงู ตัวเป็นเสือดาว ตูดเป็นสิงโต กีบเท้าเป็นกวาง แถมเสียงร้องของมันดังพอๆกับหมา 30 ตัวเห่า! OMG แต่ปีศาจตัวนี้ค่อนข้างซวยกว่าปีศาจตัวอื่น เพราะว่ามันถูกอัศวินตามล่าตลอดหลังจากได้ยินข่าวเกี่ยวกับมันแพร่สะพัดออกไป นอกจากนี้ เจ้าตัว Questing Beast ไม่ได้มีอยู่แค่ในตำนานเซลติคเท่านั้น แต่ยังไปโผล่ในเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์อีกด้วย
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Leanan Sidhe เธอคือ แวมไพร์ไฮโซ
 อันดับที่ 9 : Leanan Sidhe เธอคือ แวมไพร์ไฮโซ
Leanan Sidhe เป็นทั้งเทพทางด้านบทกวีและปีศาจในตัวเดียวกัน อีกทั้งยังถูกจัดเป็น 1 ในแวมไพร์อีกตัวหนึ่งในตำนานของเซลติคอีกด้วย ซึ่งตามตำนานของนางนั้น เป็นหญิงที่มีความสวยงาม และจะมองหาคนรัก(เหยื่อนั่นแหละ) ที่เป็นนักดนตรีหรือนักกวีโดยเฉพาะ! โดยในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้น เธอก็จะแชร์ความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บทเพลง กวี หรือเวทมนต์ ซึ่งนั่นก็จะทำให้คนรักของเธอค่อยๆ รักหลงจนโงหัวไม่ขึ้น และเมื่อถึงเวลา Leanan Sidhe ก็จะจากคนรักไป ปล่อยให้คนรักค่อยๆ ทรมาน หมดกำลังใจ สิ้นหวังไปเรื่อยๆ จนตรอมใจตาย นางใจร้ายจัง >,<
หลังจากนั้น เธอจะปรากฏตัวอีกครั้งก่อนจะนำร่างที่ไร้วิญญาณของคนรักไปยังที่ซ่อน แต่แทนที่เธอจะดูดเลือดจากเหยื่อแบบแวมไพร์ทั่วไป เธอกลับเอาเลือดของคนรักที่ตายนั้น เทลงใส่ในหม้อสีแดงขนาดใหญ่แล้วค่อยตักมาดื่ม (จะดื่มเลือดทั้งทียุ่งยากจัง) ซึ่งหม้อนี่เป็นแหล่งพลังงานหลักที่ทำให้เธอสวยเป๊ะ! และมีความสามารถทางด้านบทกวีตลอดเวลา ส่วนวิธีป้องกันนั้น ก่อนอื่นก็ต้องหาที่ซ่อนของ Leanan Sidhe ให้ได้ก่อน จากนั้นให้นำแผ่นหินมาปิดทางเข้าไว้ (แค่นี้กันนางได้แล้วหรอ?)
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Caorthannach ปีศาจเลื้อยคลานพ่นไฟแห่งเซลติค
อันดับที่ 8 : Caorthannachปีศาจเลื้อยคลานพ่นไฟแห่งเซลติค
เรื่องราวของ Caorthannach เริ่มขึ้นในยุคสมัยของนักบุญแพทริก(St. Patrick) ซึ่งขณะนั้นเขาได้ขึ้นไปที่ยอดเขา Croagh Patrick เพื่อสวดขับไล่งูและปีศาจออกจากเกาะไอร์แลนด์ให้จมลงไปยังใต้ทะเล แต่ว่ามีปีศาจอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า Caorthannach ซึ่งมีลักษณะเหมือนงูขนาดใหญ่สามารถพ่นไฟได้ กำลังเลื้อยหนีลงไปจากภูเขา นักบุญแพทริกก็ดันไปเห็นพอดี พร้อมกับไล่ตาม Caorthannach ไปด้วยม้าที่เร็วที่สุดบนเกาะไอร์แลนด์
ซึ่งการไล่ล่านี้กินเวลานานพอสมควร Caorthannach รู้ว่า นักบุญแพทริกจะต้องกระหายน้ำแน่ๆ จึงได้ทำการพ่นไฟและคายพิษลงในทุกๆบ่อน้ำที่เลื้อยผ่าน แต่ทางนักบุญแพทริกก็เหมือนจะรู้ทัน เลยไม่ยอมดื่มน้ำซักหยด พร้อมกับสวดมนต์อ้อนวอนขอคำแนะนำจากพระเจ้า และแล้วการไล่ล่าก็มาถึงตอนจบ นักบุญแพทริกได้มาดักรอ Caorthannach ที่เนินหิน Hawks Rock และเมื่อ Caorthannach มาถึง นักบุญแพทริกก็ออกจากที่ซ่อนพร้อมกับสวดขับไล่เพียงคำพูดเดียว Caorthannach ก็หนีจากเกาะไอร์แลนด์ก่อนจะจมน้ำตายลงในทะเล
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Kelpie ม้าน้ำปีศาจ
อันดับที่ 7 : Kelpie ม้าน้ำปีศาจ 
เคลพีเป็นปีศาจจำพวกพรายน้ำในนิทานพื้นบ้านของสกอตแลนด์ มีลักษณะเป็นม้าสีขาวหรือกึ่งคนกึ่งม้า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเซนทอร์, ลิมนาเดส และสคิลลา ในเทพปกรณัมกรีก และม้าบ้อง สิงสถิตย์อยู่ยังแม่น้ำ, ทะเลสาบหรือ หนองน้ำ แหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ เคลพี ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น นักเกิล (Nuggle) ชูพิลที (Shoopiltee) โยเกิล (Njogel) แทงกี (Tangi) ในตำนานสแกนดิเนเวียเรียกว่า Bäckahästen (แปลว่า ม้าลำธาร) ในนอร์เวย์เรียก nøkken (หมายถึง พรายน้ำ)
ลักษณะผิวจะเรียบแต่เย็นเหมือนผิวคนตายหากได้สัมผัส เคลพี จะล่อลวงคนที่หยุดพักที่ริมน้ำที่มันอาศัยอยู่ ขณะที่หยุดพักดื่มน้ำ มันจะปรากฏตัวเป็นม้าสีขาวที่สงบเสงี่ยม แต่เมื่อขึ้นขี่หลังมัน มันจะพาดำดิ่งสู่ก้นน้ำทันที จนบุคคลนั้นจมน้ำตาย ซึ่งเคลพีจะกินซากศพจนเหลือเพียงหัวใจหรือตับไว้
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Kelpie ม้าน้ำปีศาจ
บางครั้ง นอกจาก Kelpie จะแปลงเป็นม้าแล้ว มันยังสามารถแปลงเป็นหนุ่มหล่อหรือหญิงสาวแสนสวยเพื่อล่อเหยื่อให้มาติดกับได้ด้วย! มีเรื่องของเคลพีที่แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อแต่งงานกับหญิงสาว ก็มี ส่วนวิธีดูว่าเป็น Kelpie แปลงมาหรือไม่ ให้ดูที่หัว หากบนหัวมีสาหร่ายปกคลุมอยู่ นั่นก็หมายความว่าเป็น Kelpie แน่นอน แต่วิธีนี้ ใช้ดูได้เฉพาะเวลาที่ Kelpie แปลงเป็นผู้ชายเท่านั้น ส่วนถ้าแปลงเป็นผู้หญิง ก็วัดตามความซวยแล้วกันนะคะ >,<
มีนิทานของชาวสก๊อต กล่าวถึงเรื่องของเจ้าปีศาจม้าน้ำนี้เหมือนกัน เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็ก 9 คนถูก Kelpie ล่อให้ขี่ไปบนหลัง (ขี่กันยังไงฟระตั้ง 9 คน) เหลือเด็กคนที่ 10 เท่านั้นที่กำลังวิ่งหนี ขณะที่เจ้าม้าน้ำกำลังวิ่งไล่กวด เด็กคนที่ 10 ก็ใช้หมัดต่อยสวนไปที่จมูก แต่ดันลืมไปว่าผิวม้าน้ำปีศาจนั้นเหนียวอย่างกับกาวตราช้างทำให้ดึงมือออกไม่ได้ เด็กคนนี้เลยตัดสินใจควักมีดออกมาตัดมือของตัวเองที่ติดอยู่กับม้าน้ำปีศาจ และหนีออกมาได้ ส่วนเด็ก 9 คนที่เหลือก็ถูกพาลงไปใต้น้ำพร้อมกับ Kelpie
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Carman ราชินีจอมเวทย์มนต์ดำ
อันดับที่ 6 :  Carman ราชินีจอมเวทย์มนต์ดำ
Carman เป็นเทพนักรบหญิงของเซลติคและเป็นคนที่ใช้เวทมนต์ดำในการเข้ารุกรานแผ่นดินไอร์แลนด์ในยุคของมนุษย์ พร้อมกับลูกๆทั้ง 3 คน ได้แก่ “Dub (ความมืด)”, “Dother (ปีศาจ)” และ “Dian (ความรุนแรง)” Carman ได้ใช้เวทมนต์ดำของเธอทำลายพืชไร่ต่างๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ขวางทางเธอและลูกๆ แต่แล้วก็มีผู้กล้าทั้ง 4 ได้ต่อกรกับ Carman และลูกๆทั้ง 3 ซึ่งมี Crichinbel, Lugh, B Chuille และ Aoi การต่อสู้ครั้งนี้ ลูกๆทั้ง 3 ถูกขับไล่ออกไปจากเกาะไอร์แลนด์ ส่วน Carman ถูกจับขังคุกก่อนจะตายภายในคุกนั่น
ศพของ Carman ว่ากันว่า ถูกฝังไว้ที่เมือง Wexford ในกลุ่มของต้นไม้โอ๊ค ซึ่งขุดโดยกษัตริย์ Eochaid Bres และหลังจากฝั่งศพแล้ว ก็มีการเรียกชื่อหลุมศพนี้ว่า Carman ตามชื่อของเธอและต่อมาก็ได้มีการจัดเทศกาล Carman ในวันที่ 1 สิงหาคมของทุกปี
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Sluagh วิญญาณคนบาปจากตะวันตก
อันดับที่ 5 : Sluagh วิญญาณคนบาปจากตะวันตก
Sluagh เป็นดวงวิญญาณของคนที่ตายแล้วไม่ได้ไปสู่สุคติ ซึ่งดวงวิญญาณเหล่านี้ครั้งนึงในอดีตเคยทำบาปมหันต์เอาไว้ หรือเป็นดวงวิญญาณที่สุดเกินจะบรรยาย ถึงขนาดสวรรค์ไม่กล้าเปิดรับและนรกยังต้องถีบส่งขึ้นมา โดย Sluagh นี้จะบินรวมกลุ่มกันมาเหมือนฝูงนกมาจากทิศตะวันตก(ทิศคนตาย) และจะไม่ลงมาเหยียบบนพื้นเลย อีกทั้งยังส่งเสียงกรีดร้องเป็นระยะ โดยมีเป้าหมายก็คือ บ้านที่มีคนตาย ซึ่งเจ้า Sluagh จะพยายามเข้าไปในบ้านเพื่อเอาดวงวิญญาณไปอยู่ด้วย นั่นก็หมายความว่า ดวงวิญญาณนั้นจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด บางบ้านก็จะปิดหน้าต่างทางทิศตะวันตกเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้ Sluagh เข้ามา บ้างก็บอกว่า Sluagh ยังสามารถลักพาตัวคนบริสุทธิ์ดวงซวยได้ ก่อนจะนำวิญญาณคนที่จับมาได้ไปอยู่ด้วยกันตลอดกาล
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Balor ราชาแห่งเหล่าปีศาจ
อันดับที่ 4 : Balor ราชาแห่งเหล่าปีศาจ

Balor ในตำนานของเซลติคนั้น กล่าวไว้ว่า เป็นราชาของเหล่า Fomorian ซึ่งเป็นสายพันธุ์ยักษ์ (Fomorian ในภาษาไอริชจะมีความหมายตรงกับคำว่า demigod ซึ่งหมายถึง พวกกึ่งหรือมีพลังเกือบเทียบเท่าพระเจ้า) มีเมียชื่อว่า “Cethlenn” อาศัยอยู่บนเกาะ Tory (Tory island) มีดวงตาที่ด้านหน้า 1 ดวง และด้านหลังอีก 1 ดวง ทำให้สามารถมองได้เกือบรอบทิศและไม่มีใครสามารถลอบทำร้ายเค้าจากด้านหลังได้เลย อีกทั้งยังปล่อยแสงได้ด้วย ตามคำทำนายนั้นกล่าวไว้ว่า Balor จะถูกหลานชายตัวเองฆ่าตาย และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความซวยที่จะเกิดกับตัวเอง Balor ก็ได้เตรียมแผนการณ์เอาไว้
Balor ได้ทำการขัง “Ethlinn” ลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองไว้ในหอคอยคริสตัลเพื่อกันไม่ให้ใครไปซั่มนางท้อง >,< แต่ยังไงก็ตาม ความกำหนัดก็ยังมีอยู่บนทั่วโลกโดยเฉพาะมนุษย์ เมื่อชายนามว่า “Cian” ได้ทำการลอบเข้าไปช่วยลูกสาวนาง Ethlinn ที่ถูกขังอยู่โดยมี “Birog”คอยให้ความช่วยเหลือ หลังจากซั่มกันแล้ว Ethlinn ก็ได้คลอดเด็กออกมา 3 คน แต่ Balor รู้เรื่องนี้เข้าก็เลยจับเด็กทั้ง 3 โยนในมหาสมุทร โชคยังดี มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่ Birog สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ก่อนจะนำไปให้ “Manannan mac Lir” ซึ่งเป็นมนุษย์รับเลี้ยงไว้ และได้ตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่า “Lugh Lamhfada”
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Balor ราชาแห่งเหล่าปีศาจ

หลังจาก Lugh โตขึ้นแล้ว ก็ได้นำมนุษย์เข้าต่อสู้กับเหล่า Fomorian ซึ่งมี Balor เป็นคนนำทัพในสงคราม Mag Tuired ครั้งที่ 2 และผลก็เป็นตามคำทำนายเอาไว้ Lugh ได้ใช้หนังสติ๊กยิงก้อนหินเข้าเบ้าตาข้างหน้าของ Balor ทะลุออกไปยังด้านหลัง ทำให้ Balor เสียชีวิตทันที (บางตำนานกล่าวไว้ว่า Lugh ใช้หอกแทงไปที่เข้าตา หรือ Lugh ตัดหัวของ Balor แล้วใช้ดวงตาที่ปล่อยแสงได้ใส่ไปยังพวก Fomorian)
ในตำนานหนึ่งบอกไว้ว่า หลังจากที่ Balor ถูกฆ่าตายแล้ว ดวงตายังไม่ปิดสนิท ทำให้ปล่อยลำแสงลงพื้นไปเรื่อยๆ และด้วยอนุภาพของมัน ทำให้เกิดเป็นพื้นที่กว้างก่อนจะมีน้ำเข้ามาจนกลายเป็นทะเลสาปที่มีชื่อว่า “Loch na Sul” หรือ “ทะเลสาปแห่งดวงตา” ซึ่งอยู่ในประเทศ Sligo บนเกาะไอร์แลนด์ ส่วนพวก Fomorian ที่เหลือรอดจากสงครามก็ได้กลายเป็นปีศาจอาศัยอยู่ในทะเลพร้อมกับรอดักจับมนุษย์ที่หลงเข้ามาในบริเวณทะเลนั้นๆ
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Banshee
อันดับที่ 3 : Banshee
Banshee เป็นปีศาจอีกตัวหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้ตัวอื่นในตำนานของชาวไอริช โดย Banshee นี้มีชื่ออื่นๆอีกมากมาย เช่น Banshee, Banshi, Benshee, เทพธิดา(a female fairy), สตรีแห่งความสงบ(Woman of Peace), สตรีแห่งความตาย(Lady of Death), ยมฑูต(the Angel of Death), สตรีชุดขาวแห่งความโศกเศร้า(the White Lady of Sorrow), ภูติแห่งอากาศ(the Nymph of the Air) หรือ วิญญาณแห่งอากาศ(the Spirit of the Air)
Banshee ในความเชื่อของชาวไอริชเชื่อว่า เธอจะปรากฏกายในชุดสีเทาหรือไม่ก็สีขาว ผมยาวสีเทามีหวีสีเงินติดอยู่ โดยในตำนาน Banshee จะติดตามอยู่กับครอบครัวตระกูลเก่าแก่ของชาวไอริช ซึ่งจะรู้โดยจากการสังเกตที่นามสกุลของพวกเค้า หากหน้านามสกุลมีตัวโอ(O) หรือคำว่าแมค(Mac) แต่ Banshee จะตามคนในครอบครัวนี้แค่เฉพาะแผ่นดินไอร์แลนด์เท่านั้น หากคนออกไปนอกพื้นที่ไปยังประเทศอื่นก็จะไม่ตาม เพราะ Banshee รักแผ่นดินเกิดมาก นอกจากนี้ Banshee ยังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
1. Banshee ประเภทดี
Banshee ประเภทนี้มีชื่อเรียกว่า Caspernia จะทำหน้าที่เฝ้าดูคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิดและเป็นห่วง จนกระทั่งเมื่อคนๆหนึ่งในครอบครัวกำลังจะถึงวาระสุดท้าย เธอก็จะปรากฏในรูปลักษณ์ผู้หญิงวัยสาว ใบหน้าซีด ผมยาวสีทองหรือสีดำ พร้อมกับเสื้อผ้าสีขาว ก่อนจะร้องเพลงที่มีเนื้อหาโศกเศร้าเสียใจและแสดงถึงความรักต่อคนในครอบครัวที่กำลังจะเสียชีวิต
2. Banshee ประเภทร้าย
Banshee อาฆาตนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนธรรมดา แต่ว่าในช่วงระหว่างที่ยังมีชีวิต กลับเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องเกลียดคนในครอบครัว และเมื่อหลังจากตายไป เธอก็กลายเป็น Banshee ก่อนจะมาเกาะติดกับครอบครัวที่มีความแค้น และเมื่อถึงวาระของคนในครอบครัวนั้นตาย Banshee ก็จะปรากฏตัวพร้อมใบหน้าที่บิดเบี้ยวและน่าเกลียดพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องอย่างสะใจเป็นเวลา 3 ครั้งที่ได้เห็นคนในครอบครัวนั้นตาย
ปล. บางครั้งก็บอกว่า Banshee จับมือแท็กทีมกับ Dullahan เดินทางไปด้วยกันยามค่ำคืน โดย Banshee จะนั่งอยู่ในรถม้า ส่วน Dullahan ก็เป็นคนขับรถม้า
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Dullahan ผีไร้หัว
อันดับที่ 2 : Dullahan ผีไร้หัว
Dullahan ในตำนานของชาวไอริชกล่าวไว้ว่า เป็นชาย(หรือหญิงก็ได้) ในชุดสีดำ ไม่มีหัว ใช้มือซ้ายบังคับม้าเทียมโดยมีม้า 6 หรือ 8 ตัวไม่มีหัวคอยลากรถม้าที่ทำจากกระดูกคนตาย ส่วนหัวนั้นถูกมือข้างขวาคอยหิ้วเอาไว้ หรืออีกลักษณะนึงก็คือ เป็นร่างไร้หัวขี่ม้าสีดำตัวใหญ่ เช่นเดียวกันมือซ้ายจับบังเหียน ส่วนมือขวาก็หิ้วหัวตัวเอง
ว่ากันว่า Dullahan นั้นเป็นเหมือนลางบอกเหตุของความตาย ซึ่งถ้า Dullahan ไปที่บ้านใครแล้ว บ้านนั้นจะต้องมีคนตาย แต่คนตายในที่นี้หมายถึง หมดอายุขัยจริงๆ ไม่ได้ไปฆ่าคนแต่อย่างใด ส่วนการเดินทางไปรับวิญญาณนั้น เค้าก็จะควบม้าภายในความมืด โดยมีหัวที่ส่องแสงสีเขียวเป็นเหมือนกับตะเกียงยามค่ำคืน ดวงตาก็กลอกกลับไปมา ราวกับมองหาทุกสิ่งที่อยู่ละแวกนั้น
Dullahan ผีไร้หัว
Dullahan ผีไร้หัว

ลักษณะพิเศษของหัวยังไม่หมดแค่นี้! ดวงตาของ Dullahan นั้นสามารถมองข้ามไปยังอีกเขตของประเทศ ต่อให้เหยื่อหนีไปยังไงก็ตามหาเจออยู่ดี(มองการณ์ไกลจริงๆ) หรือถ้าบ้านไหนปกปิดว่าไม่มีคนที่ Dullahan ตามไปเก็บวิญญาณอยู่ Dullahan ก็สามารถรู้ได้โดยมองทะลุจิตใจของคนๆนั้นที่ปกปิดอยู่ได้ (หลอนเกิ๊นน)
ส่วนอาวุธของ Dullahan นั้น เป็นแส้ที่ทำมาจากกระดูกสันหลังของคน >,< หากใครที่คิดแอบดู Dullahan ระหว่างทำภารกิจ ก็จะถูกแส้ฟาดเข้าที่ดวงตาทำให้ตาบอดไปข้างกันเลยทีเดียว หลายคนอาจสงสัยว่า เฮ้ย! แล้วเอ็งไม่คิดจะส่งเสียงหรือกรีดร้องแบบผีตัวอื่นรึไง Dullahan ไม่ได้ใบ้รับประทาน เขาพูดได้แต่จะพูดแค่ชื่อของคนตายกับบ้านของคนตายที่กำลังจะไปเท่านั้น
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Dearg Due แวมไพร์สาวอาภัพรัก
อันดับที่ 1 : Dearg Due แวมไพร์สาวอาภัพรัก 
Dearg Due แปลในความเข้าใจของชาวบ้านก็คือ “แวมไพร์ หรือ ผีดูดเลือด (red blood sucker)” ซึ่งเรื่องราวของ Dearg Due นี้มีที่มาจาก หญิงสาวชาวไอริชนามว่า “Orga” ตำนานกล่าวไว้ว่า Orga เป็นหญิงสาวที่มีความงดงามมาก ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากสีแดง พร้อมกับผมสีทองที่ปลิวไสวยามต้องสายลม แน่นอนว่า เมื่อ Orga สวยแล้ว ย่อมมีชายหื่นจำนวนไม่น้อยที่หวังอยากได้เธอมาเป็นแฟน แต่ Orga นั้นไม่สนใจใครเลยจนไปตกหลุมรักชื่อ Grian เป็นคนยากจน คีบแตะช้างดาวไปไหนมาไหน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ด้วยความรักของบริสุทธิ์ของเค้าแล้ว ทำให้ Orga มองข้ามเรื่องฐานะไปเลย
แต่ความรักของทั้งคู่ก็ต้องสะบั้นลง เมื่อพ่อของ Orga ไม่ให้เธอแต่งงานกับไอ้หนุ่มคนที่เธอรัก แต่จะยกให้เศรษฐีผู้มั่งคั่งเพื่อแลกกับที่ดินและทรัพย์สินจำนวนมากแทน และหลังจากผ่านการแต่งงานอันน่าขมขื่นไป Orga สาวน้อยผู้น่ารักก็ดวงตกทันที จากวันปกติที่เธอใช้เวลามีความสุขกับการตกปลาหรือวิ่งเล่นบนทุ่งหญ้า ก็กลายเป็นว่าเธอถูกสามีใหม่ผู้โหดร้ายกักขังเอาไว้อย่างโดดเดี่ยว แถมยังถูกซ้อมตบตีสารพัด Orga รู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตภายในห้องขังมืดๆ กินอะไรก็ไม่ได้ นอนก็ไม่เคยจะหลับเต็มตื่น ไม่นานนักเธอก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการดื่มยาพิษ (แต่บางแหล่งก็บอกว่า เธอตรอมใจตาย)
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Dearg Due แวมไพร์สาวอาภัพรัก
ศพของเธอถูกฝังอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีใหญ่โตอะไร และไม่มีใครเสียน้ำตาให้เธอเลย สามีจอมโฉดก็มีเมียใหม่ ส่วนพ่อสุดชั่วของเธอกับลูกพี่ลูกน้องก็ใช้ชีวิตหรูหราโดยลืมเรื่องราวของเธอไปซะสนิท มีแต่เพียงไอ้หนุ่มคนรักของเธอที่มาคร่ำครวญร้องไห้ที่หลุมศพทุกวันพร้อมกับภาวนาให้เธอฟื้นขึ้นมา และเหมือนคำขอนั้นจะเป็นจริง เวลาผ่านไปปีกว่าๆ ในคืนหนึ่ง Orga ก็ลุกขึ้นมาจากหลุมศพพร้อมกับความแค้นที่สะสมมานานนับปี ก่อนจะมุ่งตรงไปหาพ่ออันสุดที่รัก!!(กัดฟันพูด) เมื่อเห็นพ่อสุดที่รักนอนอยู่ เธอก็ค่อยๆ เอาริมฝีปากเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับดูดเอาพลังชีวิตมาจนหมด เธอเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังในร่างกาย หลังจากจัดการพ่อไปแล้ว เธอก็รีบไปหาอดีตสามีสุดชั่วทันที
10 ปีศาจในตำนานชาวไอริช โหดไม่แพ้ของกรีกเลยอ่ะ
Dearg Due แวมไพร์สาวอาภัพรัก
อดีตสามีของ Orga กำลังกินตับกับสาววัยเอ๊าะๆ นางหนึ่งในห้องนอน โดยไม่ได้สนใจว่าอดีตเมียหลวงได้มาเยือนแล้ว ด้วยความแค้นที่สะสมมานาน Orga รีบบึ่งเข้าไปล็อคตัวเอาไว้พร้อมกับฝังเขี้ยวลงไปที่ซอกคอก่อนจะดูดเลือดมาจนหมด ณ วินาทีนั้นเอง ร่างกายของ Orga ก็กลับมาเป็นสาวอีกครั้ง ความคิดถึงคนรักเก่าพลันหายไปพร้อมกับความอยากกระหายเลือดสดๆ ที่เข้ามาแทน โดยทุกๆ 1 คืนในแต่ละปี Orga จะลุกจากหลุมศพขึ้นมาหาเหยื่อเพื่อเติมความสวยงามของเธอ ก่อนจะกลับลงไปยังหลุมอีกครั้งก่อนแสงอาทิตย์จะขึ้น
ว่ากันว่า หลุมศพของ Orga ถูกฝังไว้ในเมือง Waterford ทางใต้ของประเทศไอร์แลนด์ ส่วนวิธีป้องกันไม่ให้ Dearg Due ลุกขึ้นมาจากหลุมศพได้ เค้าจะใช้หินมากองทับไว้ที่บนหลุมศพครับเพื่อไม่ให้เธอลุกขึ้นมาได้นั่นเอง ..
เรียบเรียง teen.mthai.com
ของคุณข้อมูล http://www.soccersuck.com/boards/topic/890127,irishcentral,kittythedreamer,wikipedia


7 ข้อดี ช็อกโกแลต ที่คุณไม่รุ้

ช็อกโกแลต เป็นอีกหนึ่งของหวานที่สาวๆหลายๆคนชื่นชอบ แต่บางคนก็คิดว่า ช็อกโกแลต หวานๆแบบนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆ ไหนจะกลัวอ้วน แล้วยังเคยได้ยินว่ากินแล้วทำให้สิวขึ้นอีกด้วย แต่คุณอาจจะคิดผิดนะคะ เพราะจริงๆแล้ว ช็อกโกแลต มีประโยชน์หลายด้านเลยทีเดียว ไปดูกันดีกว่าค่ะ ว่า ช็อกโกแลต มีประโยชน์อะไรบ้าง ก่อนที่จะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

iStock_000016088140_Small

1. ลดความอ่อนเยาว์ ดูเด็กขึ้น  ช็อกโกแลต เป็นอาหารที่อุดมด้วยแอนตี้ออกซิเดนท์ที่ช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะหรือความเครียด
2. ใน ช็อกโกแลต มีแมกนีเซียมสูง ซึ่งแมกนีเซียมนั้นมีประโยชน์ต่อการทำงานหัวใจและความดันโลหิตสูง
3. ต่อสู้กับอาการก่อนมีประจำเดือนได้ แมกนีเซียมใน ช็อกโกแลต จะเข้าไปช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีผลต่ออารมณ์คุณผู้หญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือนนั่นเอง
4. ช็อกโกแลต ตัวช่วยลดเครียด  เพราะมีกรดอะมิโนทริปโตฟานสามารถเปลี่ยนเป็นเซโรโทนินในร่างกายได้ ลดเครียดได้แบบไม่ต้องออกกำลังกาย
5. ช็อกโกแลต ช่วยผิวสวย  จากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเพนซิเวเนียในสหรัฐฯ ซึ่งให้คนไข้ที่เป็นสิวอักเสบจำนวน 65 คน กินช็อกโกแลตในปริมาณมากๆ และพบว่า 46 คนไม่มีความเปลี่ยนแปลง  สำหรับในเรื่องสิว 10 คนดีขึ้น และ 9 คนแย่ลง บ่งชี้ว่าช็อกโกแลตไม่มีผลกระทบใดใดต่อการเป็นสิว
6. ช็อกโกแลต ช่วยให้ตื่นตัวและสดชื่น เพราะอุดมไปด้วยพลังงานและคาเฟอีน
7. บรรเทาอาการไอ เนื่องจากสารประกอบที่ชื่อ ธีโอโบรไมน์ ในช็อกโกแลตมีประสิทธิภาพในการลดอาการไอ โดยไม่มีผลข้างเคียง

ขอบคุณที่มาจาก : www.foremostforlife.com

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนต์ต่างประเทศ

6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ


เวลาเราชมภาพยนตร์แต่ละเรื่องก็จะมีชื่อของค่ายภาพยนตร์ปรากฏให้เราได้เห็นกันตลอด เช่น Dream works – เด็กผู้ชายนั่งบนดวงจันทร์,  Metro-Goldwyn-Mayer (MGM) – สิงโตคำราม (แหมะอย่างกับทีมฟุตบอล), Paramount –  ภูเขา 22 ดาว เป็นต้น แล้วเราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมต้องเป็นรูปนี้ ที่มาสของรูปเหล่านั้นมาจากไหน วันนี้ทีนเอ็มไทยจะพาเพื่อนๆ ไปดูเกร็ดความรู้ น่าสนใจนี้กันคะ ^^ 6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ

6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ

6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
DreamWorks (DreamWorks Animation SKG, Inc.) – Boy on the Moon DreamWorks SKG
1. DreamWorks  - Boy on the Moon DreamWorks SKG
ในปี 1994 ที่ก่อตั้งโดยสามเจ้าพ่อแห่งฮอลลีวูด สตีเว่น สปีลเบิร์ก(teven Spielberg), เจฟฟรี่ย์ แคตเซนเบิร์ก (Jeffrey Katzenberg - ประธานของ Disney studio) และ เดวิด เกฟเฟ่น (David Geffen เจ้าของ Geffen records)  ได้ร่วมกันเปิดสตูดิโอใหม่ชื่อ DreamWorks (ใต้ชื่อ DreamWorks มีอักษรตัวแรกของชื่อทั้งสามอยู่ด้วย SKG) สตูดิโอติดอยู่ในชื่อ 100 บริษัทที่ดีที่สุดที่ทำงานด้วยของนิตยสารฟอร์จูน โดยอยู่ในอันดับ 47
โดยตอนที่คิดไอเดียโลโก้ของสตูดิโอ สปีลเบิร์กต้องการให้โลโก้มีกลิ่นอายของฮอลลีวูดยุคทอง แบบแรกที่คิดไว้คือผู้ชายตกปลาอยู่บนพระจันทร์เต็มดวง โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคสร้าง แต่ เดนนิส มูเรน จาก ILM ที่ร่วมงานกับสปีลเบิร์กมานาน เห็นว่าถ้าอยากให้ดูคลาสสิค ควรจะใช้ดินสอวาดมากกว่า หน้าที่นี้จึงตกเป็นของนักวาดภาพชื่อดัง โรเบิร์ต ฮันท์
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
ภาพที่วาดโดย Hunt ซึ่งเป็นรูปของลูกชายเขา William
เขาได้ดัดแปลงโลโก้ดั้งเดิมเสียใหม่ ให้พระจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเดียว แล้วก็เปลี่ยนจากผู้ชายมาเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็น วิลเลี่ยม ฮันท์ ลูกชายของเขานั่นเอง สปีลเบิร์กชื่นชอบโลโก้ฝีมือของฮันท์มากกว่าของเดิม จึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของสตูดิโอดรีมเวิร์คอย่างที่เห็น
DreamWorks Animation SKG, Inc. เป็นสตูดิโอแอนิเมชันสัญชาติอเมริกัน ที่ประสบความสำเร็จต่อเนื่องจากการผลิตภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชัน อย่างเรื่อง Shrek, Shark Tale, Madagascar, Over the Hedge,Bee Movie, Kung Fu Panda, Monsters vs. Aliens, และ How to Train Your Dragon
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
Metro-Goldwyn-Mayer (MGM)
 2. Metro-Goldwyn-Mayer (MGM) - Leo the Lion
ลีโอเดอะไลออน (Leo the Lion) เป็นตัวนำโชคของสตูดิโอภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งมีชื่อว่า เมโทร-โกลวิน-เมเยอร์ (Metro-Goldwyn-Mayer) เป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ที่โดดเด่นประจำสตูดิโอ สร้างสรรค์โดยผู้กำกับฝ่ายศิลป์ประจำพาราเมาต์พิกเจอส์ซึ่งมีชื่อว่า ลีโอเนียล เอส.ไลส์
สัญลักษณ์สิงโตคำรามถูกออกแบบเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1916 โดยเป็นของบริษัท Goldwyn Pictures ต่อมาในปี 1924 ได้รวมบริษัทเข้ากับ Metro Pictures และ Mayer Pictures กลายเป็นสตูดิโอ Metro-Goldwyn-Mayer หรือ MGM และยังใช้โลโก้สิงโตคำรามเช่นเดิม สิงโตที่เป็นนายแบบในโลโก้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เคยใช้มาแล้วทั้งหมด 5 ตัว
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
สิงโตทั้งหมด 5 ตัวที่รับบทเป็น “Leo The Lion”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีสิงโตทั้งหมด 5 ตัวที่รับบทเป็น “Leo The Lion”
1. สิงโตตัวแรกคือ Slats (สแลทส์) เป็นสิงโตตัวแรกที่ถูกมาใช้ในสตูดิโอโฉมใหม่ มันเกิดที่สวนสัตว์ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ สแลทส์ได้รับเลือกมาใช้ในภาพยนตร์ขาว-ดำทุกเรื่องในช่วงระหว่างปี 1924 - 1928 เป็นสิงโตที่ไม่มีใครเคยได้ยินเสียง เพราะเป็นยุคหนังเงียบ โดยโลโก้ต้นตำรับนี้ได้รับการออกแบบโดยโฮเวิร์ด ไดเอทส์ นอกจากนี้เขายังบอกไว้ว่า เขาได้ตัดสินใจนำสิงโตมาเป็นตัวนำโชคของสตูดิโอในฐานะเป็นของบรรณาการมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งมีทีมนักกีฬาที่มีชื่อเล่นอันเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ เดอะไลออนส์ เขายังได้เพิ่มแรงบันดาลใจถึงการสร้างเสียงคำรามของสิงโตซึ่งได้มาจากเพลงปลุกใจสู้ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่มีชื่อว่า “Roar, Lion, Roar”
2. สิงโตตัวที่ 2 Jackie แจ๊คกี้เจ้าของเสียงคำรามแรกที่ได้ยินโดยผู้ชม ถึงแม้ว่าตัวหนังยังจะเป็นหนังเงียบก็ตาม โดยที่เสียงคำรามจะถูกเล่นผ่านแผ่นเสียงแบบ phonograph ในขณะที่โลโก้กำลังถูกแสดง นอกจากนี้ Jackie ก็เป็นสิงโตตัวแรกที่ถูกฉายผ่านหนังแบบมีสีในปี 1932
3. สิงโตตัวที่ 3  ผู้ซึ่งโด่งดังที่สุดคือ Tanner (แทนเนอร์) เป็นตัวแรกที่ใช้ในยุคหนังสี แทนเนอร์ถูกนำมาใช้เป็นโลโก้ในภาพยนตร์ของเทคนิคัลเลอร์และการ์ตูนเอ็มจีเอ็มทั้งหมด (เช่นการ์ตูนซีรีส์ทอมกับเจอร์รี่) และใช้เป็นโลโก้ของสตูดิโอมาเป็นระยะเวลา 22 ปี ส่วนลีโอถูกนำมาใช้เป็นโลโก้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 นับเป็นระยะเวลา 53 ปี
4. สิงโตตัวที่ 4  เป็นตัวคั่นเวลา(น่าสงสาร>,<) เนื่องจากไม่มีชื่อ และใช้อยู่เพียง 2 ปี (1956 – 1958)
5.  leo  ลีโอสิงโตตัวที่ 5 มาตั้งแต่ปี 1958 จนถึงปัจจุบัน
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
20th Century Fox
3. 20th Century Fox (The Searchlight Logo 20th Century Fox)
หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า Fox ก่อตั้งโดย โจเซฟ เชนก์ ,เรย์มอนด์ กริฟฟิธ และ วิลเลียม โกเอตซ์ เมื่อ ค.ศ. 1935 เป็นการรวมตัวของ Twentieth Century Pictures และ Fox Film Company กลายเป็น Twentieth Century-Fox Film Corporation
เดิมโลโก้นี้เป็นของ Twentieth Century Pictures  ได้ถูกสร้างขึ้นในปี 1933 โดยศิลปินผู้มีชื่อเสียง เอมิล โคซ่า (Emil Kosa) และหลังจากการยุบรวมกันของทั้ง 2 ค่าย โคซ่าก็เล่นง่ายๆ ด้วยการใส่คำว่า Fox เข้าไปแทนที่คำว่า Pictures,Inc. (ฐาน 20th Century)
นอกจากนี้โคซ่า ยังโด่งดังจากการออกแบบภาพซากเทพีเสรีภาพใน Planet of the Apes ฉบับปี 1968 ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ ของโลโก้นี้ก็คือดนตรีประกอบ 20th Century Fanfare โดยฝีมือของ อัลเฟรด นิวแมน คอมโพเซอร์ในตำนานของฮอลลีวูด บริษัทและสตูดิโอ ตั้งอยู่ในเซ็นจูรี่ซิตี้ ของลอสแอนเจลิส ทางตะวันตกของเบเวอร์ลี ฮิลส์ ซึ่งมีภาพยนตร์สร้างชื่อมากมาย เช่น Titanic, Star Wars, Home Alone, Die Hard,  X-Men รวมถึงภาพยนตร์ตระกูล Alien และ Predator เป็นต้น
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
Paramount
4. Paramount (The Majestic Mountain Paramount Pictures)
ถือเป็นสตูดิโออเมริกันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังคงเป็นสตูดิโอหลักที่ยังมีฐานอยู่ในฮอลลีวูด พาราเมาต์เป็นสตูดิโอที่มีภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูง ๆ สตูดิโอหนึ่ง ภายใต้เจ้าของคนล่าสุด เวียคอม/ไวอาคอม (Viacom Inc. เป็นบริษัทสื่อมวลชนสัญชาติอเมริกัน ดำเนินงานส่วนใหญ่เกี่ยวกับ ภาพยนตร์และเคเบิลโทรทัศน์ และอื่น ๆ ถือเป็นเครือบริษัทประเภทสื่อที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากเดอะวอลต์ดิสนีย์ไทม์วอร์เนอร์ และนิวส์คอร์ปอเรชัน)
Paramount Pictures Corporation ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1912 โดย Adolph Zukor และสองพี่น้อง Frohman ( Daniel และ Charles ) ซึ่งชื่อ “พาราเมาท์” นั้นได้มาจากชื่ออพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งในฮอลลีวูด
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
The Majestic Mountain Paramount Pictures
ส่วนภาพโลโก้เทือกเขานี้ถูกร่างขึ้นครั้งแรกโดย W.W. Hodkinson (วิลเลี่ยม วอดสเวิร์ธ ฮอดกินสัน )โดยมีภูเขาเบน โลมอนด์ ในรัฐยูท่าห์เป็นต้นแบบ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา โลโก้ของพาราเมาท์เคยเปลี่ยนมาแล้วถึง 7 เวอร์ชั่น นับเป็นโลโก้ที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาสตูดิโอที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน (ใน Hollywood ) สำหรับเวอร์ชั่นปัจจุบันนั้นเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2002 โดยเปลี่ยนภูเขาต้นแบบเป็นภูเขาอาร์เตซอนราจู ในประเทศเปรูแทน โลโก้นี้เป็นโลโก้ที่มีอายุยาวนานที่สุดของ Hollywood
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
Warner Bros.
5.  Warner Bros. (The WB Shield Warner Bros.)
สตูดิโอวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ก่อตั้งโดยสี่พี่น้องชาวยิวตระกูล วอนสโกลาเซอร์ ได้แก่ แฮร์รี่, อัลเบิร์ต, แซม และ แจ็ค ก่อนจะเปลี่ยนนามสกุลเป็น วอร์เนอร์ สำหรับวอร์เนอร์ บราเธอร์สนั้นเป็นสตูดิโอแรกๆ ที่เริ่มสร้างหนังมีเสียง (หนึ่งในนั้นคือ The Jazz Singer) ทั้งที่แฮร์รี่พี่ใหญ่ของตระกูลเคยพูดไว้ว่า “ใครจะไปอยากฟังเสียงนักแสดงพูดกันล่ะ”
เอกลักษณ์ของโลโก้วอร์เนอร์ก็คือสัญลักษณ์รูปโล่ และมีตัวอักษร WB อยู่ข้างในมาตั้งแต่แรก แต่มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึง 11 เวอร์ชั่น โดยเวอร์ชั่นปัจจุบันนั้นเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1993 เป็นการย้อนกลับไปใช้รูปแบบโลโก้ที่สตูดิโอเคยใช้ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่มีการพัฒนากราฟฟิคให้ทันสมัยขึ้น
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
(The WB Shield Warner Bros.)
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
Columbia Pictures (The Torch Lady Columbia Pictures)
6. Columbia Pictures – The Torch Lady Columbia Pictures
สตูดิโอโคลัมเบีย นั้นถือกำเนิดครั้งแรกตั้งแต่ปี 1919 โดยพี่น้อง แฮร์รี่ และ แจ็ค คอห์น ภายใต้ชื่อ Cohn-Brandt-Cohn เป็นบริษัทที่สร้างแต่หนังทุนต่ำ จากนั้นก็พัฒนาเป็นโคลัมเบีย พิคเจอร์ในปี 1924 พร้อมเปลี่ยนโลโก้ใหม่เป็น “เทพีคบเพลิง” โดยมีต้นแบบมาจาก เซเรเน่ เทพีแห่งดวงจันทร์ในเทพนิยายกรีก เหมือนกับต้นแบบของเทพีเสรีภาพ จากนั้นโลโก้เทพีคบเพลิงก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยมีหญิงสาวที่เป็นต้นแบบมาแล้วหลายคน จนกระทั่งในเวอร์ชั่นปัจจุบันที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1993 นั้นออกแบบโดย ไมเคิล เจ.ดิแอส ครั้งแรกที่โลโก้ถูกใช้ในหนัง มีข่าวลือว่าต้นแบบคือ แอนเน็ต เบนนิ่ง เพราะหน้าตาคล้ายกันเหลือเกิน แต่ความจริงแล้วต้นแบบคือ เจนนี่ โจเซฟ สาวแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ดิแอสเลือกมา
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศ
Columbia Pictures – The Torch Lady Columbia Pictures
6 ที่มาของโลโก้ค่ายภาพยนตร์ต่างประเทศเรียบเรียงโดย teen.mthai.com ขอบคุณข้อมูล http://th.wikipedia.org,http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=42683.0;wap

9 เรื่องห้ามที่ คุ่รัก ห้ามทําในที่สาธารณะ!!!

สาวๆหลายคน ที่มีแฟน อาจจะเคยพบปัญหา คู่รักตามที่สาธารณะที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมกันใช่มั้ยละคะ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า นี่เหมาะหรือไม่เหมาะ ทำได้หรือไม่ได้ วันนี้เรามีคำแนะนำจากเวปไซต์ดีๆ จากต่างประเทศมาฝาก ที่แม้แต่ฝรั่งมังค่า เขาก็มองว่าไม่เหมาะสมด้วยนะเธอ ลองอ่านกันดู

Dispute in shop
1. ทะเลาะกันเสียงดัง
อาจมีหลายครั้งที่คุณและแฟนต่างทำอะไรไม่ถูกใจกัน และเผลอทะเลาะกันเสียงดัง ยิ่งบางทีคุณสองคน ต่างก็มีอารมณ์กันทั้งคู่ นอกจากจะทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญ คุณยังทำให้ตัวเองและคุณแฟนอับอายกันเองด้วย ถ้าคุณอยากตะโกนด่าท่อกัน แนะนำว่าให้เป็นที่ส่วนตัวของคุณสองคนดีกว่า ให้บอกคุณแฟนไว้ว่า ใจเย็น อย่าเสียงดัง ไว้ค่อยคุย
2. ลูบ คลำ หอม จูบ เล้าโลม
ลำพังการหอมแก้ม โอบ ระยะสั้นๆมันก็พอควรล่ะค่ะ สำหรับสังคมไทยเรา แต่ถ้าคุณจะทำอย่างครบรูปแบบล่ะก็ งานนี้ไม่ดีแล้วค่ะ ลองคิดดีๆว่า ถ้าคุณเห็นคู่รักนัวเนียกันตลอดเวลา คุณจะรู้สึกอย่างไรคะ แน่นอนค่ะว่ามีเม้าท์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนเม้าท์หรือเป็นขี้ปากคนอื่นก็ เก็บไว้ทำกันในที่ลับหรือบ้านดีกว่านะ
3. ทำร้ายความรู้สึกกันซึ่งๆหน้า
เช่น การเรียกชื่อที่ไม่เหมาะสม หรือ ทำให้ คู่รัก ของคุณด้อยลงไป เช่น ทำไมเธอถึงจนแบบนี้ มีเงินหรือเปล่าเนี่ย หรืออะไรก็ตามที่ถ้าคุณคิดว่า ถ้าคุณฟังแล้วคุณจะรู้สึกไม่ดี ก็อย่าพูดในที่สาธารณะเลยค่ะ ทำร้ายกันเปล่าๆนะ อีกอย่าง คุณเองก็จะถูกมองไม่ดีด้วยนะ

4. บอกเลิก
ไม่มีอะไรจะกระอักกระอ่วนไปกว่า การที่คุณต้องนั่งข้างๆคู่รักที่อยู่ในสถานการณ์มาคุ และพร้อมจะระเบิดตูม มันทำให้ทุกคนอึดอัดไปโดยปริยาย คู่รักขา คุณต้องเข้าใจนะคะว่า สถานที่สาธารณะ ไม่ใช่ของคุณคนเดียว โปรดสนใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย ยิ่งการบอกเลิก ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตคู่ของคุณ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการทะเลาะเสียงดัง หรือ ภาวะที่คู่รักอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ อย่าได้ทำเด็ดขาด
5. มุ้งมิ้งเกินควร ทำเสียงเด็กน้อย
คือถ้าไปทำเสียงมุ้งมิ้งในที่ที่ไม่ควร เช่น คุยโทรศัพท์กับแฟนในลิฟท์ .. ” พี่หมู เค้าคิดถึงน้า เค้าอยากกอดตัวเอง บลาๆ ” คุณขาาาาา มันไม่โอเคเลยค่ะ ถ้าคุณอยู่ในสภานที่ทีกว้างใหญ่ไพศาล คุณอาจจะทำมันได้ค่ะ ดูสถานที่ด้วยนะจ๊ะ
6. คุยทะลึ่ง ( Dirty Talk )
คุยทะลึ่งนี่อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงเท่ากับการ สวนลามคุณแฟน ในที่สาธารณะเลยก็ว่าได้ ทางที่ดีเก็บไว้คุยตอนอยู่ที่บ้านเถอะจ้า ตอนเจอช่วยคุยเรื่องอื่นเถอะนะ
7. คุยกันถึงเรื่องส่วนตัวมากไป
สาวๆเคยนั่งทานอาหารกับคนที่เขาคุยกันและเราไม่รู้เรื่องมั้ยคะ นั่นล่ะค่ะ มารยาทบนโต๊ะอาหาร หรือ เวลาคุณพาแฟนไปพบครอบครัว ถือว่าเป็นมารยาทเลยนะคะ คุณควรคุยเรื่องที่ครอบครัวของคุณรู้เรื่องด้วย การคุยเรื่องที่รู้กันเองสองคนนั้น “เสียมารยาท” มากนะจ๊ะ
8.อิจฉาออกนอกหน้า
สาวๆเอ๋ย บางทีคุณก็อาจจะ หึงเรี่ยราดเกินไป เช่น เมื่อคุณไปซื้อของที่ร้านค้า แคชเชียร์ยิ้มให้แฟนคุณทีนึง คุณก็ออกปาก อิจฉา หรือ บ่นทันที การกระทำแบบนี้ จะทำให้ทั้งคุณและคุณแฟนมีอายแน่นอนค่ะ อย่าทำนะจ๊ะ  มีไรก็เก็บไว้ก่อน หรือ คุยกันเบาๆเป็นสัญญาณให้รู้ดีกว่า  และถ้าเกิดโมเม้นท์นี้บ่อยๆล่ะก็ รีบเปิดประเด็นคุยกันซะนะ
9.  อวดเรื่องของคนอื่น ต่อหน้าแฟน
หลายครั้งที่เวลาคุณอวดเรื่องคนอื่น คนรอบข้างเขาได้ยินไงจ๊ะ ! เขาก็จะพากันตัดสินคุณทั้งคู่กันไปแล้ว ไม่ต้องอวดหรอกค่ะ การที่คุณมีแฟนอยู่เนี่ย มันก็ดีอยู่แล้วนะ อย่าเปรียบเทียบให้เสียเวลา หรือทำร้ายเขาอีกเลยนะ
ที่มา allwomanstalk
เรียบเรียงโดย Women Mthai Team

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก

7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก


มันก็ต้องเป็นธรรมดาของมนุษย์โลก เมื่อถึงคราวเกิดดวงซวยขึ้นมา ก็มีเรื่องเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ไม่คาดคิดเข้ามาหาตัวเสมอ แต่บางคนก็ยังมีโชคดีในความโชคร้ายนะ .. แล้วใครจะไปคาดเดาได้หล่ะจริงไหม? วันนี้ทีนเอ็มไทยนำ 7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันคะ อยากรู้ไหมว่าคนพวกนี้ดวงซวยสุดๆ ซวยแบบไป ซวยแปลกยังไง เอ้า! ไปติดตามอ่านกันเลย ^^
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
7. Jason and Jenny Cairns-Lawrence
เจสันและเจนนี่ แคนส์-ลอว์เรนซ์ เป็นสามี-ภรรยาคู่นี้ เป็นนักท่องเที่ยวที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อการร้ายบ่อยที่สุดในโลก ซึ่งถือว่าเป็นคู่มหัศจรรย์ที่พบเจอเรื่องหวาดกลัวเหล่านี้ทั้งๆ ที่ทั้งคู่อยู่ในเมือง และแต่ล่ะเหตุการณ์ล้วนโด่งดัง โดยเริ่มจาก เหตุการณ์ วันที่ 11 กันยายน 2001 ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในระหว่างไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดที่นิวยอร์ค เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 3000 คน
อีกสี่ปีต่อมาพวกเขากำลังสัญจรไปรอบๆ ในรถบัสในกรุงลอนดอน เมื่อ 7 กรกฎาคม 2005 และอยู่ในเหตุการณ์สี่ผู้ก่อการร้ายใช้ระเบิดฆ่าตัวตายด้วยการระเบิดรถไฟใต้ดินและรถโดยสาร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถูกยกให้เป็นการก่อการร้ายที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ และเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 52 คน เรื่องยังไม่จบ เมื่อ 26 พฤศจิกายนพวกเขาทั้งคู่อนู่มุมไบในประเทศอินเดีย และทั้งคู่ก็อยู่ในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อผู้ก่อการร้ายมุสลินหัวรุนแรงใช้ปืนยิงกราดและระเบิดหลายหน เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
 6. Violet Jessop
ไวโอเลต เจซซอป(2 ตุลาคม 1887 -5 พฤษภาคม 1971) เป็นพนักงานเสิร์ฟและพยาบาลบนเรือขนส่งที่สามารถรอดชีวิตจากเหตุการณ์เรือล่มสามครั้ง และหนึ่งในนั้นมีเรือไททานิกรวมอยู่ด้วย
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเธออายุ 26 ตอนนั้นเธอทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ บนเรือโอลิมปิกเรือดังกล่าวเป็นเรือพลเรือนสุดหรูที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้นเพราะมันยาวกว่าเรืออื่นๆ แต่แล้วตำนานของเธอก็เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 1911 เมื่อเรือโอลิมปิกดันไปชนกับเรือรบอังกฤษฮอว์คแต่เหตุการณ์นั้นไม่ค่อยรุนแรงนักอย่างมากก็แค่น้ำท่วมบนเรือและใบพัดบิดงอเท่านั้นเอง
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
หลังจากนั้นนางไวโอเลตก็ตัดสินใจมาเป็นพนักงานเสิร์ฟอีกครั้ง บนเรือแห่งประวัติศาสตร์ไททานิก RMS Titanic และถ้าจำไม่ผิดเธอปรากฏในภาพยนตร์ไททานิกด้วย) จนกระทั้งเรือล่มเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1912 เวลา 2340 น. เรือก็ชนกับภูเขาน้ำแข็งและเรือก็ล่ม ตอนนั้นเธอก็พยายามหนีตายเหมือนคนอื่น และเธอถูกสั่งให้ขึ้นบนด่านฟ้าเพราะเธอพนักงานที่พูดได้หลายภาษาที่สามารถควบคุมความวุ่นวายบนเรือได้ดี และเธอก็รอดชีวิตจากการลงเรือชูชีพพร้อมกับเด็กทารกที่ไม่รู้เป็นลูกของใครบนอ้อมอกของเธอ แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือกันตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ กัปตันไททานิกที่เธอทำงานอยู่ก็เป็นกัปดันคนเดิมจากเรือโอลิมปิกด้วย นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่หาได้ยากที่บุคคลหนึ่งอยู่ในอุบัติเหตุเรือล่ม 2 ครั้งโดยมีกัปตันคนเดียวกัน
เรื่องราวของเธอยังไม่จบ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เธอได้รับหน้าที่เป็นพยาบาลที่สภากาชาดอังกฤษ ในปี 1916 และได้อยู่ในคณะบนเรือบริทานิค His Majesty’s Hospital Ship Britannic แต่แล้วเรือก็แล่นเข้าไปในดงทุ่นระเบิด และจมลงอย่างรวดเร็ว ส่วนเธอกระโดดลงในน้ำเพราะเรือชูชีพอยู่ไกลเกินไปจนหัวของเธอกระแทกกับกระดูกงูเรือจนเกือบตาย แต่ก็รอดมาด้วยก่อที่จะถูกเรือชูชีพช่วยเหลือ หลังจากที่เธอรอดชีวิต เธอยังคงทำงานบนเรือเดินทะเลต่อไป จนกระทั้งเกษียณตนเองและเสียชีวิตในปี 1971 ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
 5. Robert Todd Lincoln
โรเบิร์ตทอดด์ ลินคอล์น (1 สิงหาคม 1843 — 26 กรกฎาคม 1926 )เป็น ชาวอเมริกัน ทนายความและ เสนาธิการทหาร และบุตรชายคนแรกของ ประธานาธิบดี อับราฮัมลินคอล์นและ แมรี่ทอดด์ลินคอล์น และเขาเป็นเพียงลูกคนเดียวในจำนวนสี่พี่น้องของลินคอล์นที่รอดชีวิตจนอายุเกินวัยรุ่น หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นพยานประวัติศาสตร์ที่เห็นการลอบสังหารของสามประธานาธิบดีที่แตกต่างกัน
เริ่มจากพ่อของเขาประธานาธิบดีลินคอล์น ตอนนั้นโรเบิร์ต อายุ 21 ปี เขาต้องสูญเสียพ่อ ต่อหน้าต่อตา จากเขาก็พาตัวเองเข้าสู่เส้นทางการเมืองโดยได้รับเลือกให้เป็นเสนาธิการทหาร ในตอนนั้น เจมส์ เอ. การ์ฟิล์ด เป็นประธานาธิปดีสหรัฐฯ จนกระทั้งปี 1881 หลังจากเขาเข้ารับงานใหม่ได้เพียง 4 เดือน ประธานาธิบดีการ์ฟิล์ด ชวนให้เขาไปเที่ยวที่นิวเจอร์ซี่ย์ และก่อนที่ทั้งคู่จะได้ก้าวเท้าขึ้นรถไฟ การ์ฟิล์ดถูกยิงร่วงลงไปกองกับพื้น โชคดีที่มีคนช่วยเขาไว้ทันเลยรอดตาย
จากนั้น 20 ปีไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นเลย จนกระทั่ง เขาได้รับเชิญจากประธานาธิบดีวิลเลี่ยม แม็คกินลีย์ ที่เพิ่งได้รับเลือก ซึ่งเขากลับมาดำรงตำแหน่งเป็นรอบ 2 ผลคือ ในระหว่างประธานาธิบดีกล่าวปาฐคถาก็มีคนยิงเขา 2 นัด เขาบาดเจ็บหนัก 8 วันและหลังจากนั้นก็เสียชีวิตลง แม้ลินคอล์นไม่ได้เห็นเหตุการณ์เสียทีเดียว แต่เขาอยู่ในห้องนั้น และได้ยินเสียงปืน และด้วยความรู้สึกดังกล่าวนี้เองทำให้เขาปฏิเสธคำเชิญจากประธานาธิบดีทุกคนให้มาดำรงตำแหน่งนับจากวันนั้นเป็นต้นมา
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
4. Ann Hodges
แอน เป็นมนุษย์คนเดียวในโลกที่ได้รับบาดเจ็บจากอุกกาบาตพุ่งชน เมื่อปี 1954 โดยหินดังกล่าวมีน้ำหนักถึง 4 กิโล โดนมันพุ่งทะลุฝ้ามาปาดสะโพกของเธอ
แอน มีชื่อเต็มว่า แอน อลิซาเบธ ฮ็อด์จ (1923-1972) เป็นชาวเมืองซิลาคอกา มลรัฐอลาบาม่าสหรัฐอเมริกา
เหตูการณ์ประวัติศาสตร์เกิดกับเธอเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1954 ในเวลาบ่ายเมื่อเธอกำลังงีบพักผ่อนอยู่บนโซฟา เกิดมีลูกอุกาบาตลุกเป็นไฟพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะแตกออกเป็น 3 ชิ้น และ ใน 3 ขนาดเท่าส้มโอ (หนัก 4 กิโลกรัม) ทะลุหลังคาบ้านของเธอ ลงบนคอนโซลวางวิทยุที่ทำด้วยไม้ และกระเด็นมาโดนแขนและสะโพกของเธอ ทำให้เป็นบาดแผลฉีกขาดระหว่างที่พุ่งสู่พื้น อุกาบาตนี้ลุกเป็นไฟจนสามารถมองเห็นได้ในสามรัฐใกล้เคียง และเนื่องจากเป็นครั้งแรกเท่าที่มีการบันทึกมา ถึงการได้รับบาดเจ็บจากอุกาบาต ทำให้ข่าวนี้ได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วโลกแต่เรื่องราววุ่นวายยังไม่จบ
เมื่อกองทัพอากาศสหรัฐ ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์มาเก็บอุกาบาตลูกนี้ไป แต่สามีของแอน ฮ็อด์จ ได้จ้างทนายต่อสู้ในชั้นศาลจนได้อุกาบาตลูกนี้กลับคืนมา แม้แต่เจ้าของบ้านที่แอน ฮ็อด์จ ก็อ้างกรรมสิทธิเหนืออุกาบาตนี้ เพราะต้องการที่จะขายเพื่อนำเงินมาซ่อมบ้าน มีการตั้งราคาขายไว้ที่ 5000 เหรียญสหรัฐ(ในขณะนั้น) แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเป็นปี ความสนใจต่อเรื่องนี้ก็จางหายไป ครอบครัว แอน ฮ็อด์จไม่สามารถขายอุกาบาตรก้อนนี้ได้สำเร็จ แอน ฮ็อด์จ รู้สึกอึดอัดกับ การตกเป็นข่าวต่อสาธารณชนและต่อปัญหาขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ของอุกาบาต เธอตัดสินใจบริจาคอุกาบาตรให้กับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติรัฐอลาบม่า ทุกวันนี้มันถูกจัดแสดงแก่ประชาชนทั่วไปที่มหาลัยอลาบม่า
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
3. Roy Sullivan
จากสถิตโอกาสที่มนุษย์จะมีโอกาสถูกฟ้าผ่าได้สองครั้ง(ในวันและเวลาที่แตกต่างกัน) แต่กระนั้นก็มีมนุษย์บางคน(และคนเดียวในโลก)ที่ถูกฟ้าผ่าเจ็ดครั้ง (นักคณิตศาสตร์ประเมินความเป็นไปได้ที่คนคนหนึ่งจะถูกฟ้าผ่า7 ครั้งมีโอกาสเพียงแค่ 1 ใน 16,000,000,000,000,000,000,000,000 (16 ตามด้วยศูนย์24 ตัว)
รอย ซัลลิแวน (7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 28 กันยายน ค.ศ. 1983) เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติชาวอเมริกัน ประจำอุทยานแห่งชาติเชนันโดอาห์ในรัฐเวอร์จิเนีย ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1942 ถึง 1977 โดยที่ซัลลิแวนได้เคยถูกฟ้าผ่ามาแล้วถึงเจ็ดครั้งในช่วงเวลาที่ต่างกัน ซึ่งสามารถรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับฉายา “มนุษย์สายล่อฟ้า” เขาได้รับการยอมรับในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ในฐานะที่เคยได้รับอุบัติเหตุจากฟ้าผ่ามากกว่ามนุษย์คนอื่น ๆ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งเขาถูกฟ้าผ่าเจ็ดครั้งในวันและเวลาที่แตกต่างกันต่อไปนี้
  •  1942 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าครั้งแรกระหว่างประจำการอยู่บนหอคอยระฆังระวังไฟป่า สายฟ้าฟาดลงมาที่ปลายเท้า ผลลัพธ์คือเล็บหัวแม่โป้งเท้าหลุด
  • 1969 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างที่กำลังขับรถลงเขา ความแรงของกระแสไฟฟ้าทำให้เขาหมดสติและเผาขนคิ้วจนไหม้เกรียม
  • 1970 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างนั่งอยู่บนสนามหญ้า ทำให้ไหล่ซ้ายเป็นแผลไหม้
  • 1972 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 4 ระหว่างที่เขาอยู่ในที่ทำการอุทยานฯ คราวนี้เขาเสียเส้นผม หลังจากถูกฟ้าผ่ามาแล้ว 4 ครั้ง รอยคิดว่าเขาต้องไม่ประมาท นับตั้งแต่นั้นมา เขาพกกระติกน้ำติดตัวตลอดเวลาเพื่อเอาไว้ดับไฟ
  • วันที่ 7 สิงหาคม 1973 ขณะที่ขับรถอยู่นั้น ฟ้าผ่าก็ฟาดลงกลางศีรษะของรอยอย่างแรงจนเขากระเด็นออกมานอกรถ และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องเสียเส้นผม
  • วันที่ 5 มิถุนายน 1976 ซัลลิแวนเห็นก้อนเมฆลอยตามเขาเหมือนจงใจ รอยเดาได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา จึงพยายามวิ่งหนีแต่ก็ไม่พ้น เขาถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 6 ตรงบริเวณลานตั้งแคมป์
  • วันที่ 25 มิถุนายน 1977 ซัลลิแวนถูกฟ้าผ่าเป็นครั้งที่ 7 ระหว่างที่กำลังนั่งตกปลา คราวนี้ค่อนข้างจะโดนหนักหน่อย เขาถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะหน้าอกและท้องเป็นแผลไฟลวก แต่การรอดชีวิตจากฟ้าผ่านั้นมันไม่ดีเสียเลยเมื่อผู้คนต่างพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่อยู่ใกล้กับซัลลิแวน
  • ในช่วงหลังอันเนื่องมาจากการกลัวถูกฟ้าผ่า และนี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจสำหรับเขา ครั้งหนึ่งเขาได้เคยกล่าวไว้ว่า “เช่น เมื่อผมเดินไปกับหัวหน้าพิทักษ์ป่าในวันหนึ่ง ได้มีฟ้าผ่าลงมา หัวหน้าได้กล่าวว่า ผมจะขอไปหาคุณในภายหลังก็แล้วกัน
  • ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1983 ซัลลิแวนได้เสียชีวิตลงในวัย 71 ปี ด้วยการยิงตัวเองเข้าที่ช่องท้อง หมวกเจ้าหน้าที่สองใบของเขาได้รับการจัดแสดงในกินเนสส์เวิลด์เอ็กฮิบิทฮอลในนครนิวยอร์กและรัฐเซาท์แคโรไลนา
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
2. Jeanne Rogers
จีนน์ โรเจอร์ อาจเป็นผู้หญิงชาวอเมริกาที่โชคร้ายที่สุดในโลกที่เรื่องราวของเธอเต็มไปด้วยความโชคร้ายเล็กๆ น้อยไปจนถึงเกือบเอาชีวิตไม่รอด เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เคยถูกยิง ถูกขโมยเงิน ถูกรัดคอ ถูกฟ้าผ่า(2 ครั้ง) ตกลงไปท่อระบายน้ำ เกือบจมน้ำตายเพราะเมื่อแต่ถอยหลังเพื่อถ่ายรูปเพื่อน แต่ที่แปลกที่สุดคือครั้งหนึ่งในขณะเดินเล่มดันจู่ๆ ก็มีค้างคาวติดบนหัวของเธอ เธอเลยขอคนมาช่วยเหลือ แต่กลายเป็นว่าทุกคนที่เห็นเธอต่างตกใจตะโกนลั่น ทำให้ค้างคาวตกใจและข่วนหน้าเธอแถมยังฉี่ใส่หัวเธออีก แต่กระนั้นเธอยังบอกว่าเธอไม่ได้คิดว่าเธอถูกสาปแช่ง เธอยังคิดว่ามีเทวดาอยู่บนไหล่ของเธอด้วยซ้ำไป
7 บุคคลที่ดวงซวยที่สุดของโลก
1. Tsutomu Yamaguchi
สึโตมุ ยามางูชิ ( 16 มีนาคม 1916 – 4 มกราคม 2010) เป็นวิศวกรของบริษัทอุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิ ชาวญี่ปุ่น ที่รอดชีวิตจากฮิโรชิมาและนางาซากิจากเหตุการณ์นิวเคลียร์ถล่ม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าเขาจะเป็นคนในจำนวน 160 ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดสองครั้ง แต่เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับยอมรับจากรัฐบาลญี่ปุ่นว่าเป็นผู้รอดชีวิตดังกล่าว
เช้าตรู่วันที่ 6 สิงหาคม 1945 ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นสึโตมุกำลังเดินเล่นยามเช้าที่สงบเงียบที่เมืองฮิโรชิ เหมือนปกติทุกครั้ง จนกระทั้งเวลา 08.15 น.ทันทีที่ เขาก้าวลงจากรถราง เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ถล่มเมือง ซึ่งห่างจากเขาไปไม่ถึง 3 กิโลเมตร เขาได้รับบาดเจ็บหูฉีกขาด นัยน์ตาบอดชั่วคราว ร่างกายท่อนบนซีกซ้ายถูกไฟเผา แต่ความเสียหายต่อร่างกายของเขายังน้อยกว่า 140000 ชีวิตซึ่งสูญสิ้นไปพร้อมกับฮิโรชิมาที่ราบเป็นหน้ากลองในพริบตา ทิ้งอีกหลายหมื่นชีวิตทุกข์ทรมานด้วยพิษระเบิด
เขารอดชีวิตมาได้เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลงสามกิโลเมตร ผ่านหนึ่งคืนที่ฮิโรชิมา วันถัดสึโตมุก็ตัดสินเดินทางจากเมืองฮิโรชิม่ากลับบ้านเกิดที่ นางาซากิ เขาถึงบ้านในวันที่ 8 สิงหาคม และแน่นอนที่นางาซากิเขาก็เจอระเบิดนิวเคลียร์อีกรอบ ระเบิดครั้งนี้ทำลายนางาซากิก็พินาศย้ายยับ 70000 ชีวิตตายอย่างอนาถ โดยเวลานั้นเขาอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลงสามกิโลเมตร เขารอดชีวิตแต่กระนั้นเขาก็เป็นโรคมะเร็งร้ายจากกัมมันตภาพรังสีครั้งนี้ และตลอดชีวิตที่เหลือ เขาเป็นผู้ที่ต่อต้านระเบิดปรมาณู เขากล่าวว่า “ผมไม่อาจเข้าใจว่าทำไมโลกไม่สามารถเข้าใจความหายนะของระเบิดปรมาณู ทำไมพวกเขายังพัฒนาอาวุธร้ายเหล่านี้อีกไม่หยุดยั้ง” สึโตมุ ยามางูชิเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2010 รวมอายุ 93 ปี
ขอบคุณที่มา  http://pantip.com/topic/31161223

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เนื้อแดง ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย

    เนื้อแดง ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย
    เนื้อแดง ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย


              ได้ยินกันมาหลายครั้งแล้วว่าเนื้อแดงไม่ดีต่อสุขภาพ ลองมาดูโทษของเนื้อแดงกันให้ดีขึ้น ใครที่ชอบกินอาหารที่ทำจากเนื้อแดงต้องระวังให้ดี

              เราอาจจะได้ยินกันมานักต่อนักแล้วว่าการรับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อแดงนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพหัวใจ เพราะเนื้อแดงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ อย่างเช่นโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ว่ามันส่งผลเสียให้กับเราได้อย่างไรล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำทุกท่านไปคลายข้อสงสัยนี้ด้วยการนำข้อมูลการวิจัยดี ๆ ที่ค้นคว้าโดย Cleveland Clinic จากเว็บไซต์ mindbodygreen.com  มาบอกต่อให้คนรักเนื้อรู้กันค่ะ ใครที่ชอบรับประทานเนื้อแดงเป็นชีวิตจิตใจละก็ ระวังตัวได้แล้วค่ะ

              จากการศึกษาล่าสุดซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism พบเนื้อแดงสามารถเป็นอันตรายต่อหัวใจได้ เพราะแอลคาร์นิทีน (L-carnitine) ซึ่งอยู่ในเนื้อแดงเป็นสารที่แบคทีเรียในกระเพาะอาหารใช้ในการสร้างไขมันชนิดที่ไม่ดีต่อร่างกายก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้
     
              นอกจากนี้แบคทีเรียบางชนิดในระบบทางเดินอาหารยังใช้แอลคาร์นิทีนเป็นแหล่งพลังงาน ด้วยการย่อยสลายแอลคาร์นิทีนแล้วทำให้เกิดเป็นของเสียที่ชื่อ trimethylamine (TMA) ซึ่งตับของคนเราจะแปลงเจ้าสารชนิดนี้นี้ให้กลายเป็นสารอีกตัวที่ชื่อ trimethylamine-N-oxide หรือ TMAO ซึ่งสารชนิดนี้  เป็นตัวการสำคัญที่เร่งให้ร่างกายกักเก็บไขมันชนิดที่ไม่ดีมากขึ้น และสะสมไว้ไม่ถูกทำลายโดย macrophage (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) จนกระทั่งเกิดการจับหนาตัวขึ้นภายในผนังหลอดเลือดแดง เกิดเป็นภาวะหลอดเลือดแข็งตัวที่เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ

    เนื้อแดง ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย
     เนื้อแดง ความอร่อยที่แฝงด้วยโรคร้าย

              การค้นพบครั้งนี้ได้ทำให้นักวิจัยทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อแดงกับปัญหาสุขภาพหัวใจ และอาจทำให้พบวิธีที่ยับยั้งปัญหาสุขภาพที่เกิดจากเนื้อแดงได้ในอนาคต แต่ก็ยังต้องทำการศึกษาต่อไป
     
              ขณะที่ดอกเตอร์ Stanley Hazen หัวหน้าทีมวิจัยก็ได้เตือนอีกด้วยว่าผู้ที่รับประทานอาหารเสริมที่มีสารแกมมา-บิวทิโรบีเทน (gamma-butyrobetaine) อยู่ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารเสริมเหล่านี้และลดการรับประทานเนื้อแดงอีกด้วย เพราะเจ้าสารชนิดนี้ก็มาจากแอลคาร์นิทีน เช่นกัน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ต่างจากแอลคาร์นิทีนเลย

               ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยก็ไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อแดงมากเกินไป เพราะคงอีกนานกว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถหาวิธียับยั้งเอนไซม์วายร้ายเหล่านั้นได้ แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบรับประทานเนื้อแดงมาก ๆ จนเลิกยากละก็ ควรจะรับประทานผักใบเขียวให้มากขึ้นเพื่อทีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้จะได้มากขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงได้ค่ะ