วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

10 สูตรสุ้หวัดช่วง เปลื่ยนฤดู

เมื่อถึงช่วง เปลี่ยนฤดู อากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนปรับตัวไม่ทัน เจ็บป่วยเป็นโรคหวัดได้ โรคหวัดธรรมดาทั่วไปเป็นโรคไม่ร้ายแรง แต่อาการต่างๆ ก็ช่างน่ารำคาญ ทั้งไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล และปวดศีรษะ บางคนเป็นอยู่นานไม่ยอมหายสักที ทุกวันนี้เราพอจะเข้าใจกันมากขึ้นค่ะว่า โรคหวัดไม่ใช่โรคที่มียาฆ่าเชื้อโรครักษาให้หายได้ ยาที่เรากินตั้งแต่เด็กซึ่งได้แก่ ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้แพ้ และบางครั้งก็เป็นยาปฏิชีวนะ ยาเคมีเหล่านี้เป็นยาบรรเทา อาการ หากกินมากหรือนานเกินไปก็อันตราย การดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการมีหลายวิธีที่น่าสนใจและใช้ได้ผลจริงๆ ดูแล้วหลักการใหญ่ๆ คือ การทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหรืออิมมูนซิสเต็มขึ้นมาสู้โรคและอาการต่างๆ ของหวัด 10 สูตรของเรามีอะไรกันบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ
สู้หวัด

1. อุ่นตัวให้ตัวอุ่น เวลามีเชื้อโรคคุกคาม อุณหภูมิภายในร่างกายเราจะร้อนขึ้นมาก ซึ่งแสดงว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายกำลังทำงานหนักเพื่อจัดการกับเชื้อโรคอย่างขันแข็ง
2. น้ำอุ่นเช้าถึงค่ำ น้ำอุ่นเป็นตัวช่วยที่ดีในการบรรเทาอาการหวัด เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ลองแปรงฟันบ้วนปากด้วยน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยขับเสมหะและลดอาการไอได้ดีมากทีเดียว
3. กินยาฟ้าทลายโจร ไม่ใช่แต่คนไทยเท่านั้นนะคะ ชาวจีน อินเดีย และชวาก็ใช้ฟ้าทลายโจรกันด้วยสรรพคุณสำคัญในต้นและใบของพืชชนิดนี้ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อและการอักเสบ
4. อมเกลือบ้วนปาก การกลั้วคอก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ มีสูตรง่ายๆ ค่ะ สูตรแรก คือ ใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว อมบ้วนปากวันละ 3 – 4 ครั้ง สูตรสอง คือ ใช้เบกกิ้งโซดาก็ดีทีเดียวค่ะ ซื้อหาได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตราคาแค่ซองละสิบกว่าบาท เท่านั้นเอง โดยผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชากับน้ำเปล่า 1 แก้ว กลั้วคอวันละ 3 – 4 ครั้ง
5. สูตรลดอาการไอ อาการไอเกิดจากการระคายเคืองและเสมหะ ฉะนั้นจึงสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการดื่มน้ำอุ่น บ่อยๆ หรืออาจบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ นอนพักผ่อนให้พอ งดอาหารทอด แต่ถ้าอาการไอยังรุนแรงและเรื้อรังอยู่ ควรจะไปพบคุณหมอ
6. อบสมุนไพร การอบไอน้ำสมุนไพรด้วยสมุนไพรกลิ่นหอมๆ อย่างไพล ขมิ้น ผิวมะกรูดซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย และเติมสมุนไพรที่ผ่านความร้อนแล้วจะมีกลิ่นหอม เช่น การบูรกับพิมเสนเล็กน้อย ช่วยบำบัดอาการหวัดคัดจมูกได้
7. กินสมุนไพรต้านหวัด ไม่ต้องไปมองหาสมุนไพรจากที่อื่นไกลเลยค่ะ อาหารทั่วไปที่เรากินกันอยู่เป็นประจำนี่แหละที่มีสมุนไพรต้านหวัดอยู่มากพอ เช่น พืชผักกลิ่นรสเผ็ดร้อนอย่างพริกไทย หัวหอมแดง กระเทียม ขิง กะเพรา ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
8. กินอาหารเปรี้ยวหวาน วิธีสู้หวัดที่อร่อยที่สุดคือ การกินผลไม้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเฟือง มะละกอ มะขามป้อม พุทรา มะปราง ฯลฯ การกินผลไม้สดๆ จะได้คุณค่าของวิตามินซีและสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์มากที่สุดที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มีพลังสู้กับโรคค่ะ
9. ไช้เท้าต้านหวัดตำรับจีน แพทย์แผนจีนกล่าวว่า หัวไช้เท้าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณในการกระจายสิ่งหมักหมมในร่างกาย ละลายเสมหะ แก้พิษ ลดความดันโลหิตขยายหลอดลมและหลอดเลือด ฯลฯ จึงนำมาใช้รักษาอาการหวัดและอาการไอได้ผลดี โดยนำหัวไช้เท้าสดมาคั้นน้ำ เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยดื่มแก้ไอ
10. นอนเพิ่มพลัง ไม่น่าเชื่อว่าการนอนจะเป็นการเพิ่มพลังในการเยียวยารักษาตัวเองที่ง่ายที่สุดทางหนึ่ง เพราะ เวลานอนเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง ผู้ใหญ่มักแนะนำให้นอนพักมากๆ เวลานอนที่ดีที่สุดตามแนวทางแพทย์แผนจีนคือ การนอนหัวค่ำแล้วตื่นแต่เช้า เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และหากนอนอย่างพอเพียงก็จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงเร็วขึ้น

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารชีวจิต ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ 2556

ข้อดีของการ นอนแก้ผ้า !

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

4 สุดยอดอาหาร พิชิตอาการ โรคภูมิแพ้

โรค ภูมิแพ้ เริ่มกลายเป็นโรคสุดฮิตของคนไทย ซึ่งสร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยอย่างเหลือคณานับ โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ที่อากาศไม่บริสุทธิ์  คุณลิซ่า คอลลิเออร์ คูล นักเขียนเจ้าของรางวัล National Health Information Award มีตัวช่วยป้องกันความทรมานจากอาการของโรคนี้ ซึ่งได้แก่อาหารดังต่อไปนี้
159153159
1. ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว องุ่น เพราะผลไม้เหล่านี้จะมีวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการ ภูมิแพ้ ได้ โดยพยาบาลเด็กอ่อนได้กล่าวว่าเด็กแรกเกิดที่ดื่มนมแม่เป็นประจำ จะมีภูมิต้านทานต่อโรค ภูมิแพ้ เพราะได้รับวิตามินซีจากน้ำนม
2. มะเขือเทศ เป็นแหล่งรวมของวิตามินซีเช่นเดียวกับผลไม้ตระกูลส้ม นอกจากนี้ในมะเขือเทศยังมีไลโคปินซึ่งช่วยลดอาการหอบหืดจาก ภูมิแพ้ ได้เป็นอย่างดี
3. เมล็ดทานตะวัน นอกจากวิตามินซีแล้ว วิตามินอีก็เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่ช่วยต่อสู้กับโรค ภูมิแพ้ ได้ จากการวิจัยพบว่าอาหารที่มีวิตามินอีสูงจะช่วยลดการตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อ ภูมิแพ้ ซึ่งเมล็ดทานตะวันก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี
4. ผักโขม เป็นอีกหนึ่งอาหารสำหรับพิชิต ภูมิแพ้ อย่างแท้จริง เนื่องจากอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารที่หากร่างกายขาดไปจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรค ภูมิแพ้ และหอบหืดได้ง่ายยิ่งขึ้น อาหารโปรดของป๊อบอายนี้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่อยากห่างไกลอาการ ภูมิแพ้
รู้เช่นนี้แล้ว ระหว่างเดินช็อปปิ้งเลือกสรรอาหารเย็นนี้ อย่าลืมหยิบอาหารเหล่านี้ใส่ตะกร้าติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยนะครับ

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 359

6 เคล็ดลับเก่งภาษาที่ได้ผลมากที่สุด

6 เคล็ดลับเก่งภาษาที่ได้ผลมากที่สุด


สำหรับเพื่อนๆ หรือน้องๆ คนไหน ที่กำลังมีปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษ ที่เรียนเท่าไรก็ไม่สามารถใช้ภาษาได้สักที วันนี้เรามี 6 เคล็ดลับเก่งภาษาที่ได้ผลมากที่สุด มาฝากกันค่ะ แถมเคล็ดลับนี้ยังได้รับการยืนยันจากงานวิจัยแล้วว่า ได้ผลดีที่สุด!  อีกด้วย…
630px-LearnLanguage660

6 เคล็ดลับเก่งภาษาที่ได้ผลมากที่สุด

1. Relax
ถ้าหากว่าเหตุผลในการเรียนภาษาของคุณคือ เพื่อใช้ในการสมัครงาน หรือเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่กำลังจะถึงในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้การเรียนภาษาของคุณไม่สนุกและตึงเครียดมาก เนื่องจากคุณมีระยะเวลาที่จำกัดในการเรียน ในขณะที่การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา โดยงานวิจัยใน the Journal of Neuroscience ได้แสดงให้เห็นว่า “การผ่อนคลาย” เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเรียนภาษา
2. Mix things up
อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คุณเรียนภาษาอย่างได้ผลนั่นก็คือ “กลยุทธิ์การเรียนที่ยืดหยุ่น” อย่าใช้เวลาไปกับการอ่านตำรา นั่งฟังเทปการสนทนา หรือทำข้อสอบออนไลน์มากจนเกินไป แต่ให้ทำทุกอย่างรวมกัน นอกจากนี้ก็ให้ใช้วิธีอื่นๆเพิ่มเติมที่จะทำให้คุณรู้สึกสนุกไปกับการเรียนภาษา ซึ่งงานวิจัยใน the Electronic Journal for English as a Second Language ได้ยืนยันว่า การเรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย จะได้ผลดีกว่าการเรียนรู้ด้วยวิธีเดียว
3. Stay motivated
อ้างอิงจากงานวิจัยใน the Journal of Language Learning พบว่า “แรงจูงใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าคุณจะประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาหรือไม่ ซึ่งแรงบันดาลใจจะเป็นตัวผลักดันที่จะช่วยให้คุณพยายามในการเรียนภาษามากขึ้น ลองทำให้การเรียนภาษาเป็นเหมือนเกมการแข่งขันกับเพื่อนของคุณ หรือตั้งของรางวัลในการเรียนกับตัวเอง
4. Immerse yourself
อ้างอิงจากงานวิจัยใน the Review of Educational Research พบว่า กลยุทธิ์ที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษานั่นก็คือ “การนำไปใช้จริง” แทนที่จะนั่งท่องจำและทำแบบฝึกหัดซึ่งมันไม่ได้ผล ลองหาสถานที่ที่คุณจะสามารถได้คุยตอบโต้กับเจ้าของภาษาได้ ดูหนังซาวน์แทร็ก ฟังเพลงต่างชาติ หรือเดินทางไปยังประเทศเจ้าของภาษา
5. Negotiate
ถ้าหากว่าคุณมีโอกาสได้ไปร้านค้าในต่างประเทศ ลองฝึกต่อรองราคากับคนขายดู จากงานวิจัยใน the Journal of Language Learning พบว่า “การเจรจาต่อรอง” เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเรียนรู้ภาษาให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะจารเจรจาต่อรองจะบังคับให้คุณดึงความสามารถทางภาษาที่มีอยู่ให้มากที่สุด เพื่อผลลัพท์ในการเจรจาที่ดีที่สุด
6. Flex your memory muscles
อย่ากลัวที่จะใช้เทคนิคหรือตัวช่วยต่างๆในการพัฒนาความจำหรือเรียนรู้ภาษา จากการวิจัยใน the Journal of Turkish Science Education พบว่า เทคนิคการเรียนรู้ที่ได้ผลมากอีกเช่นเดียวกันนั่นก็คือ การเชื่อมโยงสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้เข้ากับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในการใช้เทคนิคเพื่อเพิ่มความจำนั่นเอง
ข้อมูลจาก: lifehack, wegointer

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

8 เคล็ดลับดูแล มดลูก ให้แข็งแรง

สมัยนี้สุขภาพร่างกายของคนเรานั้นสำคัญ “ มดลูก ” ถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญของผู้หญิง ดังนั้น เราอย่ามองข้ามการดูแล มดลูก ให้แข็งแรง งั้นเรามารู้เคล็ดลับการดูแล มดลูก ให้แข็งแรงกันดีกว่าค่ะ
134407383
1. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
มดลูก คืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย หากร่างกายแข็งแรง โลหิตจะไหลเวียนไปเลี้ยงได้เต็มที่ ทำให้ มดลูก แข็งแรง การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เช่น การดูแลน้ำหนักตัวให้ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ผอมหรืออ้วนจนเกินไป การนอนหลับให้เพียงพอ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก่ว และงดการดื่มเหล้า สูบบุหรี่
2. ดูแลสุขภาพใจให้แข็งแรง
ความเครียดทำให้ มดลูก ไม่ปกติ เพราะระบบฮอร์โมนผิดปกติ ประจำเดือนจึงมาไม่ปกติ การลดความเครียดมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น รู้จักปลงตก มองโลกในแง่บวก หัวเราะทุกวัน ใช้ชีวิตพอเพียง ประหยัด พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ให้อภัยผู้อื่น มีจุดมุ่งหมายในชีวิต
3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ทำให้ภูมิต้านทานดี กล้ามเนื้อหัวใจและปอดแข็งแรง สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี ช่วยป้องกัน มดลูก อักเสบและมดลูกต่ำ ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ จ๊อกกิ้ง เต้นแอโรบิก โยคะ เป็นต้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน ครั้งและประมาณครึ่งชั่วโมง
4. ระวังการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการตกขาว ปวดท้องน้อย มีไข้ มดลูก อักเสบ แม้รักษาหายก็ยังมีอาการปวด มดลูก ปวดประจำเดือน มีตกขาวเรื้อรัง ไข้ทับระดู ไม่ตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์นอก มดลูก การหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้มดลูกดี ดังนั้นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งกับคนที่ไม่รู้จักไม่รู้ใจหรือไม่แน่ใจ
5. ขมิบเพื่อบริหารอุ้มเชิงกรางอย่างสม่ำเสมอ
การขมิบคือ การเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (เหมือนการกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ) วิธีการคือ ให้เกร็งค้างไว้ นับ 1 – 5 แล้วผ่อนคลาย อาจทำต่อเนื่องกันหรือแบ่งเป็นครั้งละ 20 – 30 ชุดก็ได้ จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรง และ มดลูก ไม่ต่ำ
6. ไม่ยกของหนัก
การยกของหนักทำให้มดลูกต่ำ กระเพราะปัสสาวะกระทบกระเทือน หากจำเป็นต้องยกของหนักควรปัสสาวะก่อน
7. ตรวจร่างกายและตรวจภายในเป็นประจำ
แม้ว่าเราจะแข็งแรง ก็ควรตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ เพื่อค้นหาโรคในระยะเริ่มแรก โรคภัยไข้เจ็บมีผลต่อ มดลูก ไม่มากก็น้อย เช่น โรคเบาหวาน อาจทำให้ มดลูก อักเสบ ติดเชื้อ เป็นเชื้อรา และโรคเรื้อรังอื่นๆ อย่างความดันโลหิดสูง โรคไทรอยด์ โรคตับ โรคไต อาจทำให้มีการตกเลือด ประจำเดือนมามากหรือกะปริบกะปรอย รวมไปถึงการตรวจภายใน โดยตรวจวินิจฉัยและรักษาการอักเสบ ติดเชื้อในช่องคลอด ปากมดลูก จนทำให้ มดลูก ไม่ดีได้ ทั้งยังสามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการผิดปกติของ มดลูก ได้แต่เนิ่นๆ เช่น เนื้องอกธรรมดาของโพรง มดลูก เนื้องอกธรรมดาของ มดลูก และเยื่อบุโพรง มดลูก เจริญผิดที่ ก่อนลงเอยด้วยการตัด มดลูก
8. ไม่กินสมุนไพร ยาสตรี หรืออาหารเสริมที่มีฮอร์โมนเพศหญิงเป็นประจำ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
เนื่องจาก มดลูก เป็นอวัยวะภายในสตรีที่ไวต่อฮอร์โมนมาก การกินฮอร์โมนเพศหญิง จึงเป็นการเพิ่มการอักเสบของ มดลูก ทำให้มดลูกโต เนื้องอก มดลูกขยายขนาด และเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรง มดลูก ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของมดลูกไม่ดี อาจทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ และอาจต้องตัด มดลูก
ได้รู้เคล็ดลับดีๆไปแล้ว อย่าลืมเอาไปปฏิบัติตามกันนะคะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของตัวคุณเอง
ขอบคุณที่มาจาก : www.womanplusmagazine.com

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

อาหารบํารุง กระดูก

โดยทั่วไปเมื่อนึกถึงอาหารบำรุง กระดูก ส่วนใหญ่มักจะนึกถึงแคลเซียมเป็นหลัก แคลเซียมเป็นสารอาหารจำพวกแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง เพื่อใช้ในกระบวนการสร้าง กระดูก และฟันในแต่ละวัน
173771158
เนื่องจาก กระดูก จะปล่อยแคลเซียมให้แก่เลือดในปริมาณน้อยๆ ทุกวัน โดยเลือดจะนำแคลเซียมจาก กระดูก ไปใช้ทำหน้าที่ต่างๆ มากมาย ขณะเดียวกันร่างกายก็จะนำเอาแคลเซียมจากเลือดวนกลับเข้าไปเก็บไว้ในกระดูกทุกวันเช่นกัน ซึ่งแคลเซียมที่ได้ก็มาจากการดูดซึมจากทางเดินอาหารวันละสองสามครั้ง ตามมื้ออาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั่นเอง
ในแต่ละวันร่างกายต้องการแคลเซียมประมาณ 800-1,200 มิลลิกรัม อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมสูงมาก ได้แก่ นมสด ปลาตัวเล็กๆ ปูกะตอย เครื่องดื่มรสช๊อคโกแล็ต รวมถึงอาหารพื้นบ้านชาวอีสานอย่าง กบ เขียด แย้ เป็นต้น จัดได้ว่าเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงมาก นอกจากนี้ยังมี โยเกิร์ต กุ้ง กะปิ เต้าหู้ และผักบางชนิดจำพวกผักใบเขียว ก็มีแคลเซียมด้วยเช่นกัน
รับแคลเซียมน้อยเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าเป็นในเด็กจะมีการสร้างกระดูกน้อย ทำให้การเจริญเติบโตไม่ดี และความหนาแน่นของกระดูกไม่ถึงจุดสูงสุดสำหรับผู้ใหญ่ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกน้อยลง กระดูกไม่แข็งแรง เป็นตะคริวง่าย เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
รับแคลเซียมมากไปจะเกิดอะไรขึ้น
แคลเซียมจากการรับประทานอาหาร จะไม่มากเกินจนเกิดพิษต่อร่างกาย แต่อาจส่งผลให้ได้รับสารอาหารอย่างอื่นมากเกินความต้องการของร่างกายได้ เช่น โซเดียม ไขมัน เป็นต้น แต่หากรับแคลเซียมจากอาหารเสริม จะต้องระวังเรื่องสมดุลของแคลเซียม เพราะถ้าเสริมแคลเซียมเป็นประจำมากเกินไป โดยที่ร่างกายมีภาวะแมกนีเซียมต่ำ ซึ่งแมกนีเซียมจะเป็นตัวควบคุมการเคลื่อนไหวของแคลเซียม อาจเกิดปัญหาแคลเซียมไปสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ จนเป็นเหตุให้การหดตัวของกล้ามเนื้อไม่ปกติ เกิดอาการสั่น เป็นตะคริว หากผนังหลอดเลือดเกิดเป็นตะคริว จะทำให้เกิดโรคหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจแข็งตัว เป็นต้น ถ้าหากเสริมแคลเซียมสูง ก็ควรเสริมแหล่งอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงให้ได้สมดุลกันไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้น การบริโภคแคลเซียมเพียงอย่างเดียว จึงไม่เพียงพอต่อการเสริมสร้างกระดูก เพราะนอกจากแคลเซียมแล้ว กระดูกยังต้องการวิตามินดี แมกนีเซียม วิตามินเค แมงกานีส สังกะสี และทองแดงอีกด้วย
วิตามินดี : ถ้าร่างกายได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายดูดซับแคลเซียมได้เพียง ร้อยละ 10-15 เท่านั้น แหล่งของวิตามินดีที่สำคัญคือ แสงแดด อาหารที่มีวิตามินดี คือ นม ปลาแซลมอน กุ้ง เป็นต้น
แมกนีเซียม : ปริมาณครึ่งหนึ่งของแมกนีเซียมในร่างกายอยู่ที่กระดูก ซึ่งจะช่วยดูดซับและใช้วิตามินดี อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง เช่น อัลมอนด์ ผักขม ถั่วอัลฟัลฟ่า
วิตามินเค : ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่หักง่าย อาหารที่มีวิตามินเคสูง เช่น ผักขม บร็อคโคลี ผักใบเขียว
เกลือแร่ : นอกจากนี้ในแต่ละวันร่างกายยังต้องการ แมงกานีสและสังกะสี ซึ่งถั่ว ธัญญพืชต่าง ๆ สับปะรด มะเขือเทศ และเต้าหู้ มีทองแดงและแมงกานีสสูง ส่วนอาหารทะเล เนื้อแดง ถั่ว เป็นแหล่งของสังกะสี
อาหารบำรุง กระดูก
โดยสรุป ร่างกายต้องการแคลเซียมประมาณวันละ 800-1,200 มิลลิกรัม ต้องการแมกนีเซียมวันละประมาณ 150 มิลลิกรัม ต้องการวิตามินดีวันละ 200 หน่วยสากล หากรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วน เพิ่มผักใบเขียว เสริมด้วยถั่ว และอาหารทะเลบ่อยๆ ก็ไม่ต้องกังวลว่ากระดูกจะสึกหรอก่อนวัยอันควรอีกต่อไป…

ขอบคุณที่มาจาก : โรงพยาบาลเวชธานี

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

5 โรคฮิต บั่นทอนชีวิต คนในเมือง

ในสภาพสังคมปัจจุบัน การดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้นค่อยข้างเร่งรีบ มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกลุ่ม คนเมือง ในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ต้องออกไปทำงานในสภาวะที่กดดัน ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจย่ำแย่ไม่ค่อยมีความสุข จึงทำให้กลุ่ม คนเมือง นี้ มีโอกาสได้รับความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคต่างๆ มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าโรคยอดฮิตของกลุ่ม คนเมือง มีอะไรบ้าง
86531238
โรคระบบทางเดินหายใจ
มลภาวะเป็นพิษ สาเหตุหลักของโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด ไซนัส หวัด ภูมิแพ้ องค์การอนามัยโลกรายงานว่าโรคที่คร่าชีวิตคนทำงานมากที่สุดในปัจจุบันคือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โดยมีอัตราเฉลี่ยสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งโลก นอกจากนี้รายงานทางการแพทย์ของไทยยังพบว่าคนกรุงฯ มีอัตราผู้ป่วยภูมิแพ้สูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ต้นเหตุแห่งมลพิษมาจากโรงงานอุตสาหกรรมตามหัวเมืองใหญ่ทั่วโลกปล่อยหมอกควันพิษเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ รวมทั้งไอเสียจากรถยนต์ที่มีปริมาณมากขึ้นทุกวัน
อาการเบื้องต้นของภูมิแพ้เริ่มจากเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย โดยไม่ได้มาจากการเจ็บป่วย หายใจไม่สะดวก ป่วยกระเสาะกระแสะ เหมือนเป็นไข้หวัดตลอดเวลา คัดจมูก น้ำมูก น้ำตาไหล แต่ไม่มีไข้
ป้องกันง่ายๆ ด้วยการหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลารถติด พักอาศัยอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท หรือไปสูดอากาศนอกเมืองบ้าง และออกกำลังกายเป็นประจำ
โรคเครียดและโรคทางจิตเวช
อาการพื้นฐานมีตั้งแต่ปวดศีรษะเรื่อยไปถึงซึมเศร้า หดหู่ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานจะพัฒนา ไปสู่โรคทางจิตเวช แพทย์ศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2 ให้ข้อมูลว่า “คนที่อยู่ในช่วงอายุ 25 –35 ปี ซึ่งเป็นวัยที่กำลังก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มักจะเป็นโรคเครียดมากกว่าวัยอื่น เรียกว่าโรคผู้บริหาร เพราะอายุที่มากขึ้น ร่างกายเสื่อมลงตามวัย แต่กลับมีภาระรับผิดชอบหนักขึ้น”
ยังมีอีกหนึ่งอาการที่น่าสนใจ รู้จักกันในชื่อ ADT (Attention Deficit Trait) หรืออาการสมาธิสั้นในการทำงาน ADT ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของสมอง หากเกิดจากความไม่ปกติของบุคลิกภาพเนื่องจากต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา ผู้ป่วยไม่สามารถจดจ่อกับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ไม่มีความอดทน และมักมีปัญหากับการจัดลำดับความสำคัญและการบริหารเวลา
อาการเหล่านี้หายได้ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานใหม่ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดคาร์โบไฮเดรต และแอลกอฮอล์ หากไม่ดีขึ้นควรพบจิตแพทย์ หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เช่น จัดให้มีมุมนั่งเล่นในสวนสวย มุมทำสมาธิ มุมรับประทานอาหารว่าง มุมดูหนังฟังเพลง บริการนวดคลายเครียดในที่ทำงาน สปอร์ตคลับ การเพิ่มเวลาพักทุกๆ ชั่วโมง เป็นต้น
อาการผิดปกติทางกล้ามเนื้อ
ในยุคไอทีแทบทุกคนบนโลกต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทำให้ตาพร่ามัว (Computer Vision Syndrome) รังสีจากหน้าจอทำให้กล้ามเนื้อตาตึงเครียด อาการเหล่านี้หากทิ้งไว้นานจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย การพักสายตาด้วยการหลับตาหรือมองต้นไม้ใบหญ้าจะช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตา
กล้ามเนื้อเมื่อยล้า (Carpal Tunnel Syndrome) เป็นอาการเครียดของกล้ามเนื้อเมื่อใช้งานต่อเนื่องนานๆ เช่น การกดแป้นคีย์บอร์ด ทำให้ข้อกระดูกนิ้วเสื่อม กล้ามเนื้อไหล่ตึงและเจ็บปวด การขยับเมาส์ไปมาทำให้ปวดกระดูกข้อมือ และอาจเกิดพังผืดที่โพรงเส้นประสาทข้อมือหรืออุโมงค์ข้อมือ หากทิ้งไว้นานอาจปวดเรื้อรังถึงขั้นพิการ
บรรเทาได้ด้วยการพักข้อมือ รับประทานยาแก้ปวด ในบางรายที่อาการหนักอาจต้องสวมอุปกรณ์ประคองข้อมือ หรือฉีด corticosteroids เพื่อลดการเจ็บปวด
อีกวิธีที่ช่วยลดปัญหาได้คือ ปรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับสรีระ เช่น จัดมอนิเตอร์ให้ห่างจากตัวอย่างน้อย 16 นิ้ว จอภาพควรอยู่ระดับเดียวกับสายตา ใช้แผ่นกรองแสงเพื่อป้องกันรังสีหรือเลือกใช้จอถนอมดวงตา ควรปรับแสงสว่างหน้าจอให้เหมาะกับแต่ละช่วงเวลาด้วย ขณะใช้คีย์บอร์ดและเม้าส์ให้วางท่อนแขนขนานกับพื้น มีแผ่นรองข้อมือเพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวและการเสียดสี ปรับระดับเก้าอี้ให้นั่งสบาย ขาตั้งฉากกับพื้น ซึ่งถือเป็นท่าที่ถูกต้อง
โรคปลายประสาทอักเสบ (Polyneuritis)
เกิดจากความผิดปกติของประสาทส่วนปลาย เป็นผลกระทบจากโรคเครียดและกล้ามเนื้อ อักเสบ การได้รับสารพิษหรือโลหะหนักอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการนั่ง ยืน หรือยกของในท่าไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆ จนเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณคอ ลงไปที่ไหล่ เรื่อยไปถึงกระดูกสันหลังและช่วงเอว ทำให้ทรงตัวไม่ได้ ร่างกายอ่อนปวกเปียก ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หากปล่อยไว้กล้ามเนื้อจะลีบ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
โรคนี้พบบ่อยในคนทำงานนั่งโต๊ะรวมทั้งคนที่อาศัยในเขตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีมลพิษหนาแน่น ป้องกันได้โดยการนั่ง ยืน เดิน ในท่าที่ถูกต้อง นวดคลายกล้ามเนื้อสม่ำเสมอ และอยู่ในสถานที่ที่สภาพแวดล้อมดี อากาศดี
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ความรีบเร่งทำงาน รถติด ห้องน้ำไม่สะอาดทำให้สาวๆ เลือกที่จะกลั้นปัสสาวะ โดยไม่รู้เลยว่าปริมาณน้ำจะเพิ่มเป็นเท่าตัว ทำให้กระเพาะปัสสาวะบวม ผู้หญิงมีท่อนำปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย เชื้อโรคจึงย้อนกลับเข้าไปสู่กระเพาะปัสสาวะ และเกิดการติดเชื้อได้ โรคนี้จะทำให้คุณมีอาการปวดปัสสาวะมากกว่า 8 ครั้ง ใน 1 วัน หรือปวดปัสสาวะกระปริบกระปรอย ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ จนรบกวนการนอนหลับ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ในรายที่เพิ่งเริ่มเป็นรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาเพียง 1 สัปดาห์
สร้างเกราะกำบังโรค
วิธีการดูแลตนเองจากโรคภัยทั้งปวง มีบทสรุปออกมาเหมือนกันทั่วโลก คือ การรับประทานอาหารสด สะอาด ครบหมวดหมู่ ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แต่เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในเมืองใหญ่ คุณควร…
  • หลีกเลี่ยงการพักอาศัยในแหล่งอุตสาหกรรมหรือออฟฟิศ ทาวเวอร์ ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการจัดโซนนิ่งที่พักอาศัยอย่างเป็นระบบ
  • ตื่นเช้าขึ้นอีกนิดเพื่อทำอาหารง่ายๆ นำไปรับประทานมื้อกลางวัน มั่นใจได้ว่าอร่อย สะอาด แถมยังประหยัดเวลาเดินทาง และรอซื้ออาหารได้อีก
  • ขณะนั่งทำงานหาวิธียืดเส้นยืดสาย หรือลุกเดินให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ้าง
  • จัดตารางเวลาการทำงานใหม่ หาเวลาผ่อนคลายความเครียดและเล่นกีฬาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 15 นาทีเป็นอย่างน้อย
ขอบคุณที่มาจาก : Health&Cuisine พฤศจิกายน, Issue 82

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

ออกกําลังกาย แบบฉบับคนขี้เกียจ

หลายคนคงอยากจะ ออกกำลังกาย แต่พอถึงเวลาทีไรความขี้เกียจมักมีมากกว่าเสมอ คอยแต่ผลัดวันไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มสักที วันนี้เรามีวิธีง่ายๆในการออกกำลังการมานำเสนอค่ะ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
side profile of a mid adult man exercising on the floor
บริหารในท่านอน
ในระหว่างที่เรานอนเล่น นอนดูโทรทัศน์ นอนฟังเพลง  เราสามารถแปลงเวลาเอกเขนกเหล่านี้ ให้เป็นเวลา ออกกำลังกาย ได้ค่ะ
  • ท่าที่ 1 ขณะที่เอนตัวนอนเล่น ควรมีอุปกรณ์ช่วยฟิต อันได้แก่ ดัมเบล ถุงทราย หรือลูกเหล็กเล็ก ๆ ที่น้ำหนักไม่มากนัก(ประมาณ 1 ปอนด์ กำลังดี) มายกไปพลาง ๆ ท่านอนจึงควรเป็นท่านอนหงาย จะเหยียดแข้งเหยียดขาอย่างไรก็ได้ แต่แขนข้างที่ยกน้ำหนักควรแนบกับลำตัวเพื่อความถนัดในการยก เท่านี้คุณก็บริหารกล้ามเนื้อแขนได้ แม้จะกำลังนอนสบาย ๆ อยู่ก็ตามค่ะ
  • ท่าที่ 2 เวลาที่ขาเหยียดยาวอยู่เฉย ๆ จะไม่ไร้ประโยชน์เลย หากขณะเดียวกันนี้คุณบริหารข้อเท้าไปด้วย โดยการหมุนข้อเท้าตามเข็มนาฬิกาสลับกับทวนเข็มนาฬิกา
  • ท่าที่ 3 ขณะนอนหงายฟังเพลงเบา ๆ ที่ชื่นชอบ เพียงแค่งอเข่าขึ้นมาแล้วยกให้ชิดหน้าอกให้มากที่สุดโดยใช้มือช่วยกด นับ 10 – 15 ในใจ จากนั้นค่อย ๆ ผ่อนขาลงแล้วเปลี่ยนเป็นอีกข้าง สลับไปมาอย่างนี้ในชั่วเวลา 1 เพลง คุณก็จะได้ยืดกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่าง และสะโพกแล้ว
  • ท่าที่ 4 ถ้าคุณชอบนอนคว่ำขณะดูโทรทัศน์ คุณสามารถใช้เวลานี้ ให้เป็นเวลาออกกำลังกายได้โดยจัดท่าทางเสียใหม่นิดหน่อย ให้ท่อนแขนตั้งแต่มือถึงข้อศอกยันกับพื้นค้ำลำตัวส่วนบนไว้ ขาเหยียดตึงแยกห่างกันเล็กน้อย ศีรษะตั้งตรง มองไปข้างหน้า(ก็รายการที่คุณดูอยู่นั่นล่ะ) ค้างไว้ 1 ช่วงโฆษณา(หรือประมาณ 5 นาที)แล้วพัก แขนลง จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างมากขึ้น
บริหารในท่านั่ง
เปลี่ยนการนั่งว่างๆอยู่ที่บ้านมาเป็นการนั่งที่มีประโยชน์มากขึ้นได้ดังนี้
  • ท่าที่ 1 เช่นเดียวกับการนอน ให้ยกลูกเหล็ก ถุงทราย หรือดัมเบลน้ำหนักเบาไปพลาง ๆ ด้วย รวมไปถึงการหมุนข้อมือและข้อเท้าตามอัชฌาศัย ท่านี้ได้บริหารกล้ามเนื้อแขน และข้อมือ ข้อเท้าค่ะ
  • ท่าที่ 2 ขณะนั่งห้อยเท้าอยู่บนโซฟาตัวโปรด คุณสามารถยืดกล้ามเนื้อหลังส่วนบนได้โดยงอเข่าข้างหนึ่งขึ้นมาประชิดอก ใช้มือกดให้แนบแน่นยิ่งขึ้นพร้อมแอ่นหน้าอกเล็กน้อย กินเวลาประมาณ 1 ช่วงโฆษณา สลับขาอีกข้างหนึ่งแล้วทำเหมือนเดิม
  • ท่าที่ 3 หากเกิดอาการปวดตึงที่หลัง เนื่องจากนั่งนาน ๆ ให้ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกัน ชูแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นเหนือศีรษะ หันหน้ามือขึ้นด้านบน จากนั้นยืดตัวให้สุด เอนไปทางซ้ายบ้าง ขวาบ้าง โน้มไปข้างหน้าและเอนไปข้างหลัง จะช่วยให้อาการเมื่อยล้า ปวดตึง คลายลงค่ะ
  • ท่าที่ 4 นั่งในท่าคล้ายขัดสมาธิ แต่ให้ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้างหันหน้าชนกัน เอามือทั้ง 2 ข้างจับเท้าไว้แล้วยืดลำตัวขึ้นนับ 1 – 15 จากนั้นเลื่อนมือมาไว้ที่หัวเข่าแต่ละข้าง ออกแรงกดหัวเข่าลงไปจะส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง สะโพก และแขน ไปจนถึงหัวไหล่ได้ยืดหยุ่นบ้าง
บริหารในท่ายืน
นอนก็แล้ว นั่งก็แล้ว ลุกขึ้นมายืนยืดเส้นยืดสายบ้างก็ดีค่ะ
  • ท่าที่ 1 ยืนตัวตรงแยกขาเล็กน้อย วางมือทั้ง 2 ข้างไว้ที่บั้นเอวด้านหลัง ให้นิ้วทั้ง 5 ชี้ลงด้านล่าง จากนั้นโน้มตัวไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นับ 1 – 15 แล้วกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น ช่วยคลายความเมื่อยล้าบริเวณหลังส่วนล่าง และเพิ่มความยืดหยุ่นบริเวณแผ่นอก
  • ท่าที่ 2 ทีนี้หันหน้าเข้าหาฝนังห้อง วางแขนทั้ง 2 ข้าง(มือไปจนถึงข้อศอก)ราบกับฝนังห่างกันเท่ากับความกว้างของลำตัว วางเท้าเหลื่อมกันให้เท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านหน้า ห่างจากฝนัง 1/2 ของช่วงเท้า และอีกข้างเยื้องมาทางด้านหลังห่างจากเท้าด้านหน้า 1/2 ช่วงเท้า จากนั้นโน้มตัวเข้าหาฝนัง ย่อเข่าขาด้านหน้าลงช้า ๆ จนขาหลังตึง นับ 1 – 15 แล้วสลับข้าง ท่านี้จะช่วยยืดกล้ามเนื้อขา และหลังส่วนล่าง
  • ท่าที่ 3 เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ขณะที่ยืนเอาผ้าเช็ดตัวถูหลังอยู่นั้น หากควบคุมการท่าทางของแขนให้เป็นจังหวะมากขึ้น ทั้งจากซ้ายไปขวา ขวามาซ้าย หรือเฉียงขึ้นบน ลงล่าง โดยเหยียดแขนให้ตึงขณะดึงผ้า ก็จะกลายเป็นท่าบริหารข้อศอก และแขนไปในทันทีค่ะ
แต่ละท่าที่เรานำมาฝากนี้ ทำแล้วจะรู้สึกสบาย ไม่เหนื่อย เพราะไม่ต้องออกแรงมากนัก ทั้งยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างได้ด้วย  แต่หลังจากอารมณ์ขี้เกียจผ่านพ้นไป อย่าลืมเปลี่ยนไป ออกกำลังกาย กลางแจ้ง หรือเลือกเล่นกีฬาที่ทำให้เหงื่อออกบ้าง เพราะนั่นเป็นวิธี ออกกำลังกาย ที่ดีที่สุดค่ะ
ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine มกราคม, Issue 36

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

4 วิธีผ่อนคลายแบบผิด ๆ ที่เรามักทําจนเคยชิน

    4 วิธีผ่อนคลายแบบผิด ๆ ที่เรามักทำจนเคยชิน




    4 วิธีผ่อนคลายแบบผิด ๆ ที่เรามักทำจนเคยชิน

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

              มาดูวิธีการผ่อนคลายแบบผิด ๆ ที่นอกจากจะไม่ใช่วิธีพักผ่อนที่ดีแล้ว ยังไม่ทำให้หายจากความเครียดได้อีกด้วย

              เวลาที่เรารู้สึกเหนื่อย หรือรู้สึกเครียด ก็คงจะอยากผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ กันใช่ไหมคะ แต่รู้หรือไม่ว่าการผ่านคลายบางชนิด เป็นการพักผ่อนที่ผิดวิธีที่ไม่สามารถช่วยทำให้สมองหรือร่างกายที่พบเจอกับความเครียดมาตลอดทั้งวันผ่อนคลายลงได้ แถมจะยังทำให้เครียดยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย แต่ว่าจะเป็นวิธีไหนบ้างนั้น เราไปดูการผ่อนคลายแบบผิด ๆ นี้ ที่เว็บไซต์ huffingtonpost.com ยกตัวอย่างเอาไว้กันเลยค่ะ

     เล่นโทรศัพท์มือถือ

              ไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ นิวส์ฟีดเฟซบุ๊ก หรือการแจ้งเตือนจากโปรแกรมต่าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยผ่อนคลายได้ เพราะมีการวิจัยพบว่าคนเราจะเช็กโทรศัพท์ประมาณทุก ๆ 6 นาที ซึ่งนั่นไม่ได้เข้าใกล้การพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย คราวหน้าถ้าอยากพักผ่อน อยู่ให้ห่างโทรศัพท์จะดีกว่า แต่ถ้าหากคุณพยายามแล้วก็ยังทำไม่ได้ ก็ได้เวลาที่จะปาโทรศัพท์ทิ้งได้แล้วค่ะ

     ไม่อยู่ในที่เงียบ ๆ

              หลายคนอาจจะคิดว่าการผ่อนคลายที่ดีคือการไปเที่ยวในที่ที่มีผู้คนเยอะ ๆ หรือมีเสียงดังจอแจ อย่างเช่น การดูคอนเสิร์ต ไปเที่ยวกลางคืน หรือเดินห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งที่จริงแล้วการผ่อนคลายที่ดีที่สุดก็คือการอยู่เฉย ๆ ในที่เงียบ ๆ ซึ่งความเงียบนี่ละที่จะช่วยทำให้เราสามารถที่จะโฟกัสกับสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นและช่วยทำให้ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้น

    4 วิธีผ่อนคลายแบบผิด ๆ ที่เรามักทำจนเคยชิน

     อ่านหนังสือในแท็บเล็ต
              ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือก่อนนอน การอ่านหนังสือก็เป็นวิธีผ่อนคลายที่ดีวิธีหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรอ่านหนังสือจากแท็บเล็ต เพราะมันจะไม่ได้ช่วยให้คุณผ่อนคลายลง เพราะมีการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่าแสงสีน้ำเงินที่มากจากจอแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์นั้นจะไปรบการต่อการหลับตาของเราและทำให้เรานอนหลับได้ยากมากขึ้นแถมยังทำให้ฝันร้ายอีกด้วย ดังนั้นคราวหน้าถ้าอยากอ่านหนังสือเพื่อผ่อนคลายลองหาหนังสือสักเล่มมาอ่านแทนดีกว่าค่ะ

     คิดมากเกินไป

              ในช่วงเวลาพักผ่อน เป็นเวลาที่จะควรจะหยุดพัก เลิกคิดถึงเรื่องต่าง ๆ บางคนถึงแม้ว่าจะกำลังผ่อนคลายอยู่ แต่ในหัวกลับคิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณเลิกคิดมากหรอกน่า แต่จะกลับทำให้คุณเครียดมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากต้องการพักผ่อนจริง ๆ ก็เลิกคิดซะ หรือถ้าเลิกคิดไม่ได้ก็ให้คิดอะไรในแง่บวกให้มากเข้า ก็จะช่วยทำให้มีความสุขและผ่อนคลายมากขึ้นค่ะ

              การพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายสมองและร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะร่างกายของเราทุกคนมีขีดจำกัด หากเราเคร่งเครียดกับการงานและการเรียนมากเกินไปจนไม่พักผ่อนก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจได้ ดังนั้นถ้าหากมีโอกาส หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดระหว่างการทำงานบ้างนะคะ แล้วก็ควรจะเลือกให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงวิธีผิด ๆ แบบที่บอกกันไปแล้วด้วยนะคะ เพื่อที่งานที่ทำจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

มันฝรั่ง ช่วย ลดนําหนัก สวยหุ่นเป๊ะ

มันฝรั่ง ช่วย ลดน้ำหนัก สวยหุ่นเป๊ะ


มันฝรั่ง
…………..เนื่องจากเนื้อของ มันฝรั่ง สามารถดูดซับเครื่องปรุงต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมันเข้าไว้ในเนื้อได้มากถึงร้อยละ 30-40 จึงเป็นที่มาของห่วงยางรอบเอว รู้อย่างนี้แล้ว เรามาเรียนรู้เทคนิคปรุง มันฝรั่ง ให้อร่อย ปลอดภัย ห่างไกลโรคอ้วนกันค่ะ
อาจารย์นิพนธ์ ฉิมเฉลิม นักโภชนาการอิสระ แนะนำว่า “เราสามารถนำ มันฝรั่ง มาทำอาหารสุขภาพได้หลายอย่าง เช่น ต้มให้สุกแล้วบด จากนั้นโรยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย หรือถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมมากขึ้น ควรนำส่วนผสมที่ได้ห่อกระดาษฟรอยด์แล้วนำเข้าอบในเตาอบ บดเนื้อ มันฝรั่ง ต้มสุกผสมในน้ำแกง เช่น เมนูหัวปลาต้มเผือก จะทำให้น้ำแกงเข้มข้นขึ้น หรือทำเป็นขนม โดยใช้แทนมันเทศหรือเผือก เช่น บัวลอยเผือก มันทิพย์ เผือกทิพย์ ก็ได้”
แท้จริงแล้ว มันฝรั่ง เป็นอาหารสำหรับผู้ต้องการ ลดน้ำหนัก(และควบคุมระดับน้ำตาล ในเลือดชนิดหนึ่ง) เพราะให้แคลอรี่ต่ำ มันฝรั่งต้ม 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 75-80 แคลอรี่เท่านั้น นอกจากนี้ มันฝรั่ง ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี โพแทสเซียม วิตามินบี 1 และวิตามินบี 6
การปรุง 
“ต้อง ล้างให้สะอาดก่อนนำมาต้มหรืออบ และควรปรุงทั้งเปลือกเพื่อรักษากลิ่นหอมของมันฝรั่งไว้ และยังช่วยรักษาวิตามินซีในเนื้อไม่ให้ถูกทำลายไป ส่วนน้ำที่ต้มมันฝรั่ง อย่าทิ้ง เก็บไปทำน้ำซุปได้”
การเลือกซื้อ
เลือกหัวที่มีสี เหลืองทอง ไม่มีปุ่มตาของรากที่กำลังงอกหรือหัวที่มีจุดสีเขียวอ่อน นั่นแสดงว่า เป็น มันฝรั่ง ที่เก็บไว้นาน เนื้อจะไม่อร่อย มันฝรั่ง ที่มีจุดเขียวๆ และมีรากงอกออกมามีส่วนประกอบของสารอัลคาลอยด์ (alkaloid) ที่เรียกว่า ซาโคนีน (chaconine) และโซลานีน (solanine) ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไปจะเป็นพิษร้ายแรงได้ จึงควรคัดหัวที่มีจุดเขียวทิ้งไป สำหรับผู้แพ้สารโซลานีน แม้ได้รับเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็อาจำให้เป็นไมเกรนได้
การเก็บ
“ไม่ควรนำ มันฝรั่ง ไปแช่ตู้เย็น เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการงอกของรากอย่างรวดเร็ว ควรวาง มันฝรั่ง ไว้ในห้องอุณหภูมิปกติและอากาศถ่ายเทสะดวก” กิน มันฝรั่ง และผักชนิดอื่นๆ หมุนเวียนกันไป ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้หุ่นดี แต่อย่าลืมนอน พักผ่อน ออกกำลังกาย และทำงานให้สมดุลด้วยค่ะ
 ติดตามอ่านได้ใน นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 333

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

รุ้หรือไม่ เงาะก็มีพิษ

เข้าสู่หน้าฝนโปรยปรายเช่นนี้ มีพืชผล ออกมามากมายให้เราได้รับประทานกันอิ่มหนำสำราญ เท่าที่สำรวจตลาดตอนนี้ ผลไม้มีมากมายหลายหลากให้เรารับประทาน อย่างถ้าเป็นช่วงเดือนที่ผ่านมา ทุเรียนก็กำลังมาแรง และดูเหมือนว่ากำลังจะถูกแซง ด้วยเจ้าผลไม้เปลือกขน สีแดง ที่ข้างในหวานฉ่ำ อย่างเงาะ นั่นไงล่ะ
เงาะ เป็นผลไม้รสหวานและอมเปรี้ยว และถือว่าเป็นผลไม้ดับร้อนก็ว่าได้ เพราะเนื้อข้างใน เมื่อทานแล้วจะสร้างความเย็นฉ่ำให้กับร่างกายได้ สำหรับเงาะที่นิยมทานกันมีสองพันธุ์ คือ เงาะโรงเรียนผลรูปไข่ เปลือกสีแดงสดมีขนยาวสีเขียว เนื้อแห้ง แน่นหนา และอีกพันธุ์หนึ่งคือเงาะสีชมพู ผลค่อนข้างกลม เปลือกสีแดงอมชมพู ขนปลายแหลม เปลือกแกะออกได้ง่าย เมล็ดเล็กรูปรี โดยเงาะทั้ง2 พันธุ์นี้ คุณค่าทางโภชนาการ และคุณประโยชน์ต่อร่างกาย นั้นมากมายเลยทีเดียว
937420
เงาะ ผลไม้ลูกเล็กๆ แต่สารอาหารเพียบ
เงาะอุดมด้วยวิตามินC B1 B2 คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไนอาซีน ช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาน แกะเมล็ดออกแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น จะได้รสชาติที่แตกต่างไปอีกแบบหนึ่ง ส่วนเงาะกระป๋องชนิดที่สอดไส้ด้วยสับปะรดหั่นพอคำนิยมเสริฟพร้อมน้ำแข็ง รสหวาน เย็น ชื่นใจ
ว่ากันว่า ทานเงาะ 6 ลูก ให้พลังงานได้ถึง 50 หน่วยพลังงานแคลอรี่ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดังที่ USDA Nutrient database ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า
  • คาร์โบไฮเดรต 20.87 กรัม
  • เส้นใย 0.21 กรัม
  • ไขมัน 0.65 กรัม
  • โปรตีน 2.5 กรัม
  • วิตามินบี1 0.013 มิลลิกรัม 1%
  • วิตามินบี2 0.022 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินบี3 1.352 มิลลิกรัม 9%
  • วิตามินบี6 0.02 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินบี9 8 ไมโครกรัม 2%
  • วิตามินซี 4.9 มิลลิกรัม 6%
  • ธาตุแคลเซียม 22 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุเหล็ก 0.35 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุแมกนีเซียม 7 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุแมงกานีส 0.343 มิลลิกรัม 16%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 9 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุโพแทสเซียม 42 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุสังกะสี 0.08 มิลลิกรัม 1%
โดยค่า % ที่เห็นอยู่นั้น คือร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
ประโยชน์ของ เงาะ
การรับประทานเงาะสดนั้น นอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังมีประโยชน์ ทั้งยังเป็นยารักษาโรคได้ โดย
  • มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  • สรรพคุณช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก
  • ช่วยแก้อาการท้องร่วงรุนแรงได้อย่างได้ผล
  • สรรพคุณของเงาะ ช่วยรักษาโรคบิดท้องร่วง
  • ใช้เป็นยาแก้อักเสบ
  • ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • ประโยชน์ของเงาะ สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างได้มากมาย เช่น การทำเงาะกระป๋อง เงาะกวนเปลือก เป็นต้น
  • เงาะมีสารแทนนิน ซึ่งนำมาใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ย้อมสีผ้า บำบัดน้ำเสีย ทำปุ๋ย และกาว เป็นต้น
  • สารแทนนิน (tannin)ช่วยป้องกันแมลง ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ใช้ทำเป็นยารักษาโรค
ข้อควรระวังในการทาน เงาะ
อย่างที่รู้กันว่า อะไรที่มากเกินไป มันไม่ใช่สิ่งที่ดี และมันจะมีโทษ อย่างการทานเงาะก็เช่นกัน เงาะมีสารแทนนิน (Tannin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่การรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจจะทำให้ท้องอืดหรือท้องผูกได้
และอีกสิ่งที่ควรระวังคือเมล็ดเงาะ เพราะเมล็ดเงาะมีพิษ ห้ามรับประทานเพราะอาจจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีไข้ได้ ถึงแม้จะนำไปคั่วจนสุกแล้วก็ตามก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดีเพราะฉะนั้นควรรับประทานอย่างพอประมาณ และทานเฉพาะในส่วนที่ทานได้ เพื่อที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด

ขอบคุณที่มาจาก : emaginfo.com

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

9 พฤฒิกรรม ที่ทําให้อายุสั้น

ก็สมัยนี้น่ะ คนส่วนหนึ่งที่หันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น อันนี้ก็ดีอยู่แล้วค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เรียกว่าไม่ใส่ใจสุขภาพเอาเสียเลย มีการใช้ชีวิตแบบปล่อยไปตามมีตามเกิด แบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ เพราะการใช้ชีวิตประจำวันของเราเนี่ยแหล่ะ ที่จะบอกได้เลยว่าเราจะมีอายุยื่นสักแค่ไหน หรือแก่ช้าอย่างไร งั้นเรามาดูพฤติกรรมที่ทำให้ อายุสั้น! กันเถอะ
153271354
1. การนอนดึก
ก่อนอื่นเลย คือ การนอนดึก ไม่ว่าจะไปเที่ยวมา ทำงานเลิกช้า ติดซีรีย์ หรือดูฟุตบอล ก็ตาม การนอนดึกนั้นทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นแล้วจะยิ่งทำให้เกิดโรคร้ายอื่นๆ ได้อีก เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะคนนอนดึกก็มักจะหิว ยิ่งง่ายต่อการทานกลางคืนค่ะ
2. สูบบุหรี่และกินเหล้า
อันนี้แน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นผลเสียกับอวัยวะภายในและภายนอกของร่างกาย เพราะปอดและตับจะทำงานหนัก เป็นผลให้แก่เร็วและเป็นมะเร็งตามมา เพราะฉะนั้นเราจึงควรลด ละ และเลิกซะตั้งแต่ตอนนี้นะคะ เพื่อสุชภาพที่ดีของเรา
3. ชอบทานแต่ไขมัน
เพราะไขมันและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็ง ที่จะทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ มิหนำซ้ำยังอ้วนอีกนะ
4. มีความเครียดจัด
เพราะหากมีความทุกข์ ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยในการเจริญเติบโตของมะเร็งได้อย่างดีทีเดียว นอกจากจะเป็นเรื่องของมะเร็งแล้ว ความเครียดนั้นจะบั่นทอนในทุกการกระทำของเราอีกตั่งหากนะคะ มีผลไปถึงหน้าหมองคล้ำดำเสีย ไม่สดใสอีด้วย
5. ร่างกายขาดวิตามิน
เพราะวิตามินต่างๆ จะทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งได้อย่างดี แล้วหากร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้ ก็จะไม่มีอะไรสู้กับมันได้ เพราะฉะนั้นควรหมั่นรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินให้เข้าสู่ร่างกายเป็นประจำ
6. ทานของร้อนจัดเกินไป
อย่างการซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนนั้น จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบ และเมื่ออักเสบแล้วก็มีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างนั้นแล้ว ควรหลีกเลี่ยงและควรรอให้ของร้อนแล้วนั้น อยู่ในระดับที่พออุ่นค่ะ
7. กลั้นปัสสาวะ
น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลาจากการอั้นมันจะทำให้กระเพาะปัสสาวะของเราสะสมสิ่งเน่าเสียเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งได้ แล้วยังทำให้เราเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกด้วย
8. ชอบทานรสเค็ม
สิ่งมีชีวิตที่กินอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเต็ม เนื้อแห้ง เป็นต้น ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชอบทานเค็ม ให้ลดน้อยลง ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ
9. ตากแดดบ่อยเกินไป
แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ อย่างนั้นแล้วจึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดที่แรงจัด หาวิธีป้องกันโดยการทาครีมกันแดด ใส่เสื้อผ้าปกคลุมก็ได้นะ

ขอบคุณที่มาจาก : www.womanplusmagazine.com

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

6 วิธีแก้ง่วง ในที่ทํางานโดยไม่ต้องพึ่งกาแฟ

คุณเคย ง่วง นอนในที่ทำงานจนอยากจะใช้ไม้จิ้มฟันถ่างตาตัวเองหรือไม่? ถ้าหากว่าคุณกำลังพยายามหยุดนิสัยติดกาแฟให้ได้ภายในปีนี้ คุณทำมันได้อย่างแน่นอน!! คราวนี้ เมื่อคุณรู้สึก ง่วง นอน ก็ไม่จำเป็นต้องเดินไปที่เครื่องทำกาแฟเพื่อชงกาแฟเข้มๆ สักแก้วให้ตัวเองอีกต่อไป แต่ให้ปฏิบัติตามเคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อให้วันทำงานของคุณดำเนินไปได้ด้วยดีโดยปราศจากกาแฟ
135547475
1. เดินไปเดินมา
จากการศึกษา พบว่า การเดินเป็นเวลา 20 นาทีสามารถเพิ่มระดับพลังงานในร่างกายของคุณให้สูงขึ้นได้และลดอาการอ่อนล้าให้หมดไป การออกกำลังกายประเภทที่มีแรงกระแทกน้อยจะทำให้คุณเกิดความรู้สึกอ่อนล้าน้อยกว่าการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกมาก ดังนั้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องเดินแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจนทันที นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบด้วยว่าผู้ที่ได้ออกกำลังกายจะสามารถนอนหลับได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย (และจึงไม่ ง่วง นอนในที่ทำงานนั่นเอง)
วิธีการ : เพียงแค่คุณสวมรองเท้าที่ให้ความรู้สึกสบายๆ สักคู่และเดินด้วยระยะก้าวปานกลางเท่านั้นเอง!! ซึ่งการเดินเช่นนี้เพียง 20 นาทีก็สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกายของคุณได้แล้ว
2. ใช้หูให้มากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้ว่า การฟังเพลงในขณะที่คุณทำงานอยู่นั้นจะสามารถช่วยทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวและช่วยเพิ่มสมาธิให้แก่คุณได้อีกด้วย
วิธีการ : สวมหูฟังสบายๆ สักหนึ่งอัน แต่ห้ามฟังเพลงจากลำโพงเด็ดขาดถ้าหากว่าคุณต้องปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น
และลองคิดดูว่าเพลงประเภทใดหรือเพลงของศิลปินคนใดที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน และแม้กระทั่งสำหรับตัวคุณเอง ก็อาจมีความชอบในประเภทของเสียงเพลงที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นคุณกำลังทำงานอะไรอยู่
3. พักสายตาเสียบ้าง
ถ้าหากว่าคุณไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์บ้างเลย ในที่สุด คุณก็อาจต้องประสบกับปัญหาปวดศีรษะ ล้าและแสบตาได้ ดังนั้น คุณควรให้สายตาของตัวเองได้หยุดพักในเวลาที่เหมาะสมเป็นช่วงเวลาสั้นๆ บ้าง ซึ่งแน่นอนว่าจะทำตาของคุณรู้สึกสบาย
วิธีการ : ประมาณทุก 20 นาที ให้คุณมองไปที่ภาพไกลๆ สัก 20-30 วินาที ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อตาของคุณได้ผ่อนคลายและไม่เกิดอาการล้าตา
สำหรับการพักสายตาที่ดีที่สุด แนะนำให้คุณเดินไปที่หน้าต่างและมองออกไปด้านนอกไกลๆ ซึ่งแน่นอนว่าภาพวิวภายนอกจะทำให้คุณรู้สึกสบายตากว่ามองดูโต๊ะทำงานที่แสนรกของตัวคุณเองและของเพื่อนร่วมงานของคุณแน่ๆ
4. ยืดเส้นยืดสาย
การนั่งติดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันจะทำให้คุณปวดคอได้ ซึ่งอาการต่อมาก็คือคุณจะรู้สึกว่าคอแข็งและขยับคอลำบาก ดังนั้น การยืดเส้นยืดสายร่างกายเสียบ้างจะช่วยทำให้ร่างกายของคุณไม่เกิดความเหน็ดเหนือยหรืออ่อนล้ามาก
วิธีการ : การยืดเส้นยืดสายที่ดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นโยคีเสมอไป โดยคุณอาจค่อยๆ ยืดเส้นยืดสายที่อวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายที่ละส่วนก็ได้ เช่น คุณอาจยกไหล่ขึ้นลงเพื่อลดอาการไหล่แข็งเกร็ง ซึ่งทำได้โดยโดยให้คุณนั่งหรือยืน แล้วยกไหล่ขึ้นไปชิดกับใบหู จากนั้นให้คุณบิดไหล่ให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ และค้างไว้เช่นนั้นเป็นเวลา 1-2 วินาที จากนั้นค่อยๆ ปล่อยไหล่ลงมาด้านล่างเพื่อให้ไหล่ได้ผ่อนคลาย และให้ทำเช่นนี้ซ้ำ 8 ครั้ง
5. เพิ่มพลังให้แก่ตัวเองด้วยการกินขนมขบเคี้ยวที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารในมื้อใหญ่สามารถทำให้คุณ ง่วง นอนได้ ดังนั้น ให้คุณลองรับประทานอาหารมื้อหลักในปริมาณอาหารที่น้อยลง และตลอดวันให้คุณรับประทานขนมคบเคี้ยวที่มีประโยชน์มากขึ้นเพื่อให้เกิดพลังงานในร่างกายอย่างเพียงพอ
วิธีการ : แทนที่คุณจะซื้ออาหารขยะจากร้านค้า แนะนำให้คุณนำอาหารมาจากที่บ้านตัวเอง เช่น ถั่วลิสงทอด ผลไม้ หรือผักต่างๆ และแทนที่คุณจะรับประทานอาหารเป็นจำนวนมากในมื้อเที่ยง แนะนำให้คุณนำอาหารใส่กล่องมาจากบ้านในปริมาณที่ไม่ต้องมากโดยแบ่งเป็นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง
6. เมื่อทุกอย่างใช้ไม่ได้ผล ให้คุณใช้น้ำเย็นในการแก้ ง่วง
คงไม่มีอะไรที่จะปลุกคุณให้ตื่นได้ดีไปกว่าการใช้น้ำเย็นล้างหน้า และดื่มน้ำเย็นอีกแล้ว และเมื่อคุณได้ดื่มน้ำจนอิ่มแล้ว คุณก็คงไม่ค่อยที่จะอยากดื่มกาแฟอีกแล้วล่ะ
วิธีการ : อย่าลืมดื่มน้ำตลอดทั้งวัน การที่ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลทำให้พลังงานในร่างกายของคุณเพิ่มขึ้นและทำให้สมองของคุณสามารถคิดสิ่งต่างๆ ได้อย่างแหลมคมอีกด้วย