วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

7 อาหารยอดแย่ ตัวการแก่เร็ว

มาทำความรู้จักกับ 7 อาหารยอดแย่ ตัวการแก่เร็วกันดีกว่า เคล็ดลับสำคัญของการชะลอวัยด้วยตัวเองอย่างหนึ่งคือ เรื่องของอาหาร ซึ่งนอกจากต้องกินอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ ยังต้องเลี่ยง “อาหารที่ทำให้แก่” ด้วยนะคะ ซึ่งมีดังนี้
อาหารยอดแย่
1. สารพ้นอาหารทอด ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นทอด ไก่ทอด หมูทอด ปลาทอด และอื่นๆ อีกมากมายและยิ่งถ้าใช้น้ำมันหรือวิธีการทอดด้วยความร้อนสูง ก็ทำให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่น ทำลายเซลล์ ก่อโรคสารพัน แก่เร็ว แม่ค้าบางคนใช้น้ำมันซ้ำแล้วซ้ำอีกประเภทไม่ดำไม่เปลี่ยน จนเกิดสารที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของน้ำมันที่ทอด ซึ่งเป็นสารก่อนมะเร็งและหากป่วย ความแก่ชราก็จะมาเยือนอย่างรวดเร็ว
2. อาหารผ่านการปรุงแต่งมักมีสารพวกฟอสเฟตที่ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติ ยืดอายุของอาหาร แต่เป็นตัวทำลายสุขภาพ เร่งให้เกิดความชราทำลายระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งไตและกระดูก นอกจากนี้ยังก่อสารพันปัญหาให้ร่างกาย ได้แก่เกิดการอักเสบ ระบบทางเดินอาหารเสียความสมดุลทำลายแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ สมองมึนงง รวบรวบ ความคิดยากทำให้ความแก่มาเยือนเร็วขึ้นค่ะ อาหารตัวการคือ ไส้กรอก อาหารรมควัน เนื้อสัตว์ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง แหนม ของหมักดอง รวมทั้งพวกแป้งขัดขาว ข้าวขาวเส้นหมี่ขาว สปาเกตตีสีขาว เป็นต้น
3. สารสังเคราะห์ในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสารกันบูดสารให้ความหวานแทนน้ำตาลต่าง โมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) โพแทสเซียมโบรเมต โซเดียม ไตเตรตหรือไตไตรต์ รวมทั้งสารสังเคราะห์ต่างๆที่ช่วยถนอมอาหารหรือทำให้รสชาติดีขึ้น
สารเหล่านี้สัมพันธ์กับโรคต่าง รวมถึงมะเร็ง ดังนั้น ถ้าต้องการให้อ่อนเยาว์และสุขภาพแข็งแรง พยายามกินอาหารที่มาจากธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงสารสังเคราะห์ โดยสังเกตจากลากบนบรรจุภัณฑ์ก็ได้นะคะ 
ทรานส์แฟต (trans fat)
ทรานส์แฟต (trans fat) เป็นไขมันชนิดไม่ดี ผลิตด้วยต้นทุนต่ำ เก็บได้ทนโดยเติมไฮโดรเจนในไขมันไม่อิ่มตัวพวกน้ำมันพืช เพื่อให้เสถียร บางครั้งอาจเรียกว่า “ไฮโดรจีเนตแฟตส์” (hydrogenated fats) หรือ “พาร์เชียลไฮโดรจีเนตแฟตส์” (partial hydrogenated fats) โดยใช้เป็นส่วนผสมในอาหารหลายชนิดเช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยว ของทอด เบเกอรี่ต่างๆ เค้ก คุกกี้ บิสกิต ถ้าเติมไฮโดรมาก จะทำให้น้ำมันเป็นก้อนแข็ง กลายเป็นมาร์การีหรือเนยเทียม
ทรานส์แฟตทำให้ไขมันดีในร่างกายลดลง (HDL) และไขมันไม่ดี (LDL) เพิ่มขึ้น
มีการศึกษาพบอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ซึ่งมีทรานส์แฟตเป็นสาเหตุ ประมาณ 20,000 รายต่อปีในประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ทรานส์แฟตยังสัมพันธ์กับโรคต่างๆ อีกมาก เช่น หลอดเลือดในสมอง อัลไซเมอร์ มะเร็ง เบาหวาน อ้วน ตับ ทำงานผิดปกติ ภาวะมีบุตรยากในสตรีซึมเศร้า
ส่วนผิวพรรณ ทรานส์แฟตทำให้การไหลเวียนเลือดที่มาเลี้ยงผิวหนังไม่ดี การสร้างคอลลาเจนและอีสาลตินเสียไปด้วย ทำให้เกิดปัญหามากมายขนาดนี้ ความแก่ความเร็วก็มาเยี่ยมเยือนแน่นอน ระยะหลังผู้ผลิตบางรายเริ่มตระหนักเห็นโทษ จึงเปลี่ยนหรืองดใช้เจ้าทรานส์แฟตอันตรายนี่ ท่านผู้อ่านสามารถสังเกตที่ฉลากดู จะเห็นคำว่า trans fat 0 เป็นการบอกให้รู้ว่าฉันไม่ได้ใส่นะ
แต่ผู้ผลิตอีกมากมายยังใช้อยู่ เราจึงต้องเลือกให้ดี ดูชนิดอาหาร ดูฉลากว่ามีเจ้าตัวอันตรายนี่อยู่หรือเปล่า ซึ่งบางครั้งผู้ลิตก็ไม่ได้เขียนตรงๆ ว่าทรานส์แฟตนะคะ แต่อาจเป็นเนยขาว (shortening). Hydrogenated vegetable oil, vegetable oil shortening, hydrogenated margarine เป็นต้น
อาหารยอดแย่ ตัวการแก่เร็วชนิดอื่นๆ
5.อาหารปนเปื้อนสารเคมีอย่างยาฆ่าแมลง รวมถึงเนื้อสัตว์ที่ผ่านการเร่งการเจริญเติมโตแบบไม่เป็นธรรมชาติ โดยใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตหรือยาปฏิชีวนะ ให้ลองคิดถึงการที่เราต้องกินอาหารพวกนี้เข้าไปสิคะ เราก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เข้าไปด้วย ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล เกิดการอักเสบ แก่เร็ว และเกิดโรคต่างๆ ได้
6.อาหารเค็มจัด โดยปกติร่างกายต้องการเกลือโซเดียมเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าอาหารีเกลือโซเดียมมากไป จะส่งผลทำให้ร่างกายขาดน้ำ ผิวพรรณเหี่ยว เกิดปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด หัวใจ และไต
7.น้ำที่ไม่ใช่น้ำเปล่า พวก น้ำหวาน กาแฟ น้ำอัดลม สุรา เบียร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งต้องห้ามในการชะลอวัย (รายละเอียดอยู่ใน ชีวจิต เล่มก่อนๆ นะคะ)
ต่อไปเวลาไปจ่ายตลาดหรือซื้อของทีซูเปอร์มาร์เก็ต อย่าเผลอหย่อนอาหารยอดแย่ที่ทำให้แก่เร็วเหล่านี้ลงไปในตะกร้าซื้อของของเรานะคะ

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับมิถุนายน 2556

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กินอาหาร ตามกรุ๊ปเลือด เพื่อสูขภาพ

กินตาม กรุ๊ปเลือด กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมของ Dr.Perer J.D’Adammo ซึ่งได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยมจากอเมริกา ปี 1990 เขาใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 30 ปี จนได้ข้อสรุป และเขียนเป็นหนังสือ Eat Right for your Type เขาอธิบายว่า เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียว และจับเกาะติดเลือดเรียกว่า “เล็คติน” ถ้าการกินอาหารที่มีเล็คตินไม่เหมาะสมกับเลือดเรา เล็คตินเหล่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การสร้างอินซูลิน การเผาผลาญอาหาร และความสมดุลของฮอร์โมน
photo3
กรุ๊ป A นักมังสวิรัติดี ๆ นี่เอง
คนเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นมังสวิรัติ
อาหารที่เหมาะกับ กรุ๊ปเลือด
กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อเสริมโปรตีน หลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาจกินได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว บรรดาตระกูลถั่วต่าง ๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบาง ๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามารถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง ผักทั้งสด และสุกกินแล้วดีโดยเฉพาะหอมหัวใหญ่ และบร็อคโคลี มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน
กินผลไม้แทบทุกชนิด ยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้ แต่ควรเลี่ยงเบียร์ และน้ำอัดลม
A เลือดกรุ๊ป เอ
เธอเพียรพยายามกับการไดเอ็ทแบบ ATKINS ที่เน้นเฉพาะเนื้อสัตว์มานาน แต่ หารู้ไม่ว่าเลือดของเธอค่อนข้างเหนียวข้น เมื่อรับประทานเนื้อสัตว์และไขมันเข้าไปจะยิ่งเพิ่มความข้นของเลือดทำให้ เลือดไหลเวียนช้า หัวใจก็ทำงานหนักมากขึ้น และมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งและเบาหวาน นอกจากนี้กระเพาะของเธอยังมีกรดต่ำ รับประทานโปรตีนแล้วไม่ย่อย ถ้าจะให้ดีเธอควรเป็นนักมังสวิรัติเพื่อลดน้ำหนักและสร้างภูมิต้านทานให้ ร่างกายแข็งแรง
อาหารที่เหมาะกับเธอ
  • เนื้อสัตว์ : ห่าง ๆ จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดไว้เป็นดี แต่ปลาทะเลบางชนิด เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ปลากะพงก็พออนุโลมได้ รับประทานเนื้อถั่วลิสง เมล็ดฟักทอง และเต้าหู้ เพื่อทดแทนโปรตีนจากสัตว์
  • ผัก : เสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยบร็อคเคอลี่ แครอท กระเทียม หัวหอม ฟักทอง และผักโขม
  • ผลไม้ : รับประทานได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นมะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะทำให้ระคายเคืองกระเพาะ และเป็นตัวการขัดขวางการดูดซึมของวิตามิน
  • เครื่องดื่ม : เธอสามารถดื่มกาแฟหรือไวน์แดงได้ (วันละหนึ่งแก้ว) เพื่อช่วยเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ควรดื่มนม เบียร์ และโซดา
  • เคล็ดลับการไดเอ็ท : หากรับประทานอาหารตาม กรุ๊ปเลือด สม่ำเสมอ เธอจะน้ำหนักลดลงเองโดยอัตโนมัติ แถมยังได้ชาร์จภูมิต้านทานขนานใหม่ป้องกันโรคภัยโรคภัยต่าง ๆ ด้วย
  • การออกกำลังกาย : ควรออกกำลังกายแบบเบา ๆ ไม่ออกแรงหักโหมเกินไป เช่น โยคะและไทชิ
    ส่วนอาการเครียดที่เธอเป็นบ่อย ๆ สามารถแก้ไขได้ด้วยการนั่งสมาธิเป็นประจำ
images1
กรุ๊ป B อ้วนง่าย
คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัส และภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาตอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
อาหารที่เหมาะกับ กรุ๊ปเลือด
เนื้อกระต่าย กวาง แกะ ไก่งวง ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว อย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยง เนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกาย สามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ข้าวโอ๊ต และข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกายทำให้อ้วนและไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตกควรลองแป้งสเปลท์ (spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน แต่ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศ และข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลิน และระบบเผาผลาญ
กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น ลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ ชาสมุนไพรที่ให้ประโยชน์คือ ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ โสม ชาเขียว
B เลือดกรุ๊ป บี
เธอโชคดีกว่าใคร เพราะ กรุ๊ปเลือด บี มีความสมดุล คือไม่ข้นหรือเหลวเกินไป จึงเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายครอบครอบคลุมทุกหมู่ รวมทั้งสามารถดื่มนมได้ไม่มีปัญหา และไม่มีแนวโน้มจะเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจเหมือนกรุ๊ป เอ อย่างไรก็ดี เธอจำเป็นต้องเลิกกินข้าวโพดของโปรดเพราะเป็นตัวการทำให้เธอน้ำหนักขึ้น ง่ายกว่าอาหารอย่างอื่น
อาหารที่เหมาะกับเธอ
  • เนื้อสัตว์ : เนื้อแพะ แกะ กระต่าย แม้จะหายากสักหน่อยแต่ก็ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้มากควรหลีกเลี่ยง ไก่และไข่ เพราะมีเลคติคไปเกาะกับเซลล์เลือด ปลาทะเลน้ำลึกที่ดีต่อเธอคือ ปลาแซลมอนและปลาหิมะ
  • ผัก : รับประทานผักใบเขียวมาก ๆ จะช่วยไม่ให้เธอเป็นโรคที่เกี่ยวกับภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงมะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ เพราะมีเลคติคซึ่งไปก่อกวนระบบย่อย ขัดขวางระบบเผาผลาญแคลอรีและระดับน้ำตาลในเลือด
  • ผลไม้ : สับปะรดมีเอนไซม์ช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรรับประทานมะพร้าว มะเฟือง และทับทิม
  • เครื่องดื่ม : ชาสมุนไพรที่ดีคือ ชาเขียว ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโสม จะช่วยบำรุงระบบประสาท
  • เคล็ดลับการไดเอท : กุญแจสำคัญสำหรับเธอคือ มันฝรั่ง ข้าวโอ๊ต และสับปะรด เพราะมีไฟเบอร์สูงและช่วยระบบหมุนเวียนของน้ำตาลในเลือด แต่เธอไม่ควรรับประทานข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่ว และงา เพราะเป็นต้นเหตุให้ระบบเผาผลาญแคลอรีทำงานช้าและน้ำหนักขึ้นได้ง่าย
  • การออกกำลังกาย : ควรออกกำลังกายแบบที่ไม่หักโหม แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เช่น เทนนิส ศิลปะป้องกันตัวและปีนเขา
121107920
กรุ๊ป O High Protein
ปัญหาของคนเลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า
อาหารที่เหมาะกับ กรุ๊ปเลือด
เลือก กินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัว และไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่าง ๆ ผัก กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคโคลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำควรหลีกเลี่ยงเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอมและมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาว และมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ
ผลไม้กินได้แทบทุกชนิดโดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และสตรอเบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป ชา สมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิเปปเปอร์มินท์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก
O เลือดกรุ๊ป โอ
เธอเข้าใจมาตลอดว่าผักเท่านั้นที่เป็นหนทางสู่การ เป็นเจ้าของรูปร่างที่ดี แต่แท้จริงแล้วคนเลือดกรุ๊ปโออย่างเธอเหมาะกับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เป็น อย่างยิ่ง บุคคลเลือดกรุ๊ปโอนั้น จะมีระบบย่อยเนื้อแดงที่ดีมากเพราะมีความเป็นกรดสูง ทำให้ย่อยเร็วและดูดซึมดี และสามารถให้ประโยชน์สูงสุดต่อส่วนต่างๆของร่างกาย ส่วนอาการเลือดไหลไม่หยุดซึ่งเธอมักประสบบ่อย ๆ เวลาเกิดแผลเป็นเพราะเลือดเธอค่อนข้างเหลว การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเค เช่น ตับ ไข่แดง คะน้า สปินิช ผัก Swiss chard และควรหันมารับประทานแป้งสเปลท์แทนแป้งสาลี จะสามารถช่วยเธอได้ คนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า นอกจากนี้เธอยังมีปัญหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ซึ่งกระทบระบบเมแทบอลิซึมโดยตรงจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมน้ำหนักเธอถึงขึ้น ง่ายกว่าคนอื่น
กรุ๊ปโอ เป็น กรุ๊ปเลือด ที่มีวิตามินมากพอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะมีปัญหาบ้างที่จะเกี่ยวกับระบบ metabolism (การเผาผลาญเพื่อนำพลังงานไปใช้ในระบบร่างกาย) จึงควรรับประทานอาหารที่มีไวตามินบี เช่น เนื้อ ตับ เซี่ยงจี๊ ไข่ 5ฟอง/อาทิตย์ ผลไม้ ผักใบเขียวและถั่ว ซึ่งเป็นชนิดที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอ หรือเสริมด้วย ไวตามิน บี-คอมเพล็กซ์ และระบบย่อยของคนเลือดกรุ๊ปโอ ไม่รับแคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นม จึงต้องหาแคลเซียมจากที่อื่นแทนซึ่งนั่นก็ได้แก่ ปลาซาร์ดีน หรือ ปลาแซลมอนกระป๋องทั้งก้าง บร็อคโคลี่ และผักcollard green
สำหรับเด็ก ที่อายุ 2-5 ขวบ และ 9-16 ขวบ รวมทั้งผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนอาจต้องเพิ่มแคลเซียมเสริม 600-1,100 มิลลิกรัม และเพื่อเป็นการป้องกันการอักเสบในส่วนต่างๆของร่างกายด้วย
อาหาร อีกชนิดที่คนเลือดกรุ๊ปจะต้องรับประทานคือ อาหารทะเล เพราะอาหารทะเลนั้นจะให้ไอโอดีน เป็นการเพิ่มผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งจะช่วยทำให้ควบคุมน้ำหนักของคนเลือด กรุ๊ปนี้ให้คงที่ เพราะถ้าหากไทรอยด์ไม่คงที่จะทำให้อ้วนได้ง่าย
ผลไม้ที่รับประทานกับเลือดกรุ๊ปโอได้จะมีไม่กี่ชนิด เช่น พลับ พรุน และมะเดื่อ ผลไม้จำพวกนี้จะช่วยลดการละคายเคืองในกระเพาะอาหารได้
น้ำ ผลไม้ที่ดี คือ นำสับปะรด จะช่วยอุ้มน้ำของเซลในร่างกาย หรือน้ำแบลคเชอรี่ จัดว่าเป็นน้ำที่ดีกับเลือดกรุ๊ปโอมาก เพราะเป็น High alkaline juice ทำให้ลดการระคายเคืองของกระเพาะ
ส่วนถ้าเป็นการดื่มชาสมุนไพรนั้นก็ มีชาบางชนิดที่เสริมกับ กรุ๊ปเลือด ได้ดี เช่น Licoria ช่วยในเรื่องของกระเพาะ ,Peppermint,Parsley,Rosehips,Sarsaparilla ช่วยลดความเครียด เป็นต้น
อาหารที่เหมาะกับเธอ
  • เนื้อสัตว์ : รับประทานเนื้อได้แทบทุกชนิด ยกเว้น หมู ห่าน แฮมและเบคอน อย่าลืมรับประทานอาหารทะเล เช่น ปลาทูและเกลือไอโอดีนมาก ๆ เพื่อช่วยต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนให้คงที่
  • ผัก : ผักที่ดีต่อสุขภาพของเธอคือ ผักกาดคอส (ในซีซาร์สลัด) ปวยเล้ง บร็อคเคอลี หอมหัวใหญ่ และสาหร่ายทะเล ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ เพราะไปก่อกวนการทำงานของไทรอยด์ ไม่ควรรับประทานมะเขือยาวและมันฝรั่งมากเกินไป เพราะทำให้เป็นโรคข้ออักเสบได้
  • ผลไม้ : รับประทานผลไม้ที่มีสีแดงเข้มหรือสีม่วงซึ่งมีความเป็นด่างสูง เช่น ลูกพรุน ลูกพลัม จะช่วยสร้างสมดุลให้ระดับกรดในกระเพาะอาหารได้ หลีกเลี่ยงส้มและเกรปฟรุต เพราะทำให้กระเพาะระคายเคือง
  • เครื่องดื่ม : เธอควรเลิกดื่มกาแฟตอนเช้า ๆ ได้แล้ว เพราะจะยิ่งไปเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร เคล็ดลับการไดเอท : ระหว่างไดเอทควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกถัว ธัญพืช และขนมปัง ซึ่งจะทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ
  • การออกกำลังกาย : เล่นกีฬาที่ออกแรงมาก ๆ เช่น วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ จะช่วยเธอเผาผลาญแคลอรีได้ดี

167243097
กรุ๊ป AB มังสวิรัติ และคาร์โบไฮเดรต
กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่าง กรุ๊ปเลือด A กับ B ดังนั้นวิธีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานการกินมังสวิรัติหน่อย ๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบี นิด ๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และกรดในกระเพาะต่ำ
อาหารที่เหมาะกับ กรุ๊ปเลือด
ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกิน นม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็ง และโรคหัวใจ
ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม
AB เลือดกรุ๊ป เอบี
เลือดกรุ๊ปเอบีเป็นพวกลูกผสม เธอจึงคล้ายกับกรุ๊ปเอ ตรงที่มีกรดในกระเพาะต่ำ ต้องรับประทานผักมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกรุ๊ป บี ตรงที่รับประทานเนื้อสัตว์ได้ ยกเว้นไก่แต่ต้องไม่บ่อยนัก ระหว่างไดเอ็ท เธอสามารถรับประทานข้าวและขนมปังได้บ้าง เพราะไม่ส่งผลให้น้ำหนักขึ้นง่ายเหมือนอย่าง กรุ๊ปโอ
อาหารที่เหมาะกับเธอ
  • เนื้อสัตว์ : ที่เธอรับประทานแล้วดีคือ เนื้อแกะ แพะ กระต่าย ไก่งวง ส่วนอาหารทะเล เช่น ปลาเทราต์ ปลาซาร์ดีน ปลาเก๋า ปลาทูน่า
  • ผัก : ผักสด เช่น บร็อคเคอลี แตงกวา กระเทียม ดอกกะหล่ำ และผักใบเขียวต่างๆ
  • ผลไม้ : หลีกเลี่ยงผลไม้เมืองร้อน เช่น มะม่วง กล้วย ฝรั่ง และมะพร้าว เพราะย่อยยาก ผลไม้ตระกูลส้มจะทำให้กระเพาะของเธอระคายเคือง แต่การรับประทานมะนาวกลับช่วยย่อยและล้างระบบลำไส้ได้ แนะนำว่าเธอควรจะเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำอุ่นที่บีบมะนาวสักครึ่ง ซีก
  • เครื่องดื่ม : การดื่มไวน์แดงวันละแก้วจะช่วยเธอสร้างภูมิต้านทานโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ชาคาโมมายล์และชาเขียวช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน
  • เคล็ดลับการไดเอท : ควรรับประทานผักใบเขียว มันฝรั่ง และข้าวโอ๊ต เพราะมีไฟเบอร์สูงและช่วยระบบหมุนเวียนของน้ำตาลในเลือด
  • การออกกำลังกาย : เธอมักจะเครียดบ่อย ๆ เหมือนกรุ๊ป เอ วิธีแก้คือการออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยการเดินช้า ๆ เล่นไทชิ หรือเล่นโยคะ

ขอบคุณที่มาจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของ ผักสลัด แต่ละอย่าง

หลายๆคนคงชอบทานสลัดเป็นอาหารมื้อเช้าหรือเย็น เพื่อควบคุมน้ำหนัก นอกจากสลัดจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้แล้ว ยังมีประโยชน์ทางโภชนาการสูงมากอีกด้วย เพราะ ผักสลัด แต่ละชนิดนั้น ล้วนมีประโยชน์อย่างมากทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่า ผักสลัด นั้นมีประโยชน์ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่า ผักสลัด แต่ละชนิดนั้นให้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง วันนี้เรานำความรู้มาฝากกันค่ะ ไปดูกันเลย
สลัด

ผัดสลัด หรือผักกาดหอม
มีคุณค่าทางโภชนาการ คือ ประกอบด้วยวิตามินบี วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และลูเทียน (lutein) มียาง (latex) ชื่อ แลคทูคาเรียม (lactucarium) ซึ่งมีระดับสูงมากขณะออกดอก นอกจากนั้นยังมีวิตามินบีสูงด้วย
สรรพคุณของผักกาดหอมและวิธีใช้ผักกาดหอม นั้นมักใช้เป็น ผักสลัด มีสารต้านมะเร็งและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับผักสลัดที่มีสีเขียวอื่น ๆ ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของผักกาดหอมคือ ใบ เมล็ด และต้น ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้
  • ต้นผักกาดหอมทั้งต้นคั้นเอาแต่น้ำ นำน้ำที่ได้มาทาฝีมะม่วง (รีดเอาหนองออกก่อน) ใช้ขับพยาธิ แก้พิษ ขับลม เป็นยาระบาย
  • ใบผักกาดหอม น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้ไอ ทำให้หลับง่าย แก้ไข้ ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ
  • เมล็ดผักกาดหอม ใช้รักษาโรคตับ ขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ระงับปวด แก้ปวดเอว และรักษาโรคริดสีดวงทวาร
เรดครอรัล
เป็นผักคล้ายเรดโอ๊ค ใบมีสีเขียวอมแดง หวานกรอบกว่าเรดโอ๊ค มีกากใยอาหารมากเช่นกัน โดยกากใยพวกนี้จะช่วยล้างผนังลำไส้ กำจัดพวกไขมันและอนุมูลอิสระที่เกาะตามผนังลำไส้ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้ ส่วนใหญ่จะทานสด ทำเป็นสลัด เป็นเครื่องเคียงในยำ ทานคู่กับแหนมเนืองจะอร่อยมาก รสชาดคล้ายผักกาดหอมแต่จะหวานกว่า
เรดโอ๊ค
เป็นผักตระกูลสลัดใบมีสีแดงเข้มและเขียวเข้มแล้วแต่สายพันธุ์ มีธาตุเหล็กและวิตามินซีสูง มีกากใยอาหารมาก ย่อยง่าย ช่วยบำรุงสายตา บำรุงกล้ามเนื้อ บำรุงผิวพรรณ ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก และยังช่วยล้างผนังลำไส้ กำจัดพวกไขมันและอนุมูลอิสระที่เกาะตามผนังลำไส้ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้ส่วนใหญ่จะทานสด ทำเป็นสลัด เป็นเครื่องเคียงในยำ ทานคู่กับแหนมเนืองจะอร่อยมาก รสชาดคล้ายผักกาดหอมแต่จะหวานกว่า
กรีนโอ๊ค
ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเส้นผม บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ บำรุงผิวพรรณ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด ให้เส้นใยอาหาร ขจัดอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคปากนกกระจอก ป้องกันโรคหวัด
Cos5
คอส
เป็นผักที่มีวิตามินสูงและมีธาตูเหล็กช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดง (Hemoglobin) ในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ผักสลัดคอสยังมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพียง 3% เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย
กะหล่ำปลีม่วง
เป็นพืชที่มีเยื่อใยอาหารสูงและอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน (สาร indols ซึ่งเป็นผลึกที่แยกมาจาก trytophan กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย) คาร์โบไฮเดรต โซเดียม วิตามินซีซึ่งพบค่อนข้างมากกว่า กะหล่ำปลีสีเขียวถึงสองเท่า ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันมีสารซัลเฟอร์ (Sulfer) ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่และต้านสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย การกินกะหล่ำปลีบ่อย ๆ จะช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งในช่องท้อง ลดระดับคลอเรส เตอรอลและช่วยงับประสาททำให้นอนหลับดี น้ำกะหล่ำปลีคั้นสด ๆ ช่วยรักษาโรคกระเพาะ อย่างไรก็ตามกะหล่ำปลีมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า goitrogen เล็กน้อย ถ้าสารนี้มีมากจะไปขัดขวางกาทำงานของต่อมไทรอยด์ทำให้นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ ได้น้อย ดังนั้นไม่ควรกินกะหล่ำปลีสด ๆ วันละ 1-2 กก. แต่ถ้าสุกแล้วสารgoitrogen จะหายไป กะหล่ำปลีแดงนิยมรับประทานสด เช่น ในสลัดหรือนำมาตกแต่งจานอาหาร การนำมาประกอบอาหารไม่ควรผ่านความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินและคุณค่าอาหาร
ผักโขม
ผักโขมมีโปรตีนสูงและมีกรดอะมิโนครบทุกชนิด เหมาะกับผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ เป็นผักใบเขียวที่มีวิตามินเอ บี 6 ซี ไรโบฟลาวิน โฟเลต และแร่ธาตุ สำคัญได้แก่ แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ทองแดงและแมงกานีส ผักโขมเป็นผักใบเขียวที่มีปริมาณสารออกซาเลตค่อนข้างสูง ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเรื่องนิ่ว เกาต์ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ รวมถึงผู้ที่ต้องการสะสมปริมาณแคลเซียมควรจะต้องหลีกเลี่ยงการกินผักขมในปริมาณมาก ผักโขมยังเป็นผักบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน และแม้ผักโขมจะเป็นผักใบเขียว แต่ก็มีบีตา-แคโรทีนสูง โดยมีสารลูทีนและสารเซอักแซนทิน ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารทั้งสองนี้มีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดความเสี่ยงจากโรคดวงตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 43 ทั้งยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และมีสารซาโปนินที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย นอกจากนั้นผักโขมยังมีเส้นใยอาหารมาก จึงช่วยระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้
ปวยเล้ง
ผักปวยเล้งนั้นมีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่เเร่ธาตุอย่างธาตุเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และวิตามินซี วิตามินบี 2 อีกทั้งยังมีกรดโฟลิกที่เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างสารซีโรโทนินในระบบเซลล์ประสาท ซึ่งสารซีโรโทนินที่ว่านี้ก็มีความสำคัญคือจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย หากขาดสารตัวนี้ก็จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย นอกจากนั้นแล้ว ปวยเล้งยังมีคลอโรฟิลล์สูง จึงเหมาะกับผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลีย และมีอาการเครียด ทั้งยังมีมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ และช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
ขึ้นฉ่าย
มีโพแทสเซียมสูง ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดข้อ เช่น รูมาติกและโรคเกาต์ มีโซเดียมอินทรีย์ที่สามารถช่วยปรับความเป็นกรดและด่างในเลือดให้สมดุล น้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายมีสรรพคุณเป็นยากล่อมประสาท ทำให้รู้สึกสบาย และนอนหลับได้ดี

ขอบคุณภาพและที่มาจาก : grand-organic.com

10 พฤฒิกรรมพา กระดูกเสื่อม ก่อนควร

บุคลิกภาพที่ดีเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นในการดำเนินชีวิตของเราสิ่งที่ควรระวังให้มากๆ คือพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การทำร้ายบุคลิกภาพ
อย่างเช่น การนั่งไขว่ห้าง หรือ การสวมรองเท้าส้นสูงจะทำให้ผู้หญิงเดินอย่างมั่นใจ สง่า แต่บางทีการกระทำเหล่านั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อกระดูกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน นั่ง หรือ นอน ก็มีโอกาสที่จะทำลายกระดูกได้ทั้งนั้น แม้จะเสริมให้บุคลิกภาพดีในช่วงปัจจุบัน แต่ทว่า อนาคตอาจจะบั่นทอนบุคลิกภาพของเราไปอีกยาวนาน
สำหรับกระดูก เป็นอวัยวะที่ประกอบขึ้นเป็นโครงร่างแข็งภายใน (endoskeleton) ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง หน้าที่หลักของกระดูกคือการค้ำจุนโครงสร้างของร่างกาย การเคลื่อนไหว การสะสมแร่ธาตุและการสร้างเซลล์เม็ดเลือด เพราะฉะนั้นหากเราไม่ดูแลรักษากระดูก ก็เป็นการทำลายกระดูก ทำร้ายร่างกายตัวเอง
sb10064105t-001
เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า พฤติกรรมใดบ้าง ที่จะทำให้ กระดูกเสื่อม ได้โดยไม่รู้ตัว
1. พฤติกรรมการยืนแอ่นพุง/หลังค่อม
กลายเป็นสิ่งที่ทำจนติดเป็นนิสัยสำหรับหลายๆ คน ที่มักจะยืนแอ่นพุง หรือไม่ก็เดินหลังค่อม จนทำให้เสียบุคลิกภาพ แถมยังไปทำร้ายกระดูกอีกต่างหาก เพราะพฤติกรรมการยืนแอ่นพุงไปด้านหน้า หรือการยืนหลังค่อม ก็จะทำให้กระดูกสันหลังขดงอ ผิดรูป ไปได้
การยืนหลังตรงจึงเป็นการยืนที่ดีที่สุดสำหรับการยืนที่ดี คือการแสดงถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีของบุคคลนั้น การยืนหลังตรง หน้าอกผาย จะทำให้เราเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี ดูน่าสนใจ
2. พฤติกรรมการนอนขดตัว /นอนตัวเอียง
เวลาที่แต่ละคนนอน มักจะมีท่านอนประจำของตัวเองที่ทำให้หลับสบาย บางคนชอบนอนหงาย บางคนชอบนอนคว่ำ หรือนอนตะแคง แต่ไม่ว่าคุณจะนอนในลักษณะไหน การนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือควรนอนหลับอย่างต่อเนื่อง 6-8 ชม.
และเนื่องจากเวลา 6-8 ชม. เป็นเวลาที่นานพอสมควร ลักษณะของท่านอนของคุณจึงส่งผลโดยตรงกับการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนขดตัว หรือ นอนตัวเอียง ที่ส่งผลกระทบกับกระดูกโดยตรง เนื่องจากการนอนที่ผิดรูปทรงของกระดูกจึงเป็นการทำลายกระดูกได้ดีที่เดียว
ท่าในการนอนที่ดีที่สุด คือการนอนหงายจึงเป็นการนอนที่ถูกต้องที่สุด อย่าลืมลองเปลี่ยนท่านอนกันนะค่ะ
3. นั่งกอดเข่า
การนั่งกอดเข่า เป็นท่านั่งของคนที่จิตตกก็ว่าได้ คิดอะไรไม่ออก เสียใจ ก็ชอบนั่งท่านี้ เด็กๆจะชอบนั่งเวลาไม่ได้ดั่งใจ หากทำบ่อยๆจะก่อเป็นพฤติกรรมที่ทำลายกระดูก เพราะ ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้ นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง และจำกัดการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้ ไม่อยากเสี่ยงภัยก็อย่าลืมควบคุมตัวเองไม่ให้นั่งท่านี้กันนะค่ะ
4. สะพานกระเป๋าหนักข้างเดียว
ในชีวิตของคนเราในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน และการเดินทางนั้นคงไม่มีใครเดินทางตัวเปล่าแน่นอน
ไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกล ทุกคนก็ย่อมมีสัมภาระ มีสิ่งของที่จะต้องพกพา กันทั้งนั้น และกระเป๋าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่คนแทบทุกคนจะต้องมีแน่นอนว่าการสะพายกระเป๋านั้น หากเป็นกระเป๋าสะพายข้าง ไม่ใช่กระเป๋าเป้ที่สะพายหลังแล้ว โดยทั่วไปเราจะสะพายไปข้างที่ตัวเองถนัด สะพายด้วยแขนเดียว ซึ่งพฤติกรรมการสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวนั้นทำให้ไหล่ของเราต้องรับน้ำหนักอยู่ข้างด้วย และยิ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำบ่อยๆ ทุกวัน ก็จะเป็นการทำลายกระดูกได้อย่างที่เราไม่ทันคิดกันเลย
5. นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น
มีสาวๆ หนุ่มจำนวนไม่น้อย ที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเอกสาร หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน และแน่นอนว่าก็ย่อมจะเกิดอาการเมื่อยล้ากันบ้าง จึงทำให้บางคนชอบการนั่งเก้าอี้แบบครึ่งก้น ซึ่งหารู้ไม่ว่า พฤติกรรมการนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้นนี้ จะส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ กระดูกต้องรับน้ำหนักตัวมาก มีผลต่อกระดูกที่จะค่อยๆเสื่อมลง
แต่ถ้าเรานั่งให้เต็มก้นเต็มเบาะ คือเลื่อนก้นให้เข้าในสุดจนติดพนักพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่ ดังนั้นถ้าหากอยากให้มีกระดูกที่แข็งแรงไปอีกนาน ก็ลองปรับท่านั่งในการทำงานใหม่ค่ะ
6. นั่งหลังงอ หลังค่อม
คงจะเป็นไปได้ยากที่เราจะหลังตรงกันตลอดเวลา อาจจะต้องมีบ้างที่แอบเผลอนั่งหลังงอ หรือ นั่งหลังค่อม แต่การนั่งแบบนี้จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลคติค ทำให้มีอาการปวดเมื่อย แล้วปัญหากระดูกผิดรูปก็จะตามมา
การนั่งหลังตรงเป็นท่านั่งที่ถูกวิธีที่สุด เพราะฉะนั้นหากไม่อยากเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี เราควรฝึกฝนให้นั่งหลังตรงจนติดเป็นนิสัย
7. หิ้วของหนักด้วยนิ้ว
ทุกคนคงไม่ปฏิเสธว่าในทุกๆ การซื้อของ หรือหิ้วของ เราจะต้องใช้นิ้วมือในการหิ้ว และการใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะจริงๆ แล้ว กล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักของนิ้วคือการใช้หยิบ,จับโดยไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนักๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมากๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้ เพราะฉะนั้น ลองหาวิธีหิ้วของที่เราจะถนอมกระดูกนิ้วมือมาใช้กัน เช่นการใส่ของลงกระตร้าหรือรถเข็นนะค่ะ
78321674
8. ใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง
สำหรับรองเท้าส้นสูง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คือaccessories สำคัญสำหรับผู้หญิง ซึ่งยากนักที่จะเลี่ยงได้ เพราะสาวๆ หลายคนจำเป็นต้องสวมใส่ในการทำงาน
การใส่รองเท้าส้นสูงนั้น จะทำให้ดูเป็นคนที่มีความสง่า และมีบุคลิกภาพที่ดี เสริมสร้างความมั่นใจแก่ผู้หญิง แต่ทว่าการใส่รองเท้าส้นสูงนานเกินไป หรือบ่อยเกินไป ก็จะเป็นการทำลายกระดูกได้ด้วย เนื่องจากจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลังและการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด ดังนั้นแล้ว หากวันไหนที่ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง สาวๆ อาจจะใส่รองเท้าส้นเตี้ยแทน เพราะแค่มีความมั่นใจ บุคลิกภาพก็ดีได้แล้ว
9. ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว
เวลาที่เราต้องยืนตรงนานๆ ก็ต้องรูสึกเมื่อยกันบ้าง และแน่นอนว่าเราก็จะพยายามหาท่ายืนที่ช่วยลดอาการเมื่อยลงบ้าง อย่างเช่นการยืนพักขาข้างเดียว การยืนพักขาด้วยการลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว เป็นการลงน้ำหนักตัวที่ขาข้างเดียว จะเป็นผลให้กระดูกเชิงกรานบิดเบี้ยวทำให้กระดูกสันหลังคด
สำหรับท่ายืนที่ถูกต้อง ก็คือ ท่ายืนที่ลงน้ำหนักที่สองขาพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสมดุลของร่างกาย ไม่ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป แต่หากเมื่อย อยากจะพักขา ก็ทำได้ แต่พักได้ไม่นานค่ะ สลับขากันไป
10. นั่งไขว่ห้าง
ถือเป็นพฤติกรรมที่ คากไม่ถึงกันเลยทีเดียว เพราะสาวมักจะนิยมนั่งไขว้ห้าง เป็นประจำ หรือบางทีหนุ่มๆ หลายคนก็เป็น อาจเป็นเพราะนั่งแล้วทำให้ดูขาสวย ทำให้นั่งแล้วดูสง่า มั่นใจ แต่หลายคนคงอาจจะยังไม่รู้ว่าการนั่งไขว่ห้าง นั้นเป็นท่านั่งที่จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการกระดูกคดโดยไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นการทำลายกระดูกอย่างยิ่งทีเดียว การนั่งตัวตรง หลังตรง คือวิธีที่ถูกต้องค่ะ ซึ่งจะทำให้กระดูกของเราจะได้อยู่กับเราอย่างสวยงาม นานๆ
หากรู้แล้วว่า พฤติกรรมไหนที่เสี่ยงต่อ กระดูกเสื่อม แล้ว ก็ให้คุณสังเกตตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หันมาดูแลรักษากระดูกของเรากันดีกว่า ให้กระดูกนั่นอยู่เสริมบุคลิกภาพกับเราไปอีกนานๆ ค่ะ

ขอบคุณที่มาจาก : emaginfo.com

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดื่มเหล้าแก้หนาว เป็นความเชื่อที่ผิด!

คนที่เชื่อตามคำบอกเล่าของคนอื่นผนวกกับความรู้สึกของตัวเองว่า ร่างกายดูเหมือนจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปสักแก้วนั้นไม่ถือว่าผิด เพียงแต่เป็นคนที่อาจจะยังไม่เคยทราบผลการวิจัยหลายต่อหลายอัน ที่ให้คำตอบว่า ตกลงแล้ว ดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นจริงหรือ?
คำถามนี้มีคำตอบแน่นอนและเป็นคำตอบที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเรียบร้อยแล้วด้วยกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่ก่อนจะไปทราบถึงผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอปูพื้นเรื่องกลไกลพื้นฐานของร่างกายมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิแวดล้อมกันก่อนสักเล็กน้อย
80472057

คนเรา “หนาว” กันได้อย่างไร
ความรู้สึกหนาวที่เราท่านต่างเคยรู้สึกกันทุกคนนั้นเกิดขึ้นเมื่อ เลือดในร่างกายไหลออกไปจากผิวหนังกลับเข้าไปสู่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายเพื่อไปเพิ่มอุณหภูมิที่แกนกลางของร่างกาย ทั้งยังเพื่อรักษาสภาพของอวัยวะต่างๆในร่างกายไม่ให้เสียหายด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงมีผิวหรือริมฝีปากซีดเผือดเมื่อหนาวสั่นมากๆ การสั่นก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ร่างกายใช้เพื่อเพิ่มอุณหภูมิภายใน
การวิจัยอันหนึ่งซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ. 2005 พบว่าหลังจากที่คนเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป 1 แก้ว ร่างกายจะรู้สึกถึงความอบอุ่นในชั่วขณะสั้นๆ นั่นเป็นเพราะว่าแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายสูบฉีดเลือดออกไปที่บริเวณผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการขับเหงื่อออก ซึ่งยิ่งมีผลทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงไปอีก
ดื่มเหล้าแก้หนาว ทำให้เกิดภาวะ Hypothermia และถึงขั้น “เสียชีวิต”ได้
อีกหลายต่อหลายการวิจัยที่มีออกมาในรอบหลายปีที่ผ่านมายังยืนยันตรงกันว่า แอลกอฮอล์ที่ใครหลายคนยกย่องให้เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมที่สุดกับสภาวะอากาศหนาวนั้น แท้จริงแล้วเพียงแค่ทำให้ผู้ดื่มแค่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ผิวกายเท่านั้น แต่ที่ไม่รู้สึกตัวกันก็คืออุณหภูมิที่ลดต่ำลงภายในแกนกลางร่างกายอันจะนำไปสู่ความเสี่ยงในการเกิดภาวะ ไฮโปเทอร์เมีย (hypothermia) ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะในร่างกายและหากรุนแรงก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย
การวิจัยอีกอันซึ่งทำโดยสถาบันวิจัยเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมของกองทัพสหรัฐฯ ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่าสาเหตุหนึ่งที่การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อภาวะไฮโปเทอร์เมียนั้น เป็นเพราะว่าแอลกอฮอล์ไปมีผลทำให้กระบวนการสั่นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายถูกขัดขวาง ผลการวิจัยอันนี้ได้รับการยืนยันโดยผลการวิจัยอีกหลายอันซึ่งชี้ชัดว่าการย่อยสลายแอลกอฮอล์ในร่างกายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากภาวะไฮโปเทอร์เมีย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยัน ดื่มเหล้าแก้หนาว ความเชื่อที่เป็นผลร้ายต่อร่างกาย!
แม้แต่องค์การอนามัยโลกเองก็ได้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ “ความเชื่อและความเข้าใจผิดต่างๆ เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ไว้บนเว็ปไซต์ ด้วยหวังว่าจะช่วยแก้ความเข้าใจผิดๆ หลายอย่างซึ่งอาจเป็นอันตรายอย่างมหันต์แก่สุขภาพหรือถึงขั้นทำลายชีวิตหากทำกันตามความเชื่อแบบผิดๆเหล่านั้น และหนึ่งในความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่องค์การอนามัยโลกให้ ข้อมูลไว้คือ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นวิธีในการคลายหนาวที่ดีอย่างนั้นหรือ? ส่วนคำอธิบายสั้นๆแต่ได้ใจความขององค์การอนามัยโลกต่อคำถามนี้ ก็เป็นคำอธิบายเดียวกับที่ผลการวิจัยที่ยกมาทั้งหลายทั้งปวงนี้ได้ตอบให้ทราบแล้ว แต่ขอย้ำอีกครั้งนั่นคือ “สภาพแวดล้อมที่มีอากาศเย็น ร่างกายจะพยายามรักษาความอบอุ่นในร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ทนต่อสภาวะที่เย็นได้ โดยการลดการไหลเวียนของกระแสเลือดที่ผิวหนังลงเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปที่อวัยวะสำคัญในแกนของร่างกาย แอลกอฮอล์จึงไม่ใช่วิธีที่ดีที่จะทำให้ร่างกายรู้สึก “อุ่น” แต่กลับทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง โดยเพิ่มอุณหภูมิ (เล็กน้อย) ที่ผิวหนัง (ดูได้จากการหน้าแดง ดูมีเลือดฝาด อะไรทำนองนั้นค่ะ) สุดท้ายอาจเกิดภาวะ Hypothermia ได้”
อุบัติการณ์นี้เกิดในเมืองไทยได้หรือไม่?
แม้ภาวะไฮโปเทอร์เมียจะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในประเทศเมืองหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำระดับศูนย์องศาฯ หรืออุณหภูมิติดลบ และไม่ค่อยพบในเมืองร้อนอย่างประเทศไทย ก็ใช่ว่าจะไม่มีเกิดขึ้นเลย ยกตัวอย่าง เช่น ความนิยมในการไปท่องเที่ยวและพักค้างแรมกันบนยอดภูเขาสูง อย่างเช่น ชมแม่คะนื้งที่ดอยอินทนนท์ หรือดอยอ่างขาง ในภาคเหนือ หรือจะเป็นภูกระดึงในจังหวัดเลย เป็นต้นว่า การไปเฝ้าคอยดูน้ำค้างแข็งเช่นที่ว่านั้น แน่นอนว่าจะเกิดเมื่ออุณหภูมิต่ำเฉียดศูนย์องศาฯ ก็เป็นหนึ่งสถานการณ์เสี่ยง ฉะนั้นแล้ว หากคิดจะดับหนาวกันด้วยแอลกอฮอล์ ก็ให้ตระหนักว่า ณ ที่อุณหภมิต่ำเช่นนั้น ความเสี่ยงในการเป็นภาวะไฮโปเทอร์เมียนั้นสามารถเกิดขึ้นได้มากทีเดียว
สุดท้ายนี้ ทีมงานบทความกรมสุขภาพจิตขอฝากไว้ก่อนจบว่า “นอกจากผลต่อร่างกายแล้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังมีผลต่อการครองสติของผู้ดื่มอีกด้วย และเมื่อขาดสติแล้วอันตรายร้อยแปดสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และกระทั่งนอนหลับหนาวตายก็ยังมี”

ขอบคุณที่มาจาก : ส่วนวิจัยปัญหาสุรา สำนักงานสร้างเสริมสุขภาพ
  www.thaihealth.or.th

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

7 ส่วนของผุ้หญิง ที่ ผุ้ชายชอบ

สาวๆว่าพวกหนุ่ม ๆ เขาสะดุดตาผู้หญิงกันตรงไหนอันดับแรก? ถ้าเราเอาจุดใหญ่ ๆ อย่าง “ความสวย” ออกไปก่อน หลายคนคิดไปไกลถึงเซ็กส์แอพพริล แต่จากประสบการณ์ก็น่าจะได้เคยเห็นมากันบ้างแล้วว่า…บางคนไม่ใช่นะ?  แล้วจริงqพวกผู้ชายเขาจะมองอะไรพวกเธอก่อนเป็นอันดับแรก  มาดูกันจากผลสำรวจจากหนังสือ The Secret Psychology of How We Fall in Love  โดย ด๊อกเตอร์ พอล โดแบรนสกี้ ที่ดูจะขัดแย้งจากความเข้าใจของเรา ๆ อยู่บ้าง
 
Six beautiful women
ดวงตานั่นคือเมื่อพบและต้องพูดคุยกัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เลือกคุยเฉพาะกับผู้หญิงสวยเท่านั้น เอาเป็นว่าเมื่อได้คุยกัน สิ่งแรกที่พวกเขาจะมองย่อมต้องเป็น “ดวงตา” อืม…ถ้าผู้ชายที่คุยกับคุณแบบไม่กล้ามองหน้านี่ล่ะคะ นั่นก็เพราะ “ดวงตา” คือสิ่งดึงดูดที่มีพลังที่สุดไงคะ และดวงตาคือหน้าต่างที่เผยความเป็นตัวเราออกมามากที่สุดด้วย

รอยยิ้ม
คุณคะ! รอยยิ้มของคุณไม่ใช่ความสุขของคุณคนเดียวรู้ไหมคะ? เพราะเมื่อคุณยิ้ม คนอื่นก็จะมีความสุขไปด้วย สาวคนไหนที่ยิ้มเก่ง แน่นอนย่อมดึงดูด แม้จริง ๆ แล้วทุกคนจะสวย-หล่อ เมื่อยิ้ม แต่ก็ยังมีกรณีที่ โชคดีเกิดมาเป็นคนยิ้มสวย ยิ้มมีเสน่ห์ ยิ่งไปกันใหญ่เลย ดังนั้น อย่าหน้าบึ้งตึงไปเลย จะเขินก็ยิ้มเข้าไป ทำตัวสบาย ๆ อย่าเครียดค่ะ

เส้นผม
นั่นสิ! ธรรมชาติเลยสร้างสาว ๆ ให้ชอบสยายผม ปัดผม เล่นเส้นผมของตัวเองต่อหน้าหนุ่ม ๆ ใช่รึเปล่าน๊า? จริง ๆ แล้วพวกเขาชอบผมของคุณเพราะนั่นคือสัญลักษณ์ทางเพศอีกอย่าง เหมือนกับที่คุณเองก็มองผมของผู้ชายเหมือนกัน และเมื่อกุ๊กกิ๊กใกล้ชิดกันก็มักได้เล่นผมกันบ้าง เออเนอะ! ดังนั้น รักษาสุขภาพผมให้ดี ดูแลเส้นผมให้สะอาด อย่าได้ละเลยเชียวนะคะ เพราะพวกเขากำลังเฝ้ามองอยู่

เรียวขา
ไม่น่าแปลกใจเลยค่ะ ผู้ชายชอบมองขาของผู้หญิง เพราะเป็นสิ่งที่สะดุดตา ยั่วยวน มีเสน่ห์ที่สุด พวกเขาก็แค่อดมองไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีขายาวเรียว ยิ่งน่ามองใหญ่เลย พวกเราเองยังชอบแอบมองเลยนี่นา ทำไมผู้ชายจะไม่ชอบล่ะ

หน้าอก
เครื่องหมายการค้าของเพศหญิง ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดหรอกนะคะ และพวกเขาก็ไม่ได้มองหน้าอกของสาว ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน หรือเอาแต่จ้องมอง แต่พวกเขาแค่เห็นอย่างช่วยไม่ได้จริง ๆ ค่ะ

การแต่งตัว ผิวพรรณ
สำหรับพวกหนุ่ม ๆ เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ที่ดูดี น่ามองกว่าแต่งตัวว้อบ ๆ แวม ๆ เสียอีก นี่เป็นเรื่องของการต้องตาในรสนิยมเหมือนกับที่สาว ๆ แอบมองหนุ่ม ๆ ที่แต่งตัวโดนสไตล์ของคุณนั่นแหละ 
ผิวแน่นอนค่ะ ผิวเนียนสวย ทำให้คุณดูสวยทีเดียว และเรื่องผิวก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน แต่ละชาติอีกด้วย ดังนั้นเรื่องผิวอาจเกี่ยวกับสีผิวและเรื่องของสุขภาพผิวที่สดใส ดูสะอาด ไร้ริ้วรอย ดังนั้นดูแลผิวให้ดี ๆ ไม่ใช่เพื่อสายตาของหนุ่ม ๆ แต่เพื่อให้คุณเป็นสาวผิวสวยอีกคนที่ทำให้ตัวคุณเองดูดีได้ในเสื้อผ้าทุกชุดค่ะ
ขอบคุณที่มาจาก cosmenet.in.th

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อยาก ลดนํ้าหนัก ห้าม! อดอาหาร

ความอ้วนไม่เข้าใครออกใคร แม้จะมีการออกกำลังกายเป็นประจำ แต่หากยังไม่เลิกนิสัยกินจุบกินจิบ พฤติกรรมสำคัญที่ทำให้มีน้ำหนักเกินแล้วล่ะก็ การ ลดน้ำหนัก ก็คงไม่ใช่เรื่องหมูๆ อย่างที่ใครๆ บอกง่ายนิดเดียว…
นพ.ฆนัท ครุทกุล เลขานุการเครือข่ายคนไทยไร้พุง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโภชนวิทยาคลินิก รพ.รามาธิบดี ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ไว้ว่า สิ่งสำคัญในการ ลดน้ำหนัก จริงๆ คือ การบริโภคอาหารให้ครบทั้ง 3  มื้อ ไม่ควรอดอาหาร เพราะจะนำไปสู่การบริโภคอาหารเพิ่มมากขึ้น
142286531

โดยคุณหมอให้คำเพิ่มเติมไว้ดังนี้
ควร: กินมื้อเช้า
“เน้นกินอาหารมื้อเช้าที่มีประโยชน์และให้คุณค่า เพราะจะช่วยปรับให้การทำงานของร่างกายเป็นระบบ ช่วยให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย เพราะได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ”
ควร: ปรับพฤติกรรมการกิน
“สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อถึงเวลากิน แม้ไม่หิว ก็ควรกิน หลีกเลี่ยงนิสัยกินจุบจิบ เวลาทำงานไม่ควรนำอาหารหรือขนมตั้งไว้ใกล้มือ เพราะการเห็นของกิน ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารได้
ไม่ควร: อดมื้อ กินมื้อ
“หลายคนไม่กินอาหาร ทำให้เวลาหิว ก็ยิ่งกินมากขึ้น วิธีที่เหมาะสมคือ ถึงเวลาที่ต้องกิน ก็กิน ไม่เช่นนั้น ร่างกายจะมีการกระตุ้นให้อยากอาหาร ไม่อย่างนั้นแล้วจะกินเกินที่ร่างกายต้องการ เพราะฉะนั้นเช้า กลางวัน เย็น เมื่อถึงเวลากิน ก็ควรกินทันที”
ไม่ควร: ปล่อยตัวเองจนหิว
“การปล่อยให้ตัวเองหิว เมื่อหิว ก็จะยิ่งกินเยอะ ซึ่งก่อนนอน 4 ชั่วโมง ไม่ควรกินอาหารแล้ว ควรดื่มน้ำเปล่า หรือนมอุ่นรองท้อง”
เมื่อมีปรับพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้นแล้ว ที่เหลือก็คือการหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานในแต่ละวันได้หมด
“เพียงเท่านี้เราก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องของน้ำหนักเกินแล้วครับ” เลขานุการเครือข่ายคนไทยไร้พุง กล่าวทิ้งท้าย

เรื่องโดย : ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th