วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

กินอย่างไร เมื่อเป็นโรคกระเพาะ

แต่ก่อนนี้ถ้าใครเป็นโรคกระเพาะ แต่เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วโรคกระเพาะรักษาไม่ยาก 2-4
160621907

สาเหตุของโรคกระเพาะ
ก่อนนี้ความเครียดกินอาหารผิดเวลาอยู่เป็นนิจ ที่มีลักษณะเหมือนเกลียวจุกคอร์กชื่อว่าเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไรเรียกย่อ ๆ ว่าเอช. ไพโลไร
คือการใช้ยาแก้ปวดประเภทแอสไพริน "เอ็นเสดส์" (NSAIDS) = Nonsteroidal ป้องกัน imflamatory) และในคนที่เป็นโรคอยู่แล้ว
โภชนบำบัดสำหรับโรคกระเพาะ
สมัยก่อนเมื่อยังไม่ทราบสาเหตุของโรคกระเพาะ อาหารที่ใช้รักษาโรคกระเพาะคือซิปปี้ไดเอ็ท (อาหาร Sippy) ซึ่งใช้นมและอาหารประเภทครีมเป็นหลัก ซึ่งแพทย์สมัยนั้นเชื่อว่าจะช่วยเคลือบแผลในกระเพาะหรือลำไส้ แต่ปัจจุบันพบว่าอาหารดังกล่าวกลับทำให้อาการโรคกระเพาะแย่ลง เนื่องจากแคลเซียมในนมกระตุ้นการหลั่งของกรดทำให้แผลในกระเพาะหายช้าเข้าไปอีก
ปัจจุบันอาหารไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ แต่จะใช้ยาเป็นหลัก อาหารจะเป็นปัจจัยเสริมที่ใช้รักษาร่วมกับยาเพื่อลดอาการ
หลักโภชนบำบัดในปัจจุบันคือ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
  • กินอาหารเป็นเวลากินน้อย ๆ วันละ 4 ถึง 5 มื้อไม่กินจุบจิบโดยเฉพาะก่อนนอน เพราะทุกครั้งที่อาหารตกถึงท้องจะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ
  • ปริมาณอาหารไม่กินอิ่มมากเกินไป มิฉะนั้นจะมีกรดหลั่งออกมามากเกินควร
  • เลี่ยงการดื่มนมบ่อยๆนอกจากนี้ผู้ที่มีปัญหาการย่อยน้ำตาลในนม (แลคโตส) อาจเกิดอาการท้องอืดมีแกสปวดท้อง ท้องเสียได้เพราะระบบย่อยขาดเอ็นไซม์แลคเตสซึ่งใช้ย่อยน้ำตาลนม
  • ระวังการใช้เครื่องเทศรสเผ็ดจัดเช่นพริกต่างๆ ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะบอกได้
  • กินอาหารที่มีกากใยสูงเช่นผักผลไม้และธัญพืชโดยเฉพาะใยอาหารประเภทละลายน้ำเช่นกล้วยมะละกอแอปเปิลซึ่งมีใยอาหารชนิดเพคตินมาก ทนต่อกรดได้ดี
  • กินผักใบเขียวจัดให้มากขึ้น ช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วขึ้นป้องกันเลือดออกในกระเพาะช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร ผักสีเขียวจัดบางชนิดเช่นบร็อคโคลีมีสารซัลโฟราเฟนซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ นักวิจัยพบว่าสารสะกัดซัลโฟราเฟน และอาจป้องกันมะเร็งได้
  • ผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูงเช่นแครอทฟักทองผักใบเขียวจัดแคนตาลูปช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะและลำไส้เร่งให้แผลหายเร็วขึ้น การกินผักผลไม้ยังช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ซึ่งช่วยให้แผลในกระเพาะหายเร็วและป้องกันการติดเชื้อ
  • เลี่ยงกาแฟรวมทั้งชนิดไม่มีคาเฟอีน แม้จะน้อยกว่ากาแฟก็ตาม
  • เลี่ยงน้ำส้มน้ำมะนาวถ้าทำให้ไม่สบายท้อง เนื่องจากกรดไหลย้อนกลับทางทำให้เกิดอาการแสบร้อนในลิ้นปี่
  • เลี่ยงอาหารทอดอาหารเค็มและน้ำอัดลม
  • เลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัด ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการทำให้ไม่สบายท้องได้
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์และไวน์เพราะจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดได้มากขึ้น
  • งดบุหรี่
  • เคี้ยวช้าๆในเวลากินไม่เร่งรีบ
  • ควรสังเกตตัวเองว่าอาหารชนิดใดที่ก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย เพราะการตอบสนองต่ออาหารในแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่อาหารชนิดเดียวกันถ้ากินคนละเวลาร่างกายก็จะตอบสนองต่างกัน
  • หลีกเลี่ยงความเครียด โดยทำให้หายช้า166220023
ข้อควรระวังไม่ควรใช้ยาลดกรดมากเกินควร แคลเซียมวิดามินบี 12
กินอาหารให้หลากหลายเป็นเวลาสม่ำเสมอไม่เร่งรีบในการกิน อย่าทำตัวเป็นคนช่างเครียดออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ตัวอย่างเมนูอาหารโรคกระเพาะ
  • เช้าน้ำแอ๊ปเปิ้ล 180 ซีซี / ขนมปังโฮวีท 2 แผ่น / เนยเทียม 2 ช้อนชา / แยม 1 ช้อนโต๊ะ / นมถั่วเหลือง / ชาเขียว
  • ว่างเช้าแอ๊ปเปิ้ล 1 ผลเล็ก / ขนมปังกรอบจืด 4 แผ่นเล็ก / นมขาดไขมัน 120 ซี.ซี.
  • เที่ยงซุปบร็อคโคลี 1 ถ้วยเล็ก / ข้าวโพดต้ม 1/2 ถ้วยตวง / ข้าวสวย 1-2 ทัพพี / ปลาซาบะย่าง
    1/2 ถ้วยตวง / แตงโม / น้ำ
  • ว่างบ่ายกล้วยหอม 1 ผลเล็กไอศครีมโยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 สกูป
  • เย็นสลัดผัก 1 ถ้วยตวง + น้ำสลัดไขมันต่ำ / เนื้ออกไก่อบ 1/2 อก / ข้าวซ้อมมือ 1/2 ถ้วยตวงคลุกเนยเทียม 1 ช้อนชา / 
    ขนมปังดินเนอร์โรล 1 ชิ้น / หน่อไม้ฝรั่งลวก 1/2 ถ้วยตวง / แคนตาลูป 1 / 4 ลูก / น้ำ

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557


7 อาหารแสลงหน้าร้อน กินแล้วยิ่งร้อนกาย อันตรายสุขภาพ

7 อาหารแสลงหน้าร้อน กินแล้วยิ่งร้อนกาย อันตรายสุขภาพ


อาหารแสลงหน้าร้อน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 

          อาหาร 7 อย่างต้องห้ามหน้าร้อน มาดูกันซิว่า อาหารแสลงในช่วงอากาศร้อน ๆ อย่างนี้มีอะไรบ้าง จะได้หนีห่างให้ไกล ๆ เลย
          ไอร้อนและเปลวแดดที่แผดเผาในช่วงซัมเมอร์นี้ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียได้ มากกว่าปกติจริง ๆ นะคะ เราถึงได้รู้สึกหิวกระหายน้ำอยู่บ่อย ๆ ถึงได้มีคำแนะนำให้จิบน้ำเปล่าเยอะ ๆ หรือทานผลไม้ฉ่ำ ๆ จะได้ช่วยเติมน้ำเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้

          อ๊ะ ! แต่นอกจากการทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยดับร้อนให้ร่างกายแล้ว ก็ต้องระวังอย่าเผลอไปทานอาหารที่จะมาเพิ่มความร้อนให้ร่างกายเด็ดขาด อย่าง ที่ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำอาหารแสลงร้อน 7 อย่าง ที่ต้องหนีให้ห่างในช่วงซัมเมอร์ร้อน ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายเรายิ่งร้อน เสี่ยงต่อการอักเสบและเกิดโรค มาดูกันค่ะว่ามีอาหารประเภทไหนบ้าง

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          เวลาเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เราจะรู้สึกร้อนวูบวาบใช่ไหมคะ นี่ล่ะ เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยาย หากดื่มในเวลาที่อากาศรอบตัวร้อนจัด มีโอกาสที่คุณจะช็อกได้เลย

          นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับตับเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะไปเพิ่มความร้อนให้ตับ ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการล้างพิษเหล้า เลยยิ่งเกิดกระบวนการอักเสบขึ้นในตัวเรา

2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

อย่าง กาแฟ หรือชา เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ทำให้เราต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น เป็นการขับน้ำออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำเราจะรู้สึกเพลียแดดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฤทธิ์ของคาเฟอีนยังไปกระตุ้นถึงแต่ละอณูของสมอง ทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น ดังนั้น จึงควรงดดื่มกาแฟในวันที่ต้องออกไปทำงานกล้างแจ้ง หรือถ้าติดกาแฟจริง ๆ ไม่ดื่มไม่ได้ ก็ขอให้ดื่มน้ำตามเข้าไปช่วยอีกแรง


ขนมหวาน

3. ขนมหวานทั้งหลาย

          ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ขนมไทยที่ส่วนใหญ่จะมีรสหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้ก ฯลฯ ก็ทำให้ร่างกายเราร้อนขึ้นได้ เพราะเมื่อร่างกายเราเผาผลาญน้ำตาลจะสร้างความร้อนขึ้นมา และยังปล่อยขยะที่เกิดจากการเผาผลาญออกมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย

4. ของทอด ของมัน 

          ของทอดแสนอร่อยที่ชอบทานกันนั้นได้รับความร้อนมาจากน้ำมันที่ใช้ทอด และน้ำมันทอดนี่เองที่ทำให้ร่างกายเราร้อน และเกิดการอักเสบได้ด้วย เช่นเดียวกับของมัน ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนม เนย วิปครีม ครีมเทียม ถือเป็นทรานส์แฟตที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดการอักเสบ และกระทบต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ทีเดียว

5. อาหารรสเค็มจัด

          ยิ่งกินเค็มเท่าไร ไตก็ทำงานหนักขึ้นเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วในหน้าร้อนไตของเราจะทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว เพื่อคอยสงวนน้ำไว้ในร่างกาย จะได้ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะและขับเหงื่อดับร้อน แต่ถ้าเรายิ่งทานของเค็ม ๆ ซ้ำเติมลงไปอีก จะยิ่งกดดันให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นต่อไปถ้าจะทานอาหาร ไม่ควรปรุงรสเค็มจากน้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ เพิ่มอีก ปริมาณที่พอดีก็คือ ไม่ควรทานน้ำปลาเกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนเกลือก็ไม่ควรทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน


ทุเรียน

6. ผลไม้รสหวานฉ่ำน้ำตาล

          ผลไม้หวาน ๆ อย่างเช่น ทุเรียน ละมุด ขนุน ลำไย จริง ๆ ก็สามารถทานได้ แต่ไม่ควรทานมากจนเกินไป เพราะในผลไม้เหล่านี้มีน้ำตาล "ฟรุกโตส" ซึ่งมีส่วนในการสร้างอนุมูลอิสระและไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะทุเรียนต้องระวังอย่าทานมากเกินไปค่ะ เพราะในเนื้อทุเรียนมี "กำมะถัน" ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สร้างความร้อนให้ร่างกายมาก ยิ่งมาผสมกับน้ำตาลฟรุกโตสแล้ว ดังนั้นควรทานพอประมาณเท่านั้น ไม่ใช่นั้นได้ร้อนในแน่ ๆ

7. น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน

          หลายคนอาจคิดในใจว่า ยิ่งอากาศร้อนก็ต้องยิ่งดื่มน้ำหวานน้ำอัดลมจะได้สดชื่นดับกระหายคลายร้อน ซึ่ง นพ.กฤษดา ก็ยอมรับว่า เครื่องดื่มหวานจัดเย็นเจี๊ยบช่วยให้ความสดชื่นได้จริง แต่ถ้าดื่มบ่อยไปก็ยิ่งชวนให้กระหายน้ำมากขึ้นเหมือนกัน เพราะในเครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาล อีกทั้งดื่มมากไปจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินโควต้าต่อวัน และยิ่งมีกรดซ่าหรือคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดความซาบซ่า จะไปกัดกร่อนเคลือบฟันได้

          อย่างไรก็ตาม นพ.กฤษดา ก็บอกด้วยว่า อาหารทั้ง 7 อย่างนี้อาจส่งผลหรือไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกายก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็น สำคัญ เพราะถ้าหากทานเยอะ ๆ ทานบ่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ป่วยไข้ในหน้าร้อนนี้ได้

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

NCDs โรคร้ายข้างกายที่เราสร้างเอง


NCDs โรคร้ายข้างกายที่เราสร้างเอง

NCDs โรคร้ายข้างกายที่เราสร้างเอง


Non-communicable diseases

NCDs : โรคร้ายที่เราสร้างเอง (สสส.)
เรื่องโดย : ฉัตร์ชัย นกดี Team Content www.thaihealth.or.th

          NCDs ชื่อนี้คือโรคไม่ติดต่อที่เป็นแล้วป่วยเรื้อรัง และเป็นโรคอันดับหนึ่งที่คร่าชีวิตคนทั่วโลก ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากพฤติกรรมของเรานี่เอง

          การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน เปรียบเหมือนทางด่วนที่ก่อให้เกิดโรคร้ายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะการดำเนินชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยหลายอย่าง ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล ทั้งเรื่องการกิน การนอน การออกกำลังกาย และการทำงาน
         
          นายแพทย์ทักษพล ธรรมรังสี ผู้จัดการแผนงานเครือข่ายควบคุมโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า "โรค NCDs" ย่อมาจากคำว่า Non-communicable diseases หมายถึง กลุ่มโรคไม่ติดต่อ ที่ไม่สามารถแพร่กระจายโรคจากคนสู่คนได้ โดยทั่วไปอาจเรียกว่า กลุ่มโรคเรื้อรัง ซึ่งหมายถึงโรคที่เกิดต่อเนื่องยาวนาน และมีการดำเนินของโรคเป็นไปอย่างช้า ๆ ซึ่งแตกต่างจากโรคติดเชื้อส่วนใหญ่ ที่มักมีการดำเนินโรคอย่างรวดเร็ว

   กลุ่มโรค NCDs ที่สำคัญประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่
          1. กลุ่มโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด (รวมถึงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง)
          2. กลุ่มโรคเบาหวาน
          3. กลุ่มโรคมะเร็ง
          และ 4. กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (รวมถึงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคหอบหืด)

          "โรค NCDs จัดเป็นฆาตกรอันดับหนึ่ง ที่คร่าชีวิตประชากรโลกมากกว่าสาเหตุการตายอื่น ๆ ทุกสาเหตุรวมกัน มากถึง 36.2 ล้านคนต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 66% ของการเสียชีวิตของประชากรโลกทั้งหมดในปี 2554 ขณะที่ในประเทศไทย กลุ่มโรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงประมาณ 3.1 แสนคน หรือ ร้อยละ 73 ของการเสียชีวิตของประชากรไทยทั้งหมดในปี 2552"
         
          ผู้จัดการแผนงานเครือข่ายควบคุมโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า นอกจากผลกระทบทางด้านสุขภาพแล้ว โรค NCDs ยังส่งผลกระทบต่อสังคม โดยมีข้อมูลยืนยันว่า เป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะด้านคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์

          โดยโรค NCDs ทำให้ประชากรเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เกิดการสูญเสียศักยภาพในการประกอบอาชีพ และผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยและโรคแทรกซ้อน โดยนอกจากจะเพิ่มภาระแก่คนรอบข้างแล้ว ยังสร้างภาระแก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลค่าของค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพในแต่ละปีที่มีมูลค่ามหาศาล
                
   ความเชื่อว่าเป็นโรคของคนแก่
         
          นายแพทย์ทักษพล กล่าวต่อไปอีกว่า โดยทั่วไปมักมีความเข้าใจกันว่าโรค NCDs เป็นโรคของผู้สูงอายุ แต่จากข้อมูลพบว่า ประมาณ 1 ใน 4 ของการตายด้วยโรค NCDs พบว่าเป็นการเสียชีวิต ก่อนอายุ 60 ปี อาการของโรคที่เกิดขึ้นตอนสูงอายุ มักเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงสะสม ในช่วงวัยหนุ่มสาว เหมือนเราสะสมดินระเบิดเอาไว้เรื่อย ๆ ซักวันมันก็ต้องระเบิดออกมา
         
   ความเชื่อว่าเป็นโรคของคนรวย
         
          เนื่องจากสาเหตุของโรค NCDs มักเกี่ยวข้องกับการกินอยู่และวิถีชีวิต ส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าโรคเหล่านี้ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน มักเป็นโรคของความอยู่ดีกินดี และมักเกิดขึ้นเฉพาะกับคนในสังคมเมือง หรือคนรวยเท่านั้น ซึ่งในควมเป็นจริง คนยากจนเสี่ยงต่อการเป็นโรค NCDs มากกว่าคนรวย เพราะมีพฤติกรรมสุขภาพที่เสี่ยงมากกว่า เช่น การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา เป็นต้น

          ที่สำคัญเมื่อเป็นโรคแล้ว คนยากจนจะมีความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพที่น้อยกว่า จึงมักควบคุมอาการไม่ได้และเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้มากกว่า
                   
   โรคที่มาจากการทำร้ายตัวเอง
         
          ผู้ จัดการแผนงานเครือข่ายควบคุมโรคไม่ติดต่อ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากโรค NCDs มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา กินอาหารหวาน มัน เค็ม และการขาดการออกกำลังกาย

          ดังนั้น การจัดการวิกฤต โรค NCDs และปัจจัยเสี่ยงหลัก จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรมีหน้าที่จัดการสิ่งแวดล้อมในสังคม ทั้งทางกายภาพและทางวัฒนธรรม เอื้อต่อพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพง่ายขึ้น เช่น การควบคุมการขายและการทำการตลาดของสินค้าทำลายสุขภาพ หรือสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายมากขึ้น เป็นต้น
         
          แม้ว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตที่เราเคยปฏิบัติกันมาจนเคยชิน จะสามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้มากมาย แต่วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตให้มีความสมดุล และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

เปิด 10 ตัวยาแพทย์แผนไทย ชุดละ 200 บาทรักษาทุกโรค

เปิด10ตัวยาแพทย์แผนไทย ชุดละ200บาทรักษาทุกโรค

วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:40:11 น.

นพ.ธวัชชัย กมลธรรม



เมื่อวันที่ 11 เมษายน นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวโครงการจัดทำชุดกล่องยาสมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพในครัวเรือนว่า สมุนไพรไทยถือเป็นอีกทางเลือกที่จะดูแลประชาชนยามเจ็บป่วยได้ ปัจจุบันก็มีการพัฒนาเข้าสู่ระบบมาตรฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงมีการพัฒนาศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้านความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อเป็นช่องทางการเข้าถึงยาสมุนไพร รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จึงได้มีการจัดทำยาแผนไทยประจำบ้าน ประกอบด้วย 10 ตัวยา ที่สามารถรักษาได้ครอบคลุมทุกโรคพื้นฐาน ได้แก่ 1.ยาหอม แก้ลมวิงเวียน 2.ขมิ้นชันแคปซูล แก้แผลในกระเพาะอาหาร จุกเสียด ท้องอืดท้องเฟ้อ 3.ฟ้าทะลายโจรแคปซูล บรรเทาอาการหวัด ท้องเสีย 4.ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย 5.ยาจันทลีลา แก้ไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู 6.ยาธรณีสันฑฆาต แก้ท้องผูกยาถ่าย 7.น้ำมันเหลือง แก้ปวดเมื่อย 8.คาลาไมน์พญายอ แก้ผื่นแพ้แมลงกัดต่อย 9.โลชั่นกันยุงตะไคร้หอม ทากันยุง และ 10.ยาเปลือกมังคุด ฆ่าเชื้อแผลสดแผลเปื่อย

"เบื้องต้นจัดทำชุดยาแผนไทยประจำบ้านทั้งหมด 1 หมื่นชุด เพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการเผยแพร่และให้ความรู้ประชาชนได้ซื้อเก็บไว้เป็นทางเลือกในแต่ละครัวเรือน โดยหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ราคาประมาณ 200 บาท" นพ.ธวัชชัยกล่าว



วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

ปลุกพลังบวกให้กาย และ ใจ แจ่มใสได้ทุกวัน

    ปลุกพลังบวกให้กาย-ใจ แจ่มใสได้ทุกวัน

    ปลุกพลังบวกให้กาย-ใจ แจ่มใสได้ทุกวัน


    mental health


    ปลุกพลังบวกให้กาย-ใจ แจ่มใสทุกวัน (สสส.)

    โดย ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th

              วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้นำเคล็ดลับในการฟื้นฟูพลังบวกให้กับชีวิต ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจให้กลับมาสดชื่นแจ่มใสในทุก ๆ วัน เพื่อการทำงานอย่างมีความสุขมาฝากกัน

              "โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ" โค้ชด้านการพัฒนาตนเอง และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ฝากสวัสดีปีใหม่ไทยถึงผู้อ่านทุกท่าน ก่อนจะเล่าว่า คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการทำงาน ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องทำงานอย่างมีความสุขและสนุกสนาน เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเบื่องาน หรือซึมเศร้า นั่นก็เท่ากับว่า "คุณภาพชีวิตของคนเรากำลังแย่ลง"

              โค้ชสิริลักษณ์ มีคำแนะนำสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศและคนทำงานด้วยว่า การสร้างพลังบวกในการทำงานเพื่อให้เกิดความสุขอย่างง่าย ๆ ผ่านอายาตนะทั้ง 5 คือ...


    eye

    ตา
              
              ในแต่ละวันเราต้องเลือกมองสิ่งที่ดี เพราะสิ่งที่เรามองนั้นจะสร้างพลังบวกให้ตัวเรา ได้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส เช่น มองภาพธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว มองดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน มองความน่ารักของเด็ก ๆ มองดูรอยยิ้มของผู้คน เป็นต้น เมื่อเรามองในสิ่งที่เป็นบวก เราก็จะได้รับพลังบวกเหล่านั้นเข้ามา แต่ถ้าเราเลือกมองแต่เรื่องลบ ๆ เช่น ข่าวเครียด ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ คนทะเลาะกัน หน้าตาบูดบึ้ง สิ่งเหล่านั้นก็จะส่งพลังลบให้เราได้


    ear

    หู

              
              เสียงต่าง ๆ ที่เราได้ยินสามารถสร้างบรรยากาศการทำงานได้เป็นอย่างดี เลือกฟังเสียงที่ไพเราะ สร้างความเบิกบานใจให้กับเรา เช่น เพลงที่ความหมายดีๆ เพลงบรรเลงที่ช่วยให้เกิดการผ่อนคลาย หรือหากต้องการความกระชุ่มกระชวยก็อาจจะเปิดเพลงที่มีจังหวะเร็วขึ้น นอกจากนั้นคำพูดดี ๆ คำชม การให้กำลังใจแก่ตัวเองและผู้อื่นก็สามารถสร้างพลังบวกให้เราได้เช่นกัน การเลือกพูดคุยกับคนที่คิดบวกก็จะช่วยให้เราได้รับพลังด้านบวกเพิ่มเข้ามา และการที่เราเองให้กำลังใจคนอื่นนั้น ก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น และมีความสุขที่ได้แบ่งปันสิ่งดี ๆ

              
              ส่วนคำพูดที่ไม่ดี เราอาจจะได้ยินแล้วไม่ชอบใจ ก็ปล่อยมันผ่านเลยไป ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยอยู่กับมัน และรีบเรียกพลังบวกกลับคืนมาโดยเร็ว

    nose

    จมูก
              
    การรับกลิ่น เริ่มต้นจากการทำตัวเราเองให้สะอาดสะอ้าน การรับกลิ่นหอมไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม กลิ่นแป้ง กลิ่นยาสระผม กลิ่นหอมรอบกายต่างๆ สามารถทำให้จิตใจเราเบิกบานได้ หรือแม้แต่บางคนที่ชอบดื่มกาแฟ เวลาที่ได้กลิ่นหอมของกาแฟก็จะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า รวมไปถึงการฉีดสเปรย์ปรับอากาศกลิ่นหอมอ่อนๆ ในที่ทำงานก็สามารถสร้างบรรยากาศที่สดชื่นช่วยให้ทำงานได้อย่างมีความสุข

    tongue

    ลิ้น
              
    การรับรส ในแต่ละวันเรามีสิทธิ์เลือกว่าจะรับประทานอะไร การได้กินอาหารที่อร่อย และอาหารที่เราชอบ นอกจากจะทำให้เรามีความสุขแล้ว อาหารที่สะอาด อร่อย และมีคุณภาพ ยังจะทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นการสร้างพลังบวกให้ชีวิตได้อีกทาง  


    body

    กาย
              
              การสัมผัสผ่านทางผิวหนัง เช่น การที่เราอยู่ในบรรยากาศที่โล่ง โปร่ง เย็นสบาย จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้ หรือแม้แต่การจัดโต๊ะทำงานให้เข้าที่เป็นระเบียบ การหาของนุ่ม ๆ มาไว้กอดและสัมผัสในที่ทำงาน เช่น ตุ๊กตา, หมอนอิง ก็จะช่วยสร้างความรื่นรมย์ในการทำงานได้เช่นเดียวกัน รวมไปถึงการสัมผัสที่อ่อนโยนกับเพื่อน เช่น จับมือ หรือสวมกอดให้กำลังใจกัน ก็เป็นการถ่ายทอดความรัก เติมกำลังใจให้กันได้เป็นอย่างดี ทำให้ต่างคนต่างมีความสุข


              นอกจากนี้การออกกำลังกาย และการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกระฉับกระเฉงยังช่วยให้เกิดพลังชีวิตที่เป็นบวก สมองจะแจ่มใส ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย และเมื่อเรายิ้มแย้มคนรอบข้างก็จะพลอยแจ่มใสไปด้วย
              

              ทั้งหมดนี้จะมาลงท้ายที่ "จิตใจ" ซึ่งถ้าเราสามารถทำทุกอย่างที่กล่าวมานี้ และสามารถสร้างพลังบวกให้ตนเองได้ จิตใจเราก็จะรู้สึกผ่องใส และนี่คือการเติมพลังชีวิตชั้นยอดเลยทีเดียว
              

              โค้ชสิริลักษณ์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ การมอบความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น การรักในงานที่ทำ และตระหนักถึงคุณค่าในภารกิจหน้าที่ของตัวเอง แค่นี้เราก็จะมีความสุขในทุก ๆ วันได้แล้วค่ะ
     

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

6 วิธีลดหน้าท้อง ที่คุณอาจไม่เคยลอง

วิธีลดหน้าท้องที่คุณอาจไม่เคยลอง

วิธีลดหน้าท้อง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เป้าหมายหนึ่งที่คุณผู้ชายคาดหวังจากการออกกำลังอย่างหนักหน่วงคือ การมีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สวยงาม ซึ่งในตำราการเล่นฟิตเนสทั้งหลายอาจสอนให้คุณขยับเข้าใกล้เป้าหมายนั้นได้หลากวิธี แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทดลองฝึกวิธีเหล่านั้นตามแล้วยังไม่ได้ผลล่ะก็ ลองเปิดใจมาดูเทคนิคเหล่านี้ดูก่อน เพราะเรามี 6 วิธีบริหารหน้าท้องให้สวยงามในแบบที่หลายคนอาจไม่เคยลองมาก่อนจากเว็บไซต์mensfitness มาแนะนำให้ได้ลองปฏิบัติตามกันครับ
          Barbell Straight-Leg Situp

Barbell Straight-Leg Situp


          วิธีบริหารท่านี้เป็นการผสมผสานระหว่างการยกน้ำหนักและการซิทอัพเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกมีเพียงบาร์เบลที่ใส่แผ่นเหล็กที่มีน้ำหนักเบา เมื่อพร้อมแล้วจึงนอนราบลงกับพื้นให้ขาเหยียดตรง พร้อมยกบาร์เบลขึ้นเหนือหน้าอกโดยให้แขนเหยียดตรงเช่นกัน จากนั้นยกตัวขึ้นในท่าซิทอัพจนกระทั่งลำตัวตั้งตรงแล้วยกบาร์เบลขึ้นเหนือศีรษะไปพร้อม ๆ กัน

          Band Pallof Press

Band Pallof Press


          เริ่มต้นด้วยการจับสายเคเบิลด้วยมือทั้งสองข้างให้อยู่ในระดับหน้าอก แล้วยืนหันข้างให้กับเครื่องในท่ากางขาและตั้งไหล่ตรง โดยเว้นระยะห่างจากเครื่องจนกระทั่งสายเคเบิลตึง จากนั้นจึงค่อย ๆ ยืดแขนไปข้างหน้าจนสุดแล้วดึงกลับมา โดยหัวใจสำคัญของการบริหารท่านี้คือการเกร็งลำตัวเพื่อต้านแรงดึงของสายเคเบิล โดยจะเห็นผลเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สวยงามในที่สุด

          Suspension Trainer Sprinter

Suspension Trainer Sprinter


          อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการฝึกท่านี้ได้แก่ TRX หรือเชือกออกกำลัง เมื่อเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วให้วางเท้าทั้งสองข้างไว้บนห่วงที่ปลายเชือก จากนั้นคว่ำตัวลงในท่าวิดพื้นโดยให้แขนทั้งสองข้างเหยียดตรง เสร็จแล้วจึงค่อย ๆ ดึงหัวเข่าด้านขวามาด้านหน้าเข้าหาหน้าอกแล้วยืดกลับสู่ตำแหน่งเดิม โดยทำแบบเดียวกันนี้กับหัวเข่าอีกข้างหนึ่งสลับกันไปมา การบริหารท่านี้นอกจากจะช่วยให้มีกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สวยงามแล้ว ยังช่วยเร่งอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งส่งผลดีต่อกระบวนการเผาผลาญแคลอรี่อีกด้วย

          Medicine-Ball Slam

Medicine-Ball Slam


          วิธีออกกำลังท่านี้เริ่มต้นโดยการยืนกางขาและตั้งไหล่ให้ตรง โดยในมือถือลูกบอลน้ำหนัก (Medicine Ball) เอาไว้ด้วย จากนั้นจึงเกร็งหน้าท้องแล้วค่อย ๆ ชูลูกบอลขึ้นเหนือหัวให้ค่อนไปทางด้านหลังจนกระทั่งรู้สึกว่าไหล่เริ่มล็อก เสร็จแล้วจึงทุ่มลูกบอลลงที่พื้นอย่างแรง และใช้มือรับในจังหวะที่เด้งกลับขึ้นมา

          Swiss-Ball Rollout

Swiss-Ball Rollout
          ในการบริหารท่านี้จะใช้สวิสบอลเป็นตัวช่วย ก่อนอื่นให้วางแขนทั้งสองข้างไว้บนลูกบอลพร้อมยืดขาออกไปด้านหลัง จากนั้นจึงเกร็งหน้าท้องแล้วค่อย ๆ กลิ้งลูกบอลไปด้านหน้า ให้แขนและสะโพกยืดจนสุด เมื่อไม่สามารถกลิ้งลูกบอลไปด้านหน้าต่อได้แล้ว จึงกลิ้งลูกบอลกลับเข้าหาตัว

          Body-Weight Star Plank

Body-Weight Star Plank


          เริ่มต้นด้วยการเตรียมพร้อมในท่าวิดพื้นแบบทั่วไป จากนั้นกางแขนและขาออกเป็นรูปดาวให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมเกร็งลำตัวและหน้าท้องไปด้วย ทำท่านี้ค้างไว้อย่างน้อย 30 วินาที โดยการฝึกท่านี้สามารถทำได้ง่ายทุกที่ทุกเวลาเนื่องจากไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยใด ๆ ทั้งสิ้น 

          ได้รู้วิธีการบริหารหน้าท้องด้วยวิธีการใหม่ ๆ ไปแล้วก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันดูนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม เราอยากให้คุณออกกำลังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการบริหารหลายท่าต้องใช้อุปกรณ์เป็นตัวช่วย หรือไม่ทางที่ดีควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากเทรนเนอร์หรือผู้มีประสบการณ์จะดีที่สุดครับ
              

วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

ตํานาน ริบบิ้นสีเหลือง ตราบใดที่ยังมีความหวัง ก็ยังมีหนทาง

ตำนาน ‘ริบบิ้นสีเหลือง’… ตราบใดที่ยังมีความหวัง ก็ยังมีหนทาง

ริบบิ้นสีเหลือง … ตราบใดที่ยังมีความหวัง ก็ยังมีหนทาง


จากเหตุการณ์เรือข้ามฟาก Sewol ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังเดินทางไปทัศนศึกษา ณ เกาะเจจูได้อับปางลง เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเป็นจำนวนมาก (อ่านข่าวเก่า) จนถึงวันนี้เป็นระยะเวลานับสัปดาห์แล้วที่ยังคงมีผู้สูญหายจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้

ริบบิ้นสีเหลือง

ริบบิ้นสีเหลือง

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์อันเศร้าสลดเกิดขึ้น หลายคนคงเริ่มเห็นชาวเกาหลีอัพโหลดภาพของ ‘ริบบิ้นสีเหลือง’ ผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก รวมทั้งเหล่าคนดัง อาทิ G-Dragon, คิม แจจุง และ ซูยอง Girls’ Generation ก็ได้ร่วมแคมเปญ‘ริบบิ้นสีเหลือง’ เพื่อแสดงออกถึงความหวังว่าผู้สูญหายจะเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย… ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า ความเชื่อเรื่อง ‘ริบบิ้นสีเหลือง’ มีความเป็นมาอย่างไร?

ริบบิ้นสีเหลือง

ตำนานเรื่อง ‘ริบบิ้นสีเหลือง’ เกิดขึ้นเมื่อปี 1971 และถือกำเนิดจากฝั่งตะวันตก

ชายผู้หนึ่งเพิ่งพ้นโทษและกำลังเดินทางกลับบ้าน บนรถบัสระหว่างทางกลับ เขาได้เล่าให้คนบนรถฟังว่า ตนเองเพิ่งพ้นโทษจำคุกและกำลังกลับบ้าน แต่เวลา 3 ปีช่างนานนัก เขาไม่รู้ว่าหญิงคนรักจะยังปักใจกับเขาหรือไม่ จึงได้เขียนจดหมายไปหาเธอ และบอกเธอว่าถ้าเธอยังต้องการเขาและยังอยากให้เขากลับบ้าน ก็ขอให้ผูกริบบิ้นสีเหลืองเอาไว้ที่ต้นโอ๊คริมทาง 1 เส้น แต่ถ้าเขาไม่เห็นริบบิ้นสีเหลืองที่ต้นโอ๊ค นั่นก็แสดงว่าเธอไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้ว เขาก็พร้อมจะเข้าใจ และยินดีที่จะจากไปอย่างเงียบๆ

จนกระทั่งรถขับผ่านบริเวณทิวแถวของต้นโอ๊คมากขึ้นเท่าไหร่ ใจของชายผู้นั้นก็เต้นแทบจะระเบิดออกมา เขาหลับตาสนิทและบอกคนขับว่าช่วยดูทางแทนเขา เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะไม่เห็นริบบิ้นใดๆ

แต่ตอนนั้นเอง… ผู้โดยสารทั้งคันรถก็โห่ร้องด้วยความดีใจ เพราะริมทางนั้น มีริบบิ้นสีเหลืองนับร้อยเส้นผูกไว้ที่ต้นโอ๊คทุกกิ่งก้านละลานตา เพื่อรอคอยและต้อนรับการกลับมาของเขา

เหตุการณ์นั้นยังเป็นต้นกำเนิดของบทเพลงอมตะเพลงหนึ่งที่มีชื่อว่า Tie a Yellow Ribbon

I’m comin’ home, I’ve done my time
Now I’ve got to know what is and isn’t mine
If you received my letter telling you I’d soon be free
Then you’ll know just what to do if you still want me
If you still want me

Just tie a yellow ribbon ’round the old oak tree
It’s been way too long, do you still want me?
If I don’t see a ribbon ’round the old oak tree
I’ll just stay on the bus, forget about us, put the blame on me
If I don’t see a yellow ribbon ’round the old oak tree

Bus driver, please look for me
‘Cause I couldn’t bear to see what I might see
I’m really still in prison and my love, he holds the key
A simple yellow ribbon’s all I need to set me free
I wrote and told him please…

Just tie a yellow ribbon ’round the old oak tree
It’s been way too long, do you still want me?
If I don’t see a ribbon ’round the old oak tree
I’ll just stay on the bus, forget about us, put the blame on me
If I don’t see a ribbon ’round the old oak tree

Tie a yellow ribbon ’round that old oak tree
I’m coming home

Now the whole dang bus is cheerin’ and I can’t believe
I see a hundred yellow ribbons tied ’round the old oak tree
I’m comin’ home, I’m glad you waited for me
Tie a yellow ribbon ’round the old oak tree
Tie a ribbon ’round the old oak tree
Tie a ribbon ’round the old oak tree
Tie a yellow ribbon if you still want me

Tie a yellow ribbon ’round the old oak tree
Tie a yellow ribbon ’round the old oak tree



ริบบิ้นสีเหลือง

อย่างไรก็ตาม ขอให้ทิว ‘ริบบิ้นสีเหลือง’ ที่ชาวเกาหลีต่างผูกไว้ทั่วทั้งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก สร้างปาฏิหาริย์และพาเหล่าผู้สูญหายกลับบ้านอย่างปลอดภัย… ตราบใดที่ยังมีความหวัง ก็ยังมีหนทาง สมดั่งตำนาน ‘ริบบิ้นสีเหลือง’


ข่าวนี้เผยแพร่โดยมิวสิคเอ็มไทย — http://music.mthai.com — หากนำข่าวไปใช้กรุณาให้เครดิตเว็บไซต์ด้วย 

images by free.in.th

มิวสิคเอ็มไทย โดนใจ ทุก Social ติดตามความเคลื่อนไหว ได้ทาง facebook MThaimusic – Twitter@mthaimusic – Youtube musicmthaitube – Instagram : @musicmthai

ติดต่อทีมงานมิวสิคเอ็มไทย music@mthai.com 

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ดัชนีมวลกาย หาค่า BMI เช็กกันหน่อยไหมคุณอ้วนหรือยัง

    ดัชนีมวลกาย หาค่า BMI เช็กกันหน่อยไหมคุณอ้วนหรือยัง ?

    ดัชนีมวลกาย หาค่า BMI เช็กกันหน่อยไหมคุณอ้วนหรือยัง ?


    ดัชนีมวลกาย ค่า bmi

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

              ดัชนีมวลกาย bmi หาค่าอย่างไร แล้วลองมาเช็กดูซิว่า ค่าดัชนีมวลกายของเราอยู่ในเกณฑ์ไหน
              จะว่าไป บางทีเราก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันนะว่าตอนนี้ตัวเอง "อ้วน" หรือ "ผอม" เกินไป เพราะดูเผิน ๆ แค่รูปร่างภายนอกก็สรุปไม่ได้เหมือนกัน ว่า น้ำหนักกับส่วนสูงของเราสมดุลกันหรือเปล่า แต่เรามีวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณรู้ตัวเองได้ว่าตอนนี้รูปร่างของคุณอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือผิดปกติไหมนะ นั่นก็คือ การหาค่าดัชนีมวลกายนั่นเอง

     แล้วดัชนีมวลกายคืออะไรล่ะ?

              ดัชนีมวลกาย หรือ Body mass index (BMI) เป็นค่าดัชนีที่คำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง เพื่อใช้เปรียบเทียบความสมดุลระหว่างน้ำหนักตัว ต่อความสูงของมนุษย์นั่นเอง ซึ่ง Adolphe Quetelet ชาวเบลเยียม เป็นผู้คิดค้นขึ้น และถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว 

     หาค่าดัชนีมวลกายได้อย่างไร?

              ง่าย ๆ แค่ต้องรู้ตัวเลข 2 อย่าง คือ "น้ำหนักของตัวเอง" (หน่วยเป็นกิโลกรัม) และ "ส่วนสูงของตัวเอง"(หน่วยเป็นเมตร) ตัวอย่างเช่น เราน้ำหนัก 60 กิโลกรัม มีส่วนสูง 160 เซนติเมตร หรือเท่ากับ 1.6 เมตร ก็จำเลข 60 กิโลกรัม กับส่วนสูง 1.6 เมตรเอาไว้ ถ้าพร้อมแล้วก็มาลองคำนวณดัชนีมวลกายของตัวเองดูกันเลย 

     สูตรคำนวณดัชนีมวลกาย

              BMI = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง
              ถ้าเราหนัก 60 กิโลกรัม สูง 1.6 เมตร ก็จะคำนวณได้เป็น 60 หารด้วย (1.6x1.6) = 23.43

              จำตัวเลขที่เราคำนวณไว้ให้ดีนะจ๊ะ เพราะเราจะนำตัวเลขที่ออกมานี้แหละไปเทียบกับเกณฑ์ต่อไปนี้


    ดัชนีมวลกาย ค่า bmi


     มาดูเกณฑ์ประเมินค่าดัชนีมวลกาย

              สำหรับค่านี้กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)
     
               ค่าที่ได้น้อยกว่า 18.5 >>>> คุณผอมเกินไป

               ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 18.5-24.9 >>> คุณอยู่เกณฑ์เหมาะสม น้ำหนักตัวปกติ

               ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 25-29.9 >>> คุณน้ำหนักเกิน แต่ยังไม่เรียกว่าอ้วน

               ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 30-39.9 >>> คุณอ้วนแล้ว !

               ค่าที่ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 40 >>> คุณอ้วนเกินไป อันตรายมาก !!!

              เห็นเกณฑ์ข้างต้น หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมตัวเลขเกณฑ์ที่ใช้เปรียบเทียบไม่ตรงกับที่เคยรู้มา อันนี้ต้องบอกก่อนค่ะว่า ค่านี้เป็นค่าที่ใช้ในประเทศเมืองหนาว แต่ถ้านำมาเทียบกับคนเอเชีย ซึ่งเป็นเมืองร้อน จะมีการปรับเปลี่ยนตัวเลขนิดหน่อย เพื่อให้เหมาะสมกับเมืองร้อนที่ไม่จำเป็นต้องมีไขมันไว้ปกป้องร่างกายจากอากาศหนาว ๆ มากนัก ดังนั้น ค่าดัชนีมวลกายที่เหมาะสมสำหรับชาวเอเชียจะต้องเป็น
               ค่าที่ได้น้อยกว่า 18.5 >>>> คุณผอมเกินไป

               ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 18.5-22.9 >>> คุณอยู่เกณฑ์เหมาะสม น้ำหนักตัวปกติ

               ค่าที่ได้อยู่ระหว่าง 23-24.9 >>> คุณน้ำหนักเกิน แต่ยังไม่เรียกว่าอ้วน

               ค่าที่ได้มากกว่า 25-29.9 >>> คุณอ้วนแล้ว ! 

               ค่าที่ได้มากกว่า 30 >>> คุณอ้วนเกินไป เสี่ยงที่จะเกิดโรคที่มาจากความอ้วน

              ดังนั้น จากที่เราคำนวณได้ค่า 23.43 ถ้าเป็นคนเอเชียก็เท่ากับน้ำหนักเกินไปนิดหน่อยจ้า แต่ยังไม่เรียกว่าอ้วนนะ 

              อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกก็คือ ค่าดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้กับคนที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก ๆ อย่างนักกีฬา นักเพาะกาย หรือหนุ่ม ๆ ที่ชอบฟิตกล้ามนะจ๊ะ เพราะคนกลุ่มนี้อาจจะมีน้ำหนักมาก แต่ก็ไม่จัดว่าอ้วน

              ลองนำสูตรนี้ไปคำนวณกับตัวเองดูได้เลย อย่างน้อยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เตือนให้เราได้รู้ตัวกันเนอะ เพราะถ้าอ้วนเกินไป รับรองว่าต้องเจอโรคร้ายมารุมเร้าแบบไม่ต้องกวักมือเรียกแน่นอน จะได้รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยไว ยิ่งปรับเร็วเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น