วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปลาดอรี่ กับความจริงที่คุณยังไม่รุ้

ปลาดอรี่ กับความจริงที่คุณยังไม่รู้
 

ปลาดอรี่ กับความจริงที่คุณยังไม่รู้
       ถ้าใครชอบกินปลาแล้วยังชอบเข้าร้านสเต็กด้วยล่ะก็ คงต้องเคยสั่ง "สเต็กปลาดอรี่" มาทานกันแน่เลย แหม...แค่ฟังชื่อ "ปลาดอรี่" ก็ดูเป็นอาหารจานหรูขึ้นมาแล้วเนอะ แถมพอตักเข้าปากก็ยังสัมผัสได้ถึงเนื้อนุ่ม หวาน อร่อย หอมกลิ่นเนยและเครื่องเทศสุด ๆ จนกลายเป็นสเต็กจานโปรดของใครหลายคนเลยใช่มะ พูดแล้วก็หิววว ><

แต่วันนี้เรามีความลับของเจ้าปลาชื่อแปลกนี้ที่ถูกนำมาแล่ขายมาบอกกัน เชื่อว่าหลายคนคงพอรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าใครยังไม่เคยรู้ก็เร่เข้ามาฟังความจริงชัด ๆ เกี่ยวกับปลาดอรี่ที่ชวนอึ้งกันเลยดีกว่า ซึ่งทาง กรมประมง และคุณสรรค์สนธิ บุณโยทยาน ข้าราชการบำนาญ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เจ้าของเว็บไซต์ yclsakhon.com ได้ตีแผ่เรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ 

พูดถึง "ปลาดอรี่" แล้ว ลองไปค้นข้อมูลดูก็พบว่า เป็นปลาที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า "จอห์น ดอรี่" (John Dory) ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zenopsis conchifera อาศัยอยู่ในทะเลลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นปลาตัวกลม ๆ อ้วน ๆ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ปลาจอห์น ดอรี่ จากทะเลลึกในแดนไกลนี้ เป็นคนละชนิดกับสเต็กปลาดอรี่ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรา แม้เวลาที่เราไปหาซื้อปลาดอรี่แล่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตจะเห็นถุงบรรจุเขียนว่า "ปลาดอรี่" หรือ "แพนกาเซียส" แต่จริง ๆ แล้ว มันเป็นคนละตัวกับปลาจอห์น ดอรี่ 

อ้าว ! แล้วปลาดอรี่ที่เราซื้อมาทำสเต็กทาน จริง ๆ มันคือปลาอะไรกันแน่ล่ะ? คำตอบก็คือ ปลาสวายประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Pangasius hypophthalmus" ซึ่งปลาตระกูล "Pangasius" จะมีอีกชื่อหนึ่งว่า "Cream dory" เมื่อเห็นชื่อ ดอรี่ เหมือนกัน คนก็เลยเข้าใจว่าเป็นปลาจอห์น ดอรี่ ของแท้ แล้วก็ไม่ต้องสงสัยไปว่า ถ้าเป็นปลาสวาย ทำไมถึงมีเนื้อสีขาว ต่างจากปลาสวายของไทยที่เนื้อจะออกเหลือง ๆ หน่อย นั่นเพราะปลาสวายที่นำมาแล่ขายโดยใช้ชื่อว่าปลาดอรี่นั้นน่ะ นำเข้ามาจากฟาร์มเลี้ยงในเวียดนาม โดยปลาชนิดนี้ปกติจะอาศัยอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยจะเรียกว่า "ปลาเผาะ" รูปร่างหน้าตาเหมือนกับปลาสวายเลย ต่างกันตรงที่มีเนื้อสีขาวเท่านั้น
และเมื่อปลาสวายจากเวียดนามถูกส่งไปยังขายยังต่างประเทศ ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เขาก็จะเขียนระบุไว้บนถุงบรรจุเลยว่า "Swai" แถมยังระบุไว้ด้วยว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มส่งตรงมาจากเวียดนามด้วย ต่างกับที่วางขายในประเทศไทยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้ แต่กลับบอกเป็นปลาแพนกาเซียสบ้างล่ะ เป็นปลาดอรี่บ้างล่ะ ซึ่งจริง ๆ ควรใช้คำว่า "ปลาครีม ดอรี่" มากกว่า เพราะปลาดอรี่นั้นจะหมายถึงปลาจอห์น ดอรี่ ซึ่งเป็นคนละตัวกัน เมื่อปลาสวายธรรมดา ๆ ถูกอัพเกรดให้กลายเป็นปลาดอรี่ของต่างประเทศไปซะงั้น ก็เลยเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปลาสวายไปในตัว เพราะเข้าใจว่าเป็นปลาชนิดเดียวกับปลาจอห์น ดอรี่ นั่นเอง เพราะแบบนี้แหละ สเต็กปลาดอรี่จึงกลายเป็นอาหารหรูเลิศ แถมแพงเสียด้วย
ได้รู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว อึ้ง ! กันไหมจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นํ้าผึ้ง กับสูขภาพทางเพศที่ท่านไม่รุ้

คนไทยเราส่วนใหญ่รู้จัก น้ำผึ้ง ในฐานะยาอายุวัฒนะ  หรืออาหารเสริมบำรุงร่างกาย มาช้านาน และใช้คุณประโยชน์ของ น้ำผึ้ง ในการส่งเสริมการเจริญเติบโต การฟื้นฟูระบบต่างๆของร่างกายที่สึกหรอไป หรือใช้ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า น้ำผึ้ง กับสุขภาพทางเพศมีความเกี่ยวข้องกัน และคนสมัยโบราณได้ใช้คุณประโยชน์ของ น้ำผึ้ง เพื่อเป็นยาบำรุงสุขภาพทางเพศมาช้านาน วันนี้เรามารู้คุณประโยชน์ของ น้ำผึ้ง กับสุขภาพทางเพศกัน
728000-topic-ix-3
ประโยชน์ของ น้ำผึ้ง กับสุขภาพทางเพศ
1. น้ำผึ้ง จะอุดมด้วยสารที่กระตุ้นทางเพศมากมายหลายชนิด เพราะตัวผึ้งจะรวบรวมเอาน้ำหวานและสารอาหารเหล่านี้จากมวลดอกไม้นานาพรรณ เช่น ดอกมะลิ ดอกกล้วยไม้ ฯลฯ และสารเหล่านี้สามารถใช้ในการปรับปรุงสุขภาพทางเพศของคนเราได้
2. น้ำผึ้งบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้ผ่านความร้อน จะอุดมด้วยสารกระตุ้นทางเพศอ่อนๆ ตามธรรมชาติ และยังมีสารและแร่ธาตุหลายอย่าง เช่น สังกะสี , วิตามินบี และอี ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของร่ายการ และสร้างเสริมสุขภาพทางเพศให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเผาผลาญไขมันภายในร่างกายให้กลายเป็นน้ำตาล ช่วยในการลดน้ำหนักได้อีกด้วย
3. วิตามินที่เป็นองค์ประกอบสำคัญภายในน้ำผึ้ง จะช่วยเสริมสร้างการผลิตฮอร์โมนเพศชาย ที่มีชื่อว่า Testosterone และสารโบรอนในน้ำผึ้งช่วยให้ร่างกายที่สร้างฮอร์โมน Estrogen ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการเร้าอารมณ์ทางเพศ
4. หากเรารับประทานน้ำผึ้งและกระเทียมก่อนนอนเป็นประจำจะช่วยให้เรานอนหลับง่าย และช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้ดียิ่งๆขึ้น
5. สำหรับผู้ที่มีบุตรยากเนื่องจากฝ่ายชายมีจำนวนตัวอสุจิต่ำ การรับประทานน้ำผึ้งเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายสามารถเพิ่มจำนวนตัวอสุจิให้สูงขึ้น และเสริมสร้างความแข็งแรงให้ตัวอสุจิ ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เซลล์ของร่างกายที่มีหน้าที่ในการผลิตอสุจิทำงานดีขึ้นฮันนี่
6. การรับประทานน้ำผึ้งผสมกับน้ำผลไม้ วันละ 2 ช้อนโต๊ะเช้าเย็น จะทำให้อวัยวะเพศของฝ่ายชายมีความแข็งตัวได้ดี
7. การรับประทานน้ำผึ้งเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายให้สูงขึ้น
เมื่อทราบคุณประโยชน์มากมายของน้ำผึ้งกับสุขภาวะทางเพศแล้ว คุณจะไม่หามาลองรับประทานซักหน่อยหรือ?

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

7 รูปแบบความรักที่คุณอาจเคยเจอมาแล้วในชีวิตจริง

7 รูปแบบความรักที่คุณอาจเคยเจอมาแล้วในชีวิตจริง


            เชื่อว่าทุกคนก็คงเคยเจอกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ กันบ้างแหละสักครั้งในชีวิต แต่คุณเคยรู้บ้างหรือเปล่าว่า ความรักไม่ได้มีความรักแบบหนุ่มสาวเท่านั้นนะ เพราะยังมีรูปแบบความรักที่หลากหลายอยู่บนโลกใบนี้ หากยังไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เพราะในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับความรัก 7 รูปแบบ ด้วยตัวคุณเอง แล้วมาดูกันนะคะว่าคุณเคยเจอความรักแบบไหนกันมาบ้าง

           1. รักไม่สมหวัง

           แม้รักที่ไม่สมหวังจะมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ทรมานเกินคำบรรยาย และใครจะเข้าใจความรู้สึกได้ แต่ในความเจ็บปวดนั้นมันก็มีด้านดีอยู่ไม่น้อย เพราะคนส่วนใหญ่ที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็จะมีหัวใจที่แข็งแกร่งมากขึ้น และมีเหตุมีผลกว่าที่เคยเป็น อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสามารถในการควบคุมอารมณ์ สติ และการกระทำได้มากขึ้นด้วย โดยอาจจะต้องแลกมาด้วยความอดทนสักนิด แต่ผลลัพธ์มันคุ้มค่าอย่างแน่นอน

           2. รักบริสุทธิ์

           ส่วนความรักประเภทนี้จะไม่มีเรื่องเซ็กส์หรือแรงดึงดูดเข้ามาใจเกี่ยวข้อง และเป็นเรื่องของใจล้วน ๆ โดยส่วนมากความรักแบบนี้มักจะปรากฏในความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวหรือเพื่อน ที่ก่อเกิดจากการทำงานร่วมกัน ทำให้เกิดความใกล้ชิด แล้วค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความรักกับคนที่เป็นแรงบันดาลใจ และผลักดันให้คุณได้พบเจอกับสิ่งที่ดีงาม

           3. รักตัวเอง

           คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่น่าสนใจบ้างหรือไม่ ? หากคำตอบ คือ ไม่ ก็แสดงว่าคุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตัวเองแล้วล่ะ และถึงเวลาแล้วที่คุณควรเผชิญหน้ากับความจริง โดยเริ่มจากรักตัวเองให้ได้ก่อน ๆ ที่จะไปรักคนอื่น หากคุณไม่สามารถทำได้ ก็ลิสต์ข้อดี ข้อเสีย และนิสัยทั้งหมดของตัวเองออกมา แล้วจะรู้ว่าคุณก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย ที่สำคัญอย่ากลัวที่จะกลายเป็นคนในอุดมคติของตัวเอง เพราะการในจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่จะนำพาคุณไปสู่การถูกรักโดยใครสักคนบนโลกใบนี้

           4. รักปรารถนา

           สำหรับความรักประเภทนี้หากจะอธิบายให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คงต้องให้คุณจินตนาการตามไปว่า คุณกำลังตกหลุมรักหนุ่มหล่อที่คุณเจอทุกวันระหว่างเดินทางไปทำงาน และคุณไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าการปรารถนาจะได้สัมผัสหรือแตะต้องตัวเขา พร้อมกับมโนขึ้นมาในความคิดว่า เขากับคุณทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวเขาทั้งสิ้น หรืออาจจะรู้แต่ก็ไม่มากพอ และคุณก็ไม่คิดจะสนใจในจุดนี้ด้วย นี่แหละ คือ รักปรารถนาที่เราพูดถึง

           5. รักจากใจจริง

           คุณอาจจะเคยพบเห็นรักแบบนี้ในนิยาย ภาพยนตร์ หรือละครหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งความรักแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อคน 2 คน สูญเสียการควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ จนทำให้ทั้ง 2 อย่างแปรปรวนไปหมด และหากมีโอกาสได้คบหากัน ก็จะอาจจะกลายเป็นรักแท้ได้ หากต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจให้แก่กัน คบกันด้วยความสุข และมีจิตวิญญาณที่ผูกพันกันแบบลึกซึ้ง

           6. รักในวัยเด็ก

           เชื่อว่าทุกคนคงเคยผ่านความรักในวันเด็กหรือ Puppy Love มาแล้วอย่างแน่นอน แต่ก็อาจเป็นรักที่ไม่ยืนยาวนักและหากจะมีก็คงน้อยมาก เพราะถึงแม้จะเป็นรักที่อยู่ในช่วงวัยหัวใจบริสุทธิ์ แต่ก็ยังอินโนเซ้นท์เกินไปที่จะรู้ได้ว่าความรักแบบหนุ่มสาวมันเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ Puppy Love เรียกความรักระหว่างคุณกับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย
         
           7. รักข้างเดียว

           นอกจากนี้ เชื่อว่าหลายคนก็น่าจะเคยประสบกับความรักประเภทนี้อย่างแน่นอน เพราะรักข้างเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่และกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการหลงใหลชื่นชอบเซเลบริตี้คนดัง หรือศิลปินที่มีชื่อเสียงก็ตาม ที่สำคัญคุณก็รู้ดีว่ามันมีทางจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้ แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ยังจินตนาการถึงอีกฝ่ายต่อไป โดยไม่สามารถหยุดความคิดไม่ให้คิดถึงอีกฝ่ายได้

           ไม่ว่าในชีวิตของแต่ละคนจะเคยเจอกับความรักประเภทไหนหรือรูปแบบใดมา จะสมหวังหรือผิดหวังก็ตาม ความรักก็ยังคงเป็นสิ่งสวยงามอยู่เสมอ และควรรักษามันไว้หากคุณเจอกับคนที่เขารักคุณอยู่เหมือนกัน

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

7 วิธีลดนํ้าหนักสไตส์ฝรั่งเศส อยากผอมสวย ต้องลอง


7 วิธีลดน้ำหนักสไตล์ฝรั่งเศส อยากผอมสวย ต้องลอง !


สูตรลดน้ำหนักฝรั่งเศส

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          วิธีลดน้ำหนัก รีดไขมันส่วนเกินสไตล์ฝรั่งเศสจะเป็นยังไง ใครที่กำลังมองหาสูตรลดน้ำหนักเด็ด ๆ มาดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
 
          การเป็นคนหุ่นดีนี่ยากไม่เบาเลยนะคะ ของหวาน ๆ หนักน้ำตาล แป้ง ขนมปังก็ต้องห้ามใจให้อยู่ ไม่งั้นมีหวังน้ำหนักพุ่งพรวด ๆ ตัวบวมจนจะแตก และด้วยความที่การผอมมันยากขนาดนี้ คงมีคนเคยสงสัยเหมือนกันแน่ ๆ เลยว่า บรรดานางแบบ หรือดาราที่ตัวผอมบาง เขาจะมีสูตรควบคุมน้ำหนักและรูปร่างยังไงกันนะ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอนำเสนอเคล็ดลับลดน้ำหนักสไตล์ฝรั่งเศสจากเว็บไซต์​ all women stalk มาฝากสาว ๆ ที่อยากมีหุ่นดีทุกคน ส่วนสูตรนี้ต้องทำยังไง ลองมาดูวิธีกันค่ะ
 
 1. เลือกกินอาหารจริง ๆ
            
          คนฝรั่งเศสที่กำลังไดเอตเขาแยกอาหารออกเป็น 2 ประเภท มีทั้งแบบที่เป็นอาหารจริง ๆ ซึ่งก็คืออาหารหลัก (ผัก เนื้อสัตว์) กับบรรดาอาหารแปรรูป ขนม หรืออาหารที่ไม่ได้ให้สารประโยชน์ใด ๆ กับร่างกาย และแม้จะเดาก็น่าจะตอบถูกนะคะว่า หากอยากหุ่นดี สวยเป๊ะ ก็ต้องเลือกกินแต่อาหารจริง ๆ ส่วนอาหารแปรรูป อาหารขยะ ขนมกินเล่น ประเภทที่มีโซเดียมสูง แคลอรี่อื้อ โบกมือลาได้เลย 

          แต่ถึงอย่างนั้น หากมีอารมณ์อยากกินเฟรนช์ฟรายส์ หรือเบอร์เกอร์ขึ้นมา สาวฝรั่งเศสเขาก็เลือกซื้อหาวัตถุดิบ แล้วนำไปทำกินเองที่บ้านมากกว่าจะซื้ออาหารสำเร็จรูปจากฟาสต์ฟู้ดมากิน เพราะเราสามารถจำกัดจำนวนแคลอรี่ และแป้งเท่าที่ร่างกายต้องการได้
 
 2. เน้นผัก ผลไม้เป็นหลัก            
          ไม่ต่างอะไรกับสูตรลดความอ้วนอื่น ๆ เท่าไรค่ะ วิธีนี้เน้นกินผัก ผลไม้หนัก ๆ ทั้ง 3 มื้อเลย โดยเมื้อเช้าให้เน้นกินผลไม้ มื้อกลางวันเน้นผักใบเขียว ส่วนมื้อเย็นกินสลัดผักย่าง (sautéed veggies) เบา ๆ ก็พอ เพราะผลไม้เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย วิตามิน แถมยังให้พลังงานแคลอรี่ต่ำ ดังนั้นกินมากเท่าไรก็ยิ่งดีต่อรูปร่าง และสุขภาพแน่ ๆ
 
 3. ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ
            
          วิธีดื่มน้ำเปล่าเติมเต็มความหิวในช่องท้อง เป็นเบสิกของการลดน้ำหนักเลยก็ว่าได้ วิธีลดความอ้วนสูตรไหนสูตรนั้นใช้กันหมด เพราะน้ำจะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะ และลำไส้ย่อยอาหารได้สะดวกขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้ความอิ่มตื้อในท้องแล้ว การดื่มน้ำให้มากพอกับปริมาณที่ร่างกายต้องการ ยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูมีน้ำมีนวล สุขภาพดีได้อีกด้วยนะคะ


สูตรลดน้ำหนักฝรั่งเศส

 4. ควบคุมสัดส่วนอาหารจนเกิดความเคยชิน            
          หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักอยู่ที่ความหนักแน่นของจิตใจ ว่าจะสามารถควบคุมอาหารได้มากน้อยขนาดไหน แต่แทนที่จะงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง (โดยเฉพาะมื้อเช้า) เราควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เช่น มื้อเช้าเน้นหนักโปรตีน ผักผลไม้ และแป้งได้นิดหน่อย ส่วนมื้อกลางวันควรงดแป้ง และเลือกกินผักใบเขียวให้มาก มื้อเย็นให้เน้นกินผัก และผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา มีแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน

          ซึ่งในช่วงแรก ๆ ที่ปรับพฤติกรรมการกิน ก็อาจจะลำบาก และต้องใช้ความอดทนสักหน่อย แต่ถ้าคุณทำไปได้สักพัก ร่างกายจะเกิดความเคยชิน จนสามารถรับประทานอาหารตามโปรแกรมเหล่านี้ได้อย่างสบาย ๆ ไม่รู้สึกหิวจุบจิบเหมือนตอนแรกแล้วล่ะ
 
 5. หนักแน่นกับโฮลเกรน
            
          ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่รับประทานโฮลเกรนเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว สังเกตได้จากขนมปังในบ้านเขาที่ทำมาจากโฮลเกรนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากโฮลเกรนเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ทำให้อิ่มอยู่ท้องได้นาน แต่ให้แคลอรี่ต่ำ อีกทั้งวิตามินสารพัดในโฮเกรนก็ยังเป็นประโยชน์กับร่างกายด้วยนะคะ
 

อะโวคาโด


 6. บริโภคไขมันในปริมาณที่เหมาะสม
            
          นักโภชนาการต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการลดน้ำหนักโดยหลีกเลี่ยงไขมันทุกชนิด เพราะจริง ๆ แล้วการบริโภคไขมันดี ในปริมาณที่เหมาะสมมีส่วนช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า หลักการลดน้ำหนักสไตล์สาวปารีเซียงจึงไม่หลีกเลี่ยงไขมัน แต่จะเลือกกินไขมันดีในปริมาณที่เหมาะสม (ตามแต่จำนวนที่ร่างกายต้องการ) เช่น ผสมน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ในสลัดผัก กินเมล็ดแฟลกซ์เป็นอาหารว่าง หรือกินอะโวคาโด, ถั่ว, อัลมอนด์ในแต่ละมื้ออาหาร
 
 7. มีความสุขกับทุกคำที่กิน
            
          เคยรู้สึกไหมคะว่า การกินอาหารที่ไม่อร่อย ก็เหมือนว่าเราไม่ได้กินอะไรลงไปเลย ร่างกายก็จะไม่รู้สึกอิ่ม ฉะนั้นหากคุณสร้างความสุขให้อาหารทุกคำที่กินได้ แม้ความจริงรสชาติมันจะจืดชืดสักแค่ไหนก็ตาม คงน่าจะพอช่วยให้อิ่มเร็วขึ้น และไม่รู้สึกอยากกินอาหารอย่างอื่นอีกต่อไปแล้ว แค่นี้ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีของการมีหุ่นสุดเป๊ะแล้วล่ะเนอะ
 
          ไม่ว่าจะสูตรลดความอ้วนสไตล์ไหน แต่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้น้ำหนักคุณลดลง มีหุ่นที่สวยเพรียวได้ ก็อยู่ความตั้งใจจริง ความแน่วแน่ รวมทั้งความอดทนที่คุณมีนะคะ ยิ่งหากใครขยันออกกำลังกายร่วมด้วยเป็นประจำ อีกไม่นานทุกคนคงได้ตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของคุณแน่ ๆ

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

5 พฤฒิกรรมคนขี้หึงเกินไป

5 พฤติกรรมคนขี้หึงเกินไป


จะว่าไปคนรักกันมันก็ต้องมีเรื่อง หึง หวง ห่วง เป็นธรรมดา แต่ว่า .. ถ้ามันมีมากเกินไปอาจจะกลายเป็นความขัดแย้ง มีหลายคู่ที่ทะเลาะและเลิกรากันได้ง่ายๆเกิดจากการที่แฟนเราขี้หึงเกินไปก็มี ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนขี้หึง เราจะทำยังไงดีหล่ะ งั้นลองดู 5 พฤติกรรมคนขี้หึงเกินไป แล้วนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยดูนะคะ หัดปล่อยวางซะบ้าง แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง ^^
5 พฤติกรรมคนขี้หึงเกินไป

5 พฤติกรรมคนขี้หึงเกินไป

1. โทรศัพท์มาเช็กตลอด
การโทรศัพท์มาเช็กตลอดเวลาว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่กับใคร หากโทรมาบ่อย ๆ บางครั้งก็ดูว่าเกินไปหน่อย ดูเหมือนเป็นการระแวงและไม่ไว้ใจ หากหึงแบบนี้บ่อย ๆ เข้า อีกฝ่ายอาจจะไม่พอใจจนทนไม่ไหวขอเลิกขึ้นมาก็อาจจะเป็นได้
2. ถามถึงเรื่องในอดีต
การถามถึงเรื่องความรักในอดีตของอีกฝ่ายนั้น หากถามเยอะจนเกินไปก็ไม่ดี เพราะบางคนก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเก่าๆ ที่จบไปแล้ว ควรถามในระดับที่พอดี อย่าถึงขั้นซักไซ้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ควรให้เกียรติกับอีกฝ่ายด้วยไม่เช่นนั้นความรักครั้งนี้ของคุณ อาจจะหายไปเพราะพฤติกรรมการหึงที่ไม่เข้าท่าแบบนี้ก็ได้
3. เป็นศัตรูกับแฟนเก่าของอีกฝ่าย
ถามถึงเรื่องในอดีตยังไม่พอ หากถามแล้วยังทำตัวเป็นศัตรูกับแฟนเก่าของอีกฝ่ายด้วย ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเมื่อเขาเลิกกันแล้วทุกเรื่องที่ผ่านมาในอดีตควรจะจบลงไปด้วย เขาอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่าเอาเรื่องเก่า ๆ มาเป็นประเด็นให้อีกฝ่ายอึดอัด จนทำให้ความรักนั้นไม่ราบรื่น
4. ค้นหาของเพราะสงสัยว่าจะมีรักใหม่
การค้นข้าวของเพราะรู้สึกว่าคนรักของเรามีอะไรที่ปิดบังเราอยู่หรือสงสัยว่าจะถูกหลอก รู้สึกไม่มั่นคงกับความรักครั้งนี้ สิ่งที่ควรจะทำคือถามกันตรง ๆ เป็นวิธีที่ดีกว่าการมาค้นข้าวของเพื่อหาความจริง ในบางครั้งอาจจะไม่เป็นเรื่องจริงก็ได้ แต่เพราะความขี้หึง อาจจะทำให้เราระแวงมากเกินไป
5. ขู่ว่าจะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย
ความหึงสามารถคิดอะไรได้สารพัด รวมถึงการขู่ที่จะทำร้ายตัวเอง หรืออาจถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มี หากเกิดพฤติกรรมแบบนี้ควรพบจิตแพทย์ การขู่ทำร้ายตัวเองเป็นการกระทำที่เผด็จการในความรักเอามาก ๆ เป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่าย หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเป็นการทำให้อีกฝ่ายอึดอัดเอามาก ๆ เลยล่ะ
ตัวคุณเองก็ควรที่จะสำรวจตัวเองบ้างว่า มีสิ่งไหนที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการหึงหรือเปล่า ที่จริงแล้วอาจจะไม่มีอะไร แต่อาจจะเกิดจากความไม่ใส่ใจอีกฝ่าย เช่นไปไหนมาไหนไม่บอกกล่าว อารมณ์แปรปรวนบางวันก็หวาน บางวันก็เฉยชา หรือมีโลกส่วนตัวของตัวเองสูงเกินไป สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการหึงได้ ทางที่ดีควรหันหน้ามาคุยกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่าง ๆ นั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุผลอะไร อีกฝ่ายจะได้ไม่ระแวงแล้วความหึงที่เกินเหตุก็จะค่อย ๆ หายไปจนดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ..

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องน่ารุ้ก่อนไป ฝังเข็ม


เวชกรรม ฝังเข็ม เป็นศาสตร์การรักษาโรคที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนานนับ 4,000 กว่าปีมาแล้ว ศาสตร์วิชานี้มีกำหนดมาจากการแพทย์แผนโบราณของจีนและได้รับการพัฒนาสืบทอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ปัจจุบันนี้  การรักษาโรคด้วยการ ฝังเข็ม ได้เป็นที่ยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลกนับ 140 กว่าประเทศแล้ว องค์การอนามัยโลกหรือ WHO (  World Health Organization ) ได้ประกาศรับรองผล  การรักษาโรคด้วยวิธีนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979

เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1996 สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ NIH ( National Institutes of Health ) ก็ยอมรับว่า การฝังเข็มเป็น “ทางเลือกที่สมเหตุผล” ในการรักษาโรคได้หลายอย่าง

โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะปักเข็มคาเอาไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วจึงถอนเข็มออก การรักษามักจะทำวันละหนึ่งครั้ง ทุกวันหรือวันเว้นวันต่อเนื่องกันไปประมาณ 7-10 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของโรคนั้น ๆ นอกจากนี้ เวชกรรมฝังเข็มยังมีรูปแบบการรักษาปลีกย่อยอื่น ๆ อีกด้วย เช่น เข็มหู,เข็มเคาะผิวหนัง,การรมยา,การใช้กระปุกดูด เป็นต้น



การปฏิบัติตัวขณะรักษา

ก่อนไปฝังเข็ม ผู้ป่วยก็ควรต้องมีการเตรียมตัวด้วย

1.เตรียมใจไปรักษา

การฝังเข็มนั้นเป็นการรักษาที่มีลักษณะเป็น “หัตถการ” ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยหวดกลัวดิ้นไปมาโดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กแพทย์ก็จะปักเข็มได้ไม่ถนัดหรือ ผิดพลาด ผลการรักษาย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน หรือกระทั่งอาจเกิดอันตรายขึ้นได้

ผู้ป่วยที่มารักษาฝังเข็ม จึงควรมาด้วยความมั่นใจต่อการรักษามิใช่มาด้วย ความกังวลหวาดวิตก

2.สวนใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม

ในการฝังเข็ม ตำแหน่งจุดปักเข็มบางครั้งจะอยู่บริเวณใต้ร่มผ้าผู้ป่วยจึงควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นชุดแยกส่วน ระหว่างเสื้อกับกระโปรงหรือกางเกง เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ควรรัดแน่นเกินไปเพื่อสะดวกในการพับแขนเสื้อและปลายขากางเกง ควรให้หลวมหรือกว้างพอที่จะพับสูงขึ้นมาเหนือข้อศอกหรือข้อเข่าได้ ในกรณีที่ต้องปักเข็มบริเวณไหล่หรือต้นคอก็ควรเลือกสวมเสื้อที่มีคอกว้าง

3.รับประทานอาหารให้พอเหมา

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่มาฝังเข็มควรรับประทานอาหารมาก่อนประมาณ 1-2 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานอาหารมากจนเกินไป หากเพิ่งรับประทานอาหารอิ่มมาใหม่ ๆ หรือรับประทานมากเกินไป อาหารยังคงค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมาก เมื่อมาฝังเข็มซึ่งต้องนอนเป็นเวลานาน ๆ ถึง 20 นาที อาจทำให้รู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะในท่านอนคว่ำผู้ป่วยอาจทนไม่ได้นอกจากนี้ หากต้องปักเข็มบริเวณหน้าท้อง ถ้ากระเพาะอาหารบรรจุอาหารจนพองโตมากๆ อาจทำให้เกิดอันตรายจากการปักเข็มทะลุเข้าไปในช่องท้องหรือกระเพาะอาหารได้ง่าย

ตรงกันข้าม ไม่ควรมารักษาในขณะที่กำลังหิวจัด เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการ “หน้ามืดเป็นลม” ได้ง่ายเมื่อกระตุ้นเข็มแรง ๆ ทั้งนี้เพราะว่าร่างกายอาจขาดพลังงาน ที่จะเอามาใช้เผาผลาญ ในขณะที่ระบบประสาทและฮอร์โมนกำลังถูกกระตุ้น จากการฝังเข็ม

4. ทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย

การฝังเข็มเป็นหัตถการที่ต้องใช้วัตถุแหลมคมปักผ่านผิวหนังลงไปในร่างกาย ผู้ป่วยจึงควรมีสภาพร่างกายที่สะอาด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนมาฝังเข็ม หากผู้ป่วยสามารถอาบน้ำสระผมมาก่อนได้นั่นก็จะดีที่สุด หรืออย่างน้อยก็อย่าให้ส่วนของร่างกายบริเวณที่ต้องปักเข็มนั้นสกปรกจนเกินไป ก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน

ผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยการปักเข็มศีรษะ ควรตัดผมให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ไม่ควรใช้เยลหรือครีมทาผมที่เหนียวเหนอะหนะหรือ ถ้าหากไม่ใช้เลยจะดีที่สุด เพื่อสะดวกแก่แพทย็ในการปักเข็มเช่นกัน

ผู้ป่วยสตรีที่กำลังมีประจำเดือนมานั้น สามารถปักเข็มรักษาได้โดยไม่มีอันตราย อะไรเลย การที่ไม่นิยมฝังเข็มในช่วงนี้คงเป็นเรื่องของความไม่สะดวกหรือกระดากอายมากกว่า

5.สงบกายและใจในขณะรักษา

เมื่อแพทย์ปักเข็มลงบนผิวหนัง ผู้ป่วนจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยคล้ายกับถูกมดกัด เมื่อแพทย์ปักถึงตำแหน่งจุด ผู้ป่วยจะรู้สึกตื้อ ๆ หรือหนัก ๆ หรือชา เล็กน้อย เมื่อแพทย์เริ่มทำการกระตุ้นหมุนปั่นเข็มก็จะรู้สึกตื้อหรือหนักชา มากขึ้น ในบางครั้ง ความรู้สึกดังกล่าวอาจจะแผ่เคลื่อนที่ออกไปตามแนว เส้นลมปราณก็ได้ หากเกิดความรู้สึก เช่นนี้ มักจะมีผลการรักษาดีเสมอ

ในกรณีทีใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ผู้ป่วยจะรู้สึกว่า กล้ามเนื้อบริเวณที่ปักเข็ม มีการเต้นกระตุกเบาๆ เป็นจังหวะตามกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้น

โดยทั่วไปแล้ว ในระหว่างการฝังเข็มผู้ป่วยไม่ควรมีอาการเจ็บปวดหรือชามากจนเกินไป หากรู้สึกเจ็บปวดมากหรือมีอาการชามากๆ หรือรู้สึกเหมือนถูก “ไฟฟ้าช๊อต” ควรรีบบอกแพทย์ทันที เพราะเข็มอาจจะไปแทงถูกเส้นเลือดหรือ เส้นประสารท หรือตำแหน่งของเข็มไม่ถูกต้องหรือตั้งความแรงของกระแสไฟฟ้าจาก เครื่องกระตุ้นไม่เหมาะสมก็ได้

ในระหว่างรักษา หากมีอาการผิดปกติหรือไม่สบายใด ๆ เกิดขึ้น เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้ามือ รู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนจะเป็นลม ให้รีบบอกแพทย์ผู้รักษาหรือผู้ช่วยแพทย์ทันที

ขณะที่มีเข็มปักคาร่างกายนั้น ควรนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ ไม่ควรขยับเคลื่อนไหว ส่วนของร่างกายที่มีเข็มปักคาอยู่เพราะอาจทำให้เข็มงดหรือหักคาเนื้อได้ ยกเว้นการขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังสามารถทำได้ แต่ร่างกายส่วนอื่น ๆ ที่ไม่มีเข็มปักอยู่นั้น สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ตามสบาย

ระหว่างที่ปักเข็มรักษา ผู้ป่วยจึงควรอยู่ในสภาพที่สงบผ่อนคลายอาจหลับตาและหายใจเข้าออกช้า ๆ ให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพื่อช่วยทำให้จิตใจสงบสบาย

ระหว่างที่ปักเข็มกระตุ้นอยู่นั้น ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกง่วงนอนเนื่องจาก การฝังเข็มสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่ง สารเอนเดอร์ฟีน ( Endorphins ) เกิดขึ้น สารนี้มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนช่วยลดความเจ็บปวดและ ช่วยกล่อมประสาทให้รู้สึก เคลิบเคลิ้ม เมื่อรักษาไปหลาย ๆ ครั้ง ผู้ป่วยบางคนจะพบว่าตนเองนอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือหลับสนิทขึ้นและจิตใจก็จะสดชื่น แจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย



6.การปฏิบัติตัวหลังการรักษา

หลังจากปักเข็มกระตุ้นครบเวลาตามกำหนด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีแล้ว แพทย์ก็จะถอนเข็มออก บางครั้งอาจมีเลือดออกเล็กน้อยตรงจุดที่ปักเข็ม เหมือนกับเวลาไปฉีดยา เนื่องจากเข็มอาจปักไปถูกเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ เมื่อใช้สำลีกด เอาไว้สักครู่ เลือดก็จะหยุดได้เอง

หลังเสร็จสิ้นจากการรักษา โดยทั่วไปแล้วไม่มีข้อห้ามเป็นพิเศษอะไรเลย  ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร อาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติ ยกเว้นกรณีที่ติดเข็มคาใบหูเวลาอาบน้ำต้องระมัดระวัง มิให้ใบหูเปียกน้ำ

โดยทั่วไปแล้วหลังจากฝังเข็ม ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกลับไปนอนพักที่บ้านแต่อย่างไร  สามารถขับรถหรือกลับไปทำงานได้ เว้นแต่บางคนอาจมี อาการอ่อนเพลียได้บ้างหลังจากฝังเข็ม เมื่อนอนพักแล้วก็จะหายไปได้

7.การรักษาอื่น ๆร่วมกับการฝังเข็ม

ผู้ป่วยที่มารักษาฝังเข็ม อาจมีโรคประจำตัวอย่างอื่นอยู่แล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคถุงลมโป่งพอง ฯลฯ ซึ่งมักจะต้องมียารับประทานรักษาอยู่เป็นประจำหรือมีการ รักษาอื่น ๆ เช่น กายภาพบำบัด ร่วมอยู่ด้วย

โดยทั่วไปแล้วการรักษาด้วยการฝังเข็ม มักสามารถจะรับประทานยาหรือไข้ การรักษาอื่น ๆ ร่วมไปด้วยได้ โดยไม่มีข้อห้ามอะไร

8.ข้อห้ามสำหรับการฝังเข็ม

ผู้ป่วยที่ตื่นเต้นหวาดกลัวต่อการรักษามากเกินไปทั้ง ๆ ที่ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ยังควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้
ผู้ป่วยที่เหน็ดเหนื่อยหลังออกกำลังกายหนัก
สตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้คลอด เพราะว่าผู้ป่วยเหล่านี้มักจะไม่สามารถทนนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ ได้ การนอนหงายจะทำให้มดลูกและทารกในครรภ์  กดทับหลอดเลือดดำใหญ่ในช่องท้องอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการช็อกเป็นลมได้ ส่วนท่านอนคว่ำก็ไม่เหมาะสมกับสตรีขณะตั้งครรภ์ เพราะจะกดทับอารกในครรภ์และก่อให้เกิดความอึดอัดไม่สบายแก่มารดา
นอกจากนี้แล้ว การปักเข็มที่รุนแรงอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวมากเกินไป จนทำให้เกิดการแท้งลูกได้
ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เมื่อเลือดออกแล้วหยุดยาก เช่น โรคฮีโมฟีเลีย เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องรักษาควรระมัดระวังเป็นพิเศษ การปักเข็มหรือการกระตุ้นเข็ม แพทย์จะต้องทำอย่างนุ่มนวล ระวังมิให้เข็มปักโดนเส้นเลือดใหญ่ หลังจากถอนเข็มต้องกดห้ามเลือดให้ นานกว่าผู้ป่วยทั่ว ๆ ไป
ทารกเด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคจิต โรคสมองเสื่อมที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือในการรักษาได้
ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีเครื่องกระตุ้นการเต้นหัวใจ (pacemaker) ติดอยู่ในร่างกาย ห้ามรักษาโดยเครื่องกระตุ้นเข็มด้วยไฟฟ้า เพราะอาจรบกวน การทำงานของเครื่อง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนเกิดอันตรายร้ายแรงได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเช่นนี้ ยังคงสามารถปักเข็มกระตุ้นโดยวิธีการหมุนปั่น ด้วยมือได้
“ข้อห้าม” ดังกล่าวเหล่านี้ มิใช่เป็นข้อห้ามอย่างสมบูรณ์เด็ดขาด ตัวอย่างเช่น การปักเข็มในผู้ป่วยโรคจิตก็อาจทำได้เหมือนกัน ขอเพียงแต่เข้าใจถึงเหตุผลที่ จะทำให้เกิดอันตราย เมื่อตั้งอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง เราก็อาจพลิกแพลง ปักเข็มให้แก่ผู้ป่วยเหล่านี้ก็ได้



ขอบคุณที่มาจาก : คลินิกแพทย์ฝังเข็ม โรงพยาบาลราชวิถี

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คติ : คุณล้างจานเพื่ออะไร ??

คติ: คุณล้างจานเพื่ออะไร ??
 

มีนักบวช นิกายเซ็นรูปหนึ่ง
กิจวัตรประจำวันของท่านในยามเย็นคือการล้างชาม 
ท่านมีความสุขกับการล้างชามมาก
ไม่ว่าชามกองโตขนาดไหน ท่านก็ไม่เคยบ่น
 


ในขณะที่นักบวชรูปอื่น(ยังวัยรุ่นอยู่)
รู้สึกเบื่อหน่าย และมักจะล้างแบบรีบเร่ง
เพื่อจะได้ไปทำอย่างอื่น
เช่น ดื่มน้ำชา ดูทีวี
จนวันหนึ่ง
ก็มีคนมาถามท่านว่า
ทำไมท่านจึงมีความสุข กับการล้างชาม
ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่อยากจะทำ 

ท่านตอบว่า
"เราล้างชาม...เพื่อล้างชาม เราไม่ได้ล้างชามเพื่อให้เสร็จ" 


คนถามก็ยังสงสัย
"หมายความว่าอะไรครับท่าน"
นักบวชท่านนั้นก็ตอบว่า
"เวลาท่านจะทำสิ่งใด....จงทำสิ่งนั้น และมีความสุขอยู่กับมัน อย่าเอาจิตใจ ไปให้กับสิ่งอื่น" 


ถ้าท่านรีบล้างจานให้เสร็จเร็วๆ เพื่อจะไปดื่มน้ำชา
หรือท่านคิดจะล้างให้เสร็จเร็วๆ เพื่อจะไปดูทีวี
ท่านจะเป็นทุกข์ เพราะงานที่ท่านคิดจะทำ มันยังไม่เสร็จ
ดังนั้น....เราจึงล้างชาม..เพื่อล้างชาม ไม่ได้เพื่อจะรีบไปดื่มน้ำชา
หรือดูทีวี" 



"อ่า....ข้าเข้าใจแล้ว..."


สนับสนุนนานาสาระโดย: อาร์ตเมน

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ และ โทษ ของอาหารรสชาติต่างๆ

บันเทิงดารา คุยคุ้ยข่าวครบเครื่องเรื่องวัยรุ่นเรื่องผู้หญิง ที่นี่ที่เดียว
Thailand Web Stat บันเทิงดาราวาไรตตี้ฟอร์เวิรดเมล์กีฬาคุยคุ้ยข่าวผู้หญิง


ชื่อผู้ใช้ : รหัสผ่าน : Remember สมัครสมาชิก   ลืมรหัสผ่าน
  ประโยชน์-โทษ ของอาหารรสชาติต่าง ๆ
 


หลายๆ สิ่งเมื่อมีประโยชน์ ในทางกลับกันก็ย่อมมีโทษ รสชาติของอาหารก็เช่นกัน มีความสำคัญต่ออวัยวะภายในของร่างกายมนุษย์ แต่หากทานมากไป อาจได้รับโทษของรสชาติเหล่านั้นมาด้วย
มาดูว่าประโยชน์และโทษของอาหารที่เราทานอยู่เป็นประจำนั้น มีอะไรบ้าง
 อาหารรสหวาน
ข้อดี
- น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานกับร่างกายโดยทันที ส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้ประเปร่า ช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทานยา รักษาอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง และแก้กระหายด้วย

ข้อเสีย - เมื่อทานอาหารที่มีรสหวานมาก ๆ ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน เพราะการได้รับน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติได้ นอกจากนี้ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งผลให้อ้วน ทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคไต ฟันผุ เป็นต้น
 อาหารรสเผ็ด
ข้อดี
- อาหารรสเผ็ดช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้เป็นไปตามปกติ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ และยังช่วยในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ข้อเสีย - อาหารรสเผ็ดจัดก็สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ กะปิ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่มาก จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต และดรคความดันโลหิตสูง
 อาหารรสเค็ม
ข้อดี - โซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด - ด่างของเลือด ช่วยขับร้อน แก้อาหารเลือกออกตามไรฟัน บำบัดอาการท้องเฟ้อ

ข้อเสีย - เมื่อใดที่ร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ร่างกายจะพยายามขับออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้เรารู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน แสบคอ เกิดอาหารบวมน้ำได้ หรือถ้าหากเป็นมากถึงขั้นภาวะขาดน้ำได้ นอกจากนี้ รสเค็มจะทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้าทำให้ความดันโลหิตสูง และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
 อาหารรสเปรี้ยว
ข้อดี - เป็นข้อดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ความเปรี้ยวช่วยในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำย่อย ช่วยในการดูดซึมอาหารของร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับเสมหะ และแก้เลือดออกตามไรฟันได้

ข้อเสีย - การกินอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไป ทักทำให้ท้องเสีย ร้อนใน และระบบน้ำเหลืองในร่างกายมีปัญหา จึงทำให้แผลหายช้า และเป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดฟันผุด้วย

ทุกอย่างบนโลกนี้ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี การทานอาหารก็เช่นกัน ทานแต่พอดี ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่


ที่มา ... Never-Age.com
 

   โดย :จิ้มจุ่ม ( สมาชิกไอดีที่ 124883) โพสเมื่อ [ วันศุกร์ ที่ 23 พฤษภาคม 2557 เวลา 11:41 น.]

Vote เพิ่มคะแนนกระทู้นี้

นโยบายของเว็บไซต์ กรุณาอ่านก่อนใช้งานระบบใด ๆ
" ประกาศ "
ร่วม รับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช้คำหยาบ เพราะอาจมีเด็กประถมอ่านอยู่ด้วย ร่วมเป็นตัวอย่างที่ดีกันนะครับ ส่วนคนที่ชอบสาปแช่งให้ส่งข้อความลูกโซ่ รู้ไว้เลยว่าคุณผิดศีลข้อ4อยู่ แต่ผิดยกกำลังเท่าไรขึ้นอยู่กับมีคนอ่านเท่าไร
ร่วมแสดงความคิดเห็น
 ร่วมตั้งกระทู้เว็บบอร์ด กับ TeeNee.com
ความเห็น :
เพศ : ชาย   หญิง   ไม่ระบุ
โดย :
กรอกเลขให้ตรงภาพก่อนกดปุ่มส่งข้อความ :

  
 
ทางทีมงานไม่ขอรับผิดชอบข้อความต่างๆ ขอให้ผู้โพสรับผิดชอบตัวเอง และรับผิดชอบต่อสังคม
ถ้าข้อความใดส่งผลต่อประเทศชาติ ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่ เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิด


ตั้งชื่อเกาหลีจากดวง ทำนายอดีตชาติ ทำนายคู่รัก ทำนายลีลาบนเตียง ดูดวงจากรังสีออร่า ดูดวงตามวันที่เกิด
ทายของลับหญิง ทายของลับชาย ทายบัตรประชาชน วันเกิดกับสีบอกนิสัย ดูดวงตามวันเกิด ปลายนิ้วบอกนิสัย teenee.com เวบยอดนิยม
Teenee.com ติดต่อโฆษณา คลิก