วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดื่มกาแฟทั้งที ต้องดื่มให้อย่างฉลาด


ติดกาแฟ


ติดกาแฟทั้งที อย่างนี้ต้องดื่มให้ฉลาด (Lisa)
          ได้ ยินบ่อยเหลือเกินว่าดื่มกาแฟแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ บ้างก็ว่าดี ดื่มบ้างไม่เห็นจะเป็นไร ในเมื่อไม่มีตำราไหนระบุได้ เรามาหาวิธีดื่มให้สุขภาพไม่เสียและมีแต่ได้กันดีกว่า

          เพราะไม่ใช่แค่ร้านกาแฟเก๋ ๆ ที่มีมากมายทุกหัวมุมตึกชวนน่านั่งเท่านั้น แต่รสชาติกาแฟแต่ละแบรนด์ก็ยังดีขึ้นเรื่อย ๆ ชวนให้เราอดใจไม่ไหวที่จะขอจิบสักแก้ว บางคนอาจดื่มมากกว่า 2 แก้วต่อวัน แต่นั่นไม่ดีเท่ากับการรู้จักดื่มกาแฟให้ไม่ทำร้ายตัวเอง จะเป็นแบบไหน มาดูกัน

แก้วเดียวก็เอาอยู่

          กาแฟให้รสหอมหวานดึงดูดใจแค่ไหนก็เถอะ แต่การดื่มหรือกินอะไรก็ตาม การยึดหลักของความพอดีใช้ได้กับทุกเรื่องอยู่แล้ว ร่างกายแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่การดื่มกาแฟวันละแก้วน่าจะพอดีแล้วกับร่างกาย หรืออาจเพิ่มอีกแก้วในบางวันที่ต้องการความกระปรี้กระเปร่า แต่ถ้ามากกว่านี้แล้วละก็ บอกได้เลยว่ากาเฟอีนจะท่วมร่าง นอนไม่หลับเอาง่าย ๆ

อย่าดื่มตอนท้องว่าง

          เพราะคาเฟอีน (รวมทั้งในชา) จะไปเร่งให้ท้องที่ว่าง ๆ นั้นหลั่งกรดออกมา ผลคือกรดจะเพิ่มขึ้นในกระเพาะเปล่า ๆ ชวนให้ไม่สบายท้อง และจะเป็นโรคกระเพาะอาหารเอาได้ ทางที่ดีควรดื่มพร้อมอาหารอะไรบ้าง ไม่ว่าขนมปังหรือเค้กสักชิ้น จะได้ดูแลท้องไปด้วยไงล่ะ


กาแฟ

เลี่ยงการเข้าห้องน้ำบ่อย

          ด้วยการจิบน้ำเปล่าตามหลังกาแฟสักหน่อย จริงอยู่การเติมน้ำเข้าร่างกายทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำ แต่สังเกตกันบ้างหรือเปล่าว่ากลิ่นที่ออกมาจะเป็นกลิ่นกาแฟ้-กาแฟ นั่นเพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไตที่ถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ ทางที่ดีดื่มน้ำตามเสียหน่อยให้เจือจางอาจทำให้เบาบางลงได้

ดื่มกลางวันดีกว่านะ

          เพราะหากเป็นมื้อค่ำที่ร่างกายเตรียมจะพักแล้วละก็ บอกได้เลยว่าคืนนี้นอนนับแกะหลายร้อยตัวแน่ การดื่มกาแฟจึงควรดื่มให้รู้สึกสดชื่นตอนเช้าหรือระหว่างวันจะดีกว่า จะดื่มรสชาติแบบไหนไม่มีใครว่าอยู่แล้ว


กาแฟดำ


แก้วนี้ต้องไม่อ้วน

          ใครดื่มกาแฟดำได้ยิ่งแจ๋ว เพราะไม่อ้วนแน่นอน แต่ถ้าติดหวานและกลัวอ้วน เติมน้ำตาลเล็กน้อย (หรือแบบน้ำตาลเทียม) ก็สามารถทำได้ ที่แน่ ๆ เลี่ยงความหวานชนิดนมข้นหวาน ครีมต่าง ๆ รวมทั้งครีมเทียม กินแบบเบา ๆ ใส ๆ นี่ล่ะ เฮลตี้กว่าเยอะ

กินแคลเซียมทดแทน

          เพราะคาเฟอีนอาจดึงแคลเซียมออกไปจากร่างกาย ทางที่ดีกินทดแทนสักหน่อยก็น่าจะปลอดภัยกว่า ไม่ว่าแคลเซียมจากนม เมนูปลา หรือผักจำพวกคะน้า บร็อกโคลี เป็นต้น จะได้ชดเชยสารอาหารที่เสียไป และอาหารจำพวกนี้ยังดีต่อสุขภาพด้วย


TIP

          หากร่างกายได้รับคาเฟอีนมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้เราหลับยาก หลับไม่สนิท หรืออาจตื่นบ่อย ๆ ระหว่างหลับ ลองสังเกตดูนะว่าเรามีอาการแบบนี้เพราะดื่มกาแฟมากไปหรือเปล่า

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความสําคัญของรูปลักษณ์ คนแต่งตัวดีเท่านั้นหรือ ? ที่มีที่ยืนในสังคม

ความสำคัญของรูปลักษณ์ คนแต่งตัวดีเท่านั้นหรือ? ที่มีที่ยืนในสังคม

page
เพราะปัจจุบันนี้ผู้คนเรายังให้ ความสำคัญของรูปลักษณ์ อยู่ จึงทำให้เกิดคำว่า 2 มาตรฐานของสังคม แบ่งแยกระหว่างคนที่แต่งตัวดูดีกับคนที่แต่งตัวดูโทรม วันนี้ทาง Men.MThai เราเลยอยากขอนำเสนอคลิป การทดลองที่สังเกตุความคิดของคนเราต่อ ความสำคัญของรูปลักษณ์ ที่ใช้คนที่แต่งตัวต่างกัน ขอความช่วยเหลือ เหมือนกัน แต่ผลการทดลองกับต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความสำคัญของรูปลักษณ์
ความสำคัญของรูปลักษณ์
โดยการทดลองแรก ให้ผู้ชายที่แต่งตัวดูโทรมๆ เกิดอาการป่วยและล้มขอความช่วยเหลืออยู่บนถนน ซึ่งเกือบ 5 นาทีผ่านไปผู้คนต่างเดินผ่านไป ไม่สนใจเขา และไม่คิดที่จะช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่เขานอนร้องขอความช่วยเหลืออยู่บนพื้น
ความสำคัญของรูปลักษณ์
ความสำคัญของรูปลักษณ์
แล้วถ้ามองในมุมกลับกัน ถ้าคนที่นอนอยู่บนพื้นเป็นตัวคุณเอง ถ้าหากไม่มีใครช่วยเหลือคุณในขณะที่คุณต้องการความช่วยเหลือ มันจะเกิดอะไรขึ้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วเมื่อปี 2008 โดยผู้หญิงคนหนึ่งได้อาการทรุดหนักและล้มลงไปกับพื้น แต่ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือ รวมไปถึงเจ้าหน้าทีโรงพยาบาลด้วย พวกเขาปล่อยให้เธอนอนเจ็บปวดอยู่กับพื้นเป็นเวลา 45 นาที ซึ่งหลังจากที่เวลาผ่านไปถึงมีคนมาช่วยเธอ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เธอได้เสียชีวิตลงก่อนที่จะมีคนเข้าช่วยเหลือ
ความสำคัญของรูปลักษณ์
ความสำคัญของรูปลักษณ์
โดยผลการทดลองที่ 2 ให้ผู้ชายที่แต่งตัวดูภูมิฐาน แกล้งป่วยและล้มลงเหมือนกับในกรณีแรก จะเห็นได้ว่ามีคนรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือเขาภายในทันที จึงสรุปการทดลองนี้ได้ว่า ความสำคัญของรูปลักษณ์ ที่ดูดีขึ้น เราจะเห็นได้ว่า การล้มเหมือนกัน เรียกร้องขอความช่วยเหลือเหมือนกัน แต่การตอบสนองของคนที่พบต่างกัน
ถึงแม้การเข้าไปช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักจะไม่ใช่เรื่องของเรา แต่มันป็นสิ่งพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และทำให้ความหมายของคำว่า มนุษยชน มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความเชื่อ กระดูกพรุน ดื่มนมและรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยม จริงหรือ?

ยังมีหลายคนเชื่อว่าเมื่อ กระดูกพรุน มีวิธีแก้ง่าย ๆ คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพื่อไปซ่อมแซมกระดูก ดังนั้นประโยคยอดฮิตที่เคยได้ยิน คือ “ดื่มนม และรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมให้มากเข้าไว้” แต่ความจริงแล้วร่างกายต้องการแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี ดังนั้นการคิดเพียงว่าเติมแคลเซียมเข้าร่างกายมาก ๆ เมื่อ กระดูกพรุน จึงไม่ใช่วิธีที่ถูกนัก โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไต ซึ่งไม่สามารถขับแคลเซียมส่วนเกินออกได้
167230805

ก่อนอื่นเราควรทราบถึงปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด กระดูกพรุน เสียก่อน ซึ่งปัจจัยบางอย่างก็เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ได้แก่
1. การสูบบุหรี่ เพราะแคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสมดุลระหว่างค่าความเป็นกรด – ด่างของเลือด หากสูบบุหรี่ร่างกายจะมีภาวะเป็นกรด แคลเซียมจะเข้ามามีบทบาทในการสะเทินฤทธิ์กรดจากบุหรี่ ดังนั้นบุหรี่ทุก ๆ มวนจึงเป็นตัวที่ทำให้แคลเซียมละลายจากกระดูก
2. แอลกอฮอล์ จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลกระทบต่อตับในการกระตุ้นวิตามินดีที่มีบทบาทสำคัญในดูดซึมแคลเซียมหย่อนสมรรถภาพ
3. เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน อาทิ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมากเกินไป
4. น้ำอัดลม แม้จะรสชาติน่าดื่มแต่ทราบหรือไม่ส่วนผสมที่ชื่อ “กรดฟอสฟอริก” เพื่อให้เกิดฟองฟู่ในเครื่องดื่มประเภทนี้เกิดจากการผสมระหว่าง กรดฟอสฟอรัสและกำมะถัน (โดยปกติแคลเซียมในร่างกายจะต้องทำงานร่วมกับเกลือแร่อื่นโดยเฉพาะฟอสฟอรัส ในภาวะปกติ ร่างกายจะต้องพยายามรักษาสัดส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัส 2:1 หากฟอสฟอรัสมากเกินไป ร่างกายก็จำเป็นต้องสลายแคลเซียมออกจากคลังกระดูกมาทำสะเทินฟอสฟอรัสในเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้ฟอสฟอรัสสูงเกินไปจนส่งผลอันตรายต่อชีวิต) นอกจากนี้ยังพบฟอสฟอรัสมากในเนื้อสัตว์ นมและเนย
5. เกลือ ต้องบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม หากมากเกินไปจะทำให้แคลเซียมสลายตัว
6. ยาเคลือบกระเพาะ โดยทั่วไปยาชนิดนี้มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม ซึ่งเร่งให้ร่างกายขับแคลเซียม ดังนั้นหากจำเป็นต้องรับประทานเป็นเวลานานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
7. ไม่ออกกำลังกาย ท่าน คงทราบถึงข้อดีนานับประการของการออกกำลังกาย แต่ทราบหรือไม่ หากออกกำลังกายที่มีแรงโน้มถ่วงของโลกมามีส่วนด้วย เช่น วิ่งอย่างสม่ำเสมอ จะส่งผลให้มวลของกระดูกเพิ่มปริมาณขึ้นได้
8. ขาดวิตามินดีจากแสงอาทิตย์ วิตามินดี ช่วยระบบในการดูดซึมของแคลเซียมจากทางเดินอาหาร กระดูกจึงไม่พรุนก่อนวัยอันควร
9. รับประทานโปรตีนมากเกินไป
หากร่าง กายได้รับโปรตีนมากเกินไปก็จำเป็นต้องขับออกโดยสลายกรดอะมิโนในตับให้กลาย เป็นสารยูเรียแล้วออกมาพร้อมปัสสาวะ และการขับยูเรียทางปัสสาวะร่างกายต้องสูญเสียเกลือแร่ไปมาก (รวมทั้งแคลเซียมด้วย) จึงเป็นอีกสาเหตุที่กระดูกพรุนได้
โดยทั่วไปคนเราต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000 – 1,500 มิลลิกรัม/วัน ดังนั้น การป้องกันการเกิด กระดูกพรุน ที่ถูกต้องจึงควรประกอบด้วย การรับประทานแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับ การงดเว้นปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวไว้ข้างต้น และหากมีข้อสงสัย ควรปรึกษาแพทย์กระดูกเพื่อการป้องกันและรักษาที่ถูกต้องต่อไป

ขอบคุณที่มาจาก : อ.นพ.พัชรพล  อุดมเกียรติ
ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ฉีดยา ดีกว่า กินยา จริงหรือ?

เรามักจะได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่า “ถ้าจะให้หายป่วยเร็วๆ ต้อง ฉีดยา ” หรือ “ยาฉีดแรงกว่ายากิน เลยได้ผลดีกว่า”Ž แม้แต่บทสนทนากับหมอ...”หมอ ผมขอยาฉีดได้ไหม จะได้หายเร็วๆ” หรือ “ถ้าไม่ฉีดยาแล้วจะหายหรือคะ”
จะ เห็นได้ว่าผู้ป่วยบางคนยังขาดความรู้ความเข้าใจ และยังมีความเชื่อว่ายาฉีดนั้นต้องดีกว่าหรือแรงกว่ายากินซึ่งไม่ถูกต้องนัก เพราะโลกปัจจุบันนี้มีความก้าวหน้าไปมากแล้ว ขนาดที่ว่ามีการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น นับประสาอะไรที่มนุษย์เราจะทำยาที่ใช้ง่ายและปลอดภัยต่อร่างกายตนเองไม่ได้
78620005
คน ไทยเราบางกลุ่มอาจยังมีค่านิยมผิดๆ ในเรื่องยาฉีด โดยเฉพาะกลุ่มคนในชนบทที่ยังฝังใจว่ายาฉีด ดีกว่ายากิน ทำให้หายเร็ว ถ้าเปรียบเทียบกับชาวต่างประเทศโดยเฉพาะทางตะวันตก หากหมอจะ ฉีดยา ให้ ก็มักจะซักถามละเอียดเลยว่า “เป็นยาอะไร ฉีดเพื่ออะไร ทำไมต้องฉีด ไม่ฉีดได้ไหม” ต่างจากคนไทย ซึ่งขี้เกรงใจหมอ พอบอกว่าจะ ฉีดยา ก็เปิดก้นรอเลย
โดยทั่วไปแล้วตามหลักการใช้ยา แพทย์จะคำนึงถึงความมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อผู้ป่วย ไม่ได้มุ่งที่การออกฤทธิ์เร็วเพียงอย่างเดียว การใช้ยากินจึงค่อนข้างปลอดภัย ยกเว้นมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องใช้ยาฉีดในบางกรณีคือ
  • โรคบางโรค ต้องใช้ยาที่มีสรรพคุณดีบางอย่างที่ไม่สามารถกินได้
  • ป่วยหนักมาก (ฉุกเฉิน หรือวิกฤติ)
  • กินยาไม่ได้ เช่น ไม่รู้สึกตัว อาเจียนมาก กลืนลำบาก สำลัก
  • ไม่มียากินที่มีสรรพคุณดีเท่ากันหรือดีกว่า
หรือหากมีทางเลือกอื่นแทนก็จะพิจารณา เช่น การเหน็บยา สูด พ่น แปะผิวหนัง ซึ่งปลอดภัยกว่า เพราะการ ฉีดยา ต้องอาศัยเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง ถูกตำแหน่ง ถ้าฉีดผิดอาจถูกเส้นประสาทได้ มีตัวอย่างผู้ป่วยที่เคยมาหาหมอ บางคนไปฉีดยาแก้ไข้หวัด แต่ปรากฏว่าเท้าขวากระดกไม่ขึ้น ชาใต้เข่าลงไปถึงหลังเท้า ทั้งๆที่ก่อนไปฉีดยาลดไข้ก็ปกติดี รายนี้เป็นตัวอย่างของการ ฉีดยา ที่สะโพกผิดตำแหน่งทำให้ถูกเส้นประสาท หรือบางคนที่อ้วนมากฉีดแล้วแทงเข็มไม่ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อและยาระคายเคือง มากก็อาจเกิดฝีได้ นอกจากนี้ถ้าเทคนิคการฉีดไม่สะอาดพอก็เกิดการอักเสบติดเชื้อได้
บาง รายเจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงจากการฉีดยาเพราะ “ฉีดยาผิดคน” “ฉีดยาผิดประเภท” หรือ “ฉีดยาผิดขนาด” อย่างนี้เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แค่ป่วยก็นับว่าแย่อยู่แล้ว เจอฉีดยาผิดแบบนี้อันตรายมาก ถือว่าเป็นเรื่องผิดพลาดร้ายแรงในวงการแพทย์ เพราะบางครั้งอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต แต่มักพบนานๆ ครั้ง และจะเป็นข่าวดังโดยเฉพาะเมื่อมีการฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหาย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดจากความประมาท ความเร่งรีบ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการทำงาน ดัง นั้นส่วนของผู้ป่วยเมื่อจะต้องถูกฉีดยาควรถามว่าเป็นยาอะไร เป็นยาที่จะใช้กับเราจริงหรือไม่ ให้เพื่ออะไร ใครเป็นคนสั่ง และต้องสังเกตอาการผิดปกติอะไรบ้าง
จะเห็นว่าการ ฉีดยา นั้นมีความเสี่ยงอยู่มาก ตัวยาฉีดเองก็อันตรายกว่ายากิน โดยเฉพาะยาฉีดเข้าเส้นเลือดซึ่งจะเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันที หากพบว่าผู้ป่วยแพ้ยาหรือได้ยาผิด ก็จะมีอาการรวดเร็ว และรุนแรงกว่ายากินมาก
คลินิกบางแห่งยังนิยม ฉีดยา ให้ผู้ป่วย อาจเพราะผู้ป่วยมักจะตื๊อขอยาฉีดเพราะคิดว่าต้องดีกว่ายากิน อย่างนี้หมอควรอธิบายให้เห็นถึงคุณและโทษของยาฉีดเทียบกับยากินด้วย หรือหมอบางคนอาจเห็นว่าการฉีดยาจะสามารถคิดเงินได้มากกว่า เพราะผู้ป่วยบางกลุ่มชอบฉีดยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปวด แก้ท้องเสีย หรือแม้แต่ฉีดวิตามิน ซึ่งโดยมากต้นทุนยาแต่ละหลอดไม่ถึง 10 บาท บวกค่าเข็มก็ไม่เกิน 5 บาท แต่สามารถคิดค่า ฉีดยา ได้เป็นหลักร้อย
ดัง นั้นการใช้ยาฉีด ควรพิจารณาจากความจำเป็นในการใช้ และผู้ป่วยควรเตือนสติตัวเองว่า “คนรุ่นใหม่ ไม่ฉีดยาถ้าไม่จำเป็น”Ž “ยาฉีดอันตรายกว่ายากิน”Ž และถ้าหมอจะฉีดยา ให้ถามว่า “จะฉีดยาอะไร ทำไมต้องฉีด มียากินที่ดีเท่ากันหรือดีกว่าไหม และไม่ฉีดได้ไหม”

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน 353

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หญิงมองอวัยวะชาย หมายความว่า....?

หญิงมองอวัยวะชาย หมายความว่า…? ถึงแม้ผู้หญิงแต่ละคนจะมีสเปกผู้ชายที่แตกต่างกัน แต่เวลาที่คุณเจอผู้ชาย ส่วนแรกที่คุณจะเลือกมองคือส่วนไหนของผู้ชายก่อน เพราะส่วนแรกที่ผู้หญิงมองนั้น สามารถบ่งบอกอะไรบ้างอย่างของคุณได้
1. ชอบมอง ปากผู้ชาย เป็นคนที่โรแมนติกสุดๆ ชอบดอกไม้ดวงดาว และเทียนหอมๆ เป็นคนที่ละเอียดอ่อนมากๆ
2. ชอบมอง ฟันผู้ชาย เป็นคนที่เฉลียวฉลาด มักเรียนเก่ง เป็นคนช่างคิด
3. ชอบมอง ตาผู้ชาย เป็นคนเจ้าชู้ มักตกหลุมรักคนได้ง่ายๆ
4. ชอบมองมือผู้ชา เป็นยอดนักสู้ชีวิต เข้มแข็ง อดทน และบึกบัน
5. ชอบมอง ช่วงแขนผู้ชาย เป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง
6. ชอบมอง เท้าหรือขาของผู้ชาย เป็นผู้หญิงเปรี้ยว กล้าได้กล้าเสีย ปากจัด
7. ชองมอง ผมผู้ชาย เป็นสาวนักอนุรักษ์ ชอบธรรมชาติ รักความสะอาด
8. ชอบมอง หุ่นผู้ชาย เป็นผู้หญิงเก่งกล้า มีบุคลิกดี เป็นผู้นำ
9. ชอบมอง การแต่งตัวของผู้ชาย เป็นผู้หญิงหัวสูง ชอบของดีๆราคาแพง
10. ชอบมอง การกินของผู้ชาย เป็นคนหัวโบราณ อยู่ในกฎเกณฑ์
11. ชอบมอง การพูดของชาย เป็นคนหัวไว เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วและทันใจมากๆ
12. ชอบมอง การหัวเราะของผู้ชาย เป็นคนอ่อนไหว ปกติเป็นคนร่าเริง แต่ถ้าเสียใจก็จะเงียบไปเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก Forward Mail

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กินข้าวเหนืยว หมูปิ้ง อย่างไร ? ให้ไกลจากโรคมะเร็ง

ในยามเช้าที่เร่งรีบนั้น หลายคนเลือกที่จะรับประทานข้าวเหนียว หมูปิ้ง เป็นอาหารมื้อเช้า เพราะว่าทั้งสะดวก หาซื้อง่าย รับประทานง่ายไม่เสียเวลา ใน ข้าวเหนียวนั้น จะมีกลูเตน (Gluten) หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัดในโจ๊ก มีธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก มีสรรพคุณในการสร้างเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดสมบูรณ์ นอกจากนี้ข้าวเหนียวยังอุดมไปด้วยวิตามินอี มีสรรพคุณ ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบ ป้องกันปัญหาวุ้นนัยน์ตาเสื่อมได้อีกด้วย หากถ้าเป็นข้าวเหนียวดำ ก็จะมี โอพีซี (OPC) มีสรรพคุณช่วยชะลอการแก่ก่อนวัย และความเสื่อม ถอยของร่างกายได้อีกด้วย
ข้าวเหนียว หมูปิ้ง
ข้าวเหนียว หมูปิ้ง

แต่รู้หรือไม่ว่า หมูปิ้ง ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกๆวันนี้ มีสารก่อมะเร็งอยู่
หมูปิ้ง ที่เราเห็นกันทั่วไป ในหนึ่งไม้นั้นจะมีการเสียบมันหมูเอาไว้ด้วย นี่แหละเป็นหนึ่งในตัวการก่อสารมะเร็ง ที่ชื่อว่า PAH (Polycyclic aromatic hydrocarbon) ที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของสารอินทรีย์ เช่น ไขมันที่อยู่ในเนื้อสัตว์ น้ำมัน และไฮโดรคาร์บอนชนิดอื่นๆ ดังนั้นจึงพบสารชนิดนี้ในส่วนที่ไหม้เกรียมของ หมูปิ้ง และนอกจากนี้ยังพบสาร PAH คล้ายคลึงกับการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ บุหรี่ และเตาเผาเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย พูด ง่ายๆคือ การที่นำหมูที่มีมันไปปิ้งบนเตาถ่าน จะทำให้ไขมันในหมูละลายและหยดลงไปในถ่าน เกิดเป็นควันที่มีสาร PAH อยู่และลอยมาเกาะติดที่ หมูปิ้ง โดยส่วนมากสารนี้จะอยู่ในส่วนที่ไหม้เกรียมของ หมูปิ้ง
คำแนะนำในการรับประทานข้าวเหนียว หมูปิ้ง
เลือกซื้อ หมูปิ้ง ร้านที่ไม่มีมันหมูติดอยู่ และไม่ปิ้งจนเกิดส่วนที่ไหม้เกรียมซึ่งเป็นส่วนที่รวมสารก่อมะเร็งอยู่ และไม่ควรรับประทานหมูปิ้งมากจนเกินไป ควรรับประทานอย่างอื่นเป็นมื้อเช้าบ้าง เพราะหากรับประทานทุกวัน สารก่อมะเร็งที่อยู่ใน หมูปิ้ง ก็จะสะสมอยู่ในร่างกายเรา เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้
คำแนะนำสำหรับการทำอาหารปิ้งย่างให้ปลอดภัยจากมะเร็ง
  1. ก่อนปิ้งย่างเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ควรติดส่วนที่เป็นส่วนของไขมันออกก่อน เพื่อลดไขมันที่จะหยดลงบนถ่าน
  2. อาหารที่จะนำมาปิ้งย่าง รมควัน ควรเลือกในลักษณะที่มีไขมันติดอยู่น้อยที่สุด
  3. นำ เข้าเตาไมโครเวฟ 1-2 นาที จะพบว่ามีน้ำจากเนื้อสัตว์ออกมา ให้เทน้ำนั้นทิ้งแล้วจึงนำไปปิ้งย่าง ซึ่งครีอะตินีนจะออกมากับน้ำดังกล่าว เมื่อครีอะตินีนลดลง การเกิด Heterocyclic amine ก็จะน้อยลง
  4. ไม่ควรปิ้งย่างด้วยไฟแรงบนเตา ใช้ไฟอ่อนๆ และควรให้ระยะห่างจากเตามากขึ้น หรือใช้อะลูมินั่ม ฟรอยด์ ห่อก่อนการปิ้งย่าง
  5. ผู้ ที่มีอาชีพในการปิ้งย่างอาหารขาย ควรติดตั้งพัดลมในครัวเพื่อขจัดควัน เป็นการลดความเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดจากการสูดดมสาร PAH และ Heterocyclic amine เข้าสู่ร่างกาย
  6. การใช้ใบตองห่ออาหารก่อนที่จะปิ้งย่าง เป็นการลดปริมาณหยดไขมันที่จะหยดลงบนถ่าน และทำให้อาหารมีกลิ่นหอมของใบตองด้วย
  7. ลดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีการเติม เกลือไนเตรตและเกลือไนไตรต์
  8. เนื้อ สัตว์ที่ผ่านการแปรรูปแล้ว เช่น เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแห้ง ปลาเค็ม หมูเค็ม ปลาแห้ง กุนเชียง ควรจะเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อช่วยรักษาสภาพของเนื้อสัตว์ และลดการเกิดสาร secondary amine
  9. ควรบริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน เพื่อทำให้ระบบการขับถ่ายและการขจัดของเสียออกจากร่างกายได้ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ มีการศึกษาพบว่าถ้ามีการกินผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง ไปพร้อมๆ กันในมื้ออาหารก็จะช่วยลดการเกิดสารประกอบไนโตรซามีน ขึ้นในกระเพาะอาหารได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากวิตามินซีในผลไม้ที่จะช่วยลดการเกิดสารประกอบ ไนโตรซามีนในร่างกาย
  10. หลีกเลี่ยงการสูดดมควัน จากแหล่งต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และโรคทางระบบทางเดินหายใจ
  11. หันมาใช้เตาไฟฟ้า (ไร้ควัน) ซึ่งสามารถควบคุมระดับความร้อนได้มากกว่าการใช้เตาถ่าน
  12. สิ่งที่สำคัญที่สุด หลังปิ้งย่างเสร็จแล้ว ควรหั่นส่วนที่ไหม้เกรียมออกให้มากที่สุด ก่อนนำไปรับประทาน
 ขอบคุณที่มาจาก : ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา
www.l3nr.org/posts/455245
เรียบเรียงโดย health.mthai.com

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คราบ หินปูน อันตรายที่คนมองข้าม

การดูแลความสวยงามของฟัน แสดงให้เห็นถึงความมีจิตสำนึกหรือความเอาใจใส่ในสุขภาพของร่างกายและปรารถนาจะเป็นที่รักของทุกๆคน ในแต่ละวัน ก่อน-หลังแปรงฟัน คุณเคยสังเหตุหรือไม่ว่า มีคราบขาวออกเหลืองหรือสีครีมที่เกาะที่ฟันบ้างหรือเปล่า เพราะหากทิ้งไว้นานคราบเหล่านั้นจะเกาะติดแน่น ไม่สามารถเอาออกโดยการแปรงฟัน นี่แหละที่เรียกว่า หินปูน
หินปูน เกิดจากอะไร?
เกิดจากคราบน้ำลาย เชื้อโรคต่างๆ สะสมและตกตะกอน การแปรงฟันหรือบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากก็ไม่สามารถกำจัด จุลินทรีย์พวกนี้ได้นะครับเพราะฉะนั้นหลายๆคนต้องกำจัด หินปูน โดยการเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อให้หมอฟันขูด หินปูน ออกให้
ส่วนมากแล้วคราบ หินปูน จะเกิดปริเวณซอกฟันระหว่างฟัน หรือเกิดที่โคนของฟัน ทุกซี่ได้ทั้งปากไม่เว้นแม้กระทั้งฟันปลอม ส่วนมากเกิดในซอกฟันด้านในเพราะวันด้านหน้าเราแปลงฟันได้ถนัดทำให้ทำความสะอาดได้ดีกว่าซอกฟันด้านใน หากใครลองเอากระจกส่องฟันมากส่องดูอาจจะต้องตกใจกับ หินปูน ของเราเลยก็ได้
78816651
อันตรายจากหินปูน
  1. ทำให้เลือดออกขณะแปรงฟัน เพราะบางคนอาจจะคิดว่ามีเศษอาหารติดซอกฟันทำให้พยายามแปรงฟันแรงๆ แต่หินปูนไม่สามารถใช้แปรงสีฟันเอาออกได้ จึงอาจจะเกิดการใช้แรงกดเกินไปจนเลือดออก
  2. เหงือกบวม สืบเนื่องจากการแปรงฟันโดยเน้นแรงกดอาจจะทำให้เลือดออกแล้วเหงือกยังบวมอักเสบ หรือเป็นแผลซึ่งทำให้ยุ่งยากและทรมานกับการกินอาหารได้ครับ
  3. ฟันเหลืองสุดๆ เนื่องจากเป็นแคลเซียมและจุลินทรีย์มาเคลือบผิวฟัน จึงเกิดการตกตะกอนเป็นสีเหลืองทำให้เสียบุคลิกภาพ
  4. มีกลิ่นปาก เพราะคราบหินปูนก็มีแบททีเรียจากขี้ฟันที่ทำให้มีกลิ่นปาก
  5. เหงือกร่น เพราะหินปูนหากเกาะตัวกันใหญ่มากๆมันก็จะดันลงข้างล่าง ดันเหงือกของเราให้ถอยตัวลงไป
  6. ฟันโยก ฟันเห่าง ถ้าหินปุนดันเหงือกลงมากๆแล้วก็จะทำให้เหงือกยึดฟันได้น้อยเวลาเคี้ยวอาหารก็มีโอากาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่ฟันจะโยก และถ้าหินปูนใหญ่ขึ้นก็จะดันฟันข้างๆได้ทำให้ฟันห่างกัน
  7. ฟันผุ เชื้อจุลินทรีย์ที่ย่อยอาหารแล้วปล่อยสารที่กรดออกมา จะกัดกร่อนผิวเคลือบฟันให้เป็นร่อง เป็นอย่างต่อเนื่องนานๆ จะทำให้ผิวฟันเป็นรู ซึ่งเรียกว่าฟันผุ
  8. เหงือกอักเสบ เชื้อจุลินทรีย์บางจำพวก จะปล่อยสารพิษออกมาทำลายเยื่อเหงือก ทำให้เกิดเหงืออักเสบ
  9. โรคปริทนต์ คราบหินปูนถ้าเป็นอย่างต่อเนื่องนานๆ เกิดเป็นโรคปริทนต์ได้ เพราะแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่เกาะบนหินปูน จะกำจัดได้ยากกว่าบนผิวฟัน ดังนี้ถ้าต้องการกำจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์ให้หมดต้องกำจัดหินปูนออกก่อน
กำจัดหินปูนอย่างไร
วิธีการกำจัดหินปูนออกจากฟันของเราได้มีประสิทธิภาพและได้ผลแน่นอนที่สุดก็คือ “ขูดหินปูน” โดยทันตแพทย์ เพราะหินปูนไม่สามารถใช้แปรงสีฟันแปรงออกได้ และห้ามนำไม้หรือของแข็งมาแถะหินปูนเด็ดขาดผมเคยลองมาแล้วนอกจากหินปูนไม่ออกยังทำให้เลือดไหลตามไรฟันที่หินปูนขึ้น แถมเสียวฟันอีกต่างหา
เนื่องจากการดูแลฟันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การขูดหินปูนจึงมีระยะเวลาความถี่ที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วควรพบทันตแพทย์อย่างน้อย 6 เดือนต่อ 1 ครั้ง เพื่อทำการขูดหินปูน แต่สำหรับบางคนที่ดูแลฟัน แปรงฟันถูกวิธี ทันตแพทย์ก็จะแนะนำเวลาที่จะต้องขูดหินปูนในนัดครั้งต่อไป
วิธีป้องกัน การเกิดหินปูน
การจะป้องกันไม่ให้เกิดหินปูนขึ้นอีกเลยในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ แต่การมีหินปูนมิใช่การเป็นโรค ก็คล้ายๆ กับการเกิดมีขี้ฟันที่เกาะที่ตัวฟันหลังกินอาหาร ถ้าไม่กินก็คงจะไม่เกิด แต่จริงๆ แล้วแม้ไม่กินอาหารก็มีคราบของโปรตีนในน้ำลายไปเกาะที่ผิวฟันอยู่ดี เพียงแต่เรามองไม่เห็น และไม่เป็นอันตรายต่อฟัน
ดังนั้นที่จะทำได้คือ การทำความสะอาดฟันให้สะอาดทั่วทั้งปากทุกๆ วัน ก็จะทำให้เกิดหินปูนช้าลงหรือน้อยลง
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการพัฒนาการเพิ่มสารบางอย่างในยาสีฟันเพื่อลดการเกาะตัวของสารประกอบแคลเซียม ดังนั้นในระยะยาวก็อาจมีผลที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า อาจลดการเกิดหินปูนในประชากรได้ร้อยละ 5-10

ขอบคุณที่มาจาก : www.emaginfo.com