วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

พิสูจน์แล้ว ! กินส้มตําถาด เสื่ยงรับสารแดทเมื่ยมจริง

จากกระแสข่าวเมื่อ 2 เดือนก่อน เกี่ยวกับการกิน ส้มตำถาด เสี่ยงได้รับสารพิษปนเปื้อนนั้น ล่าสุด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้เก็บตัวอย่าง ส้มตำถาด เพื่อพิสูจน์หาสารโลหะหนัก หลังจากมีการทดสอบเบื้องต้นโดยใส่กรดแอซีติก หรือกรดน้ำส้มสายชู และพบว่ามีการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยมเกินเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ สุขภาพของประชาชนนั้น ​
การทดลองเบื้องต้นเป็นการหยดสารโดยตรงลงบนถาด ซึ่งอาจทำให้ได้ค่าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เก็บ ส้มตำถาด จำนวน 10 ตัวอย่างเพื่อนำมาวิเคราะห์ โดยแบ่งการทดสอบเป็นการหยดสารแอซีติก แช่ไว้ตามมาตรฐาน 24 ชั่วโมงในอุณหภูมิ 12 องศา พบ ว่าสารละลายที่ออกมานั้น มีสารแคดเมียม 2.6 มิลลิกรัมต่อลิตร ​จากมาตรฐานกำหนดไว้ต้องไม่เกิน 0.25 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งการทดสอบดังกล่าวสารแคดเมียมเกินมาตรฐานทั้ง 10 ตัวอย่าง เป็น 10 เท่า ส่วนสารตะกั่วพบเพียง 3 ถาดแต่ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด
ส้มตำถาด

นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การ ทดสอบอีกส่วนที่สำคัญ คือ การหาปริมาณสารที่ละลายออกมาปนเปื้อนในส้มตำที่ใส่อยู่ในถาดโดยตรง ซึ่งจะทำให้ทราบคำตอบว่าในการรับประทานจริงๆ จะได้รับการปนเปื้อนด้วยหรือไม่ โดยสุ่มตัวอย่างส้มตำ 10 ตัวอย่าง ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 3 ชั่วโมงแล้วนำมาหาการปนเปื้อน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
  1. ส้มตำที่ใส่กับถาดโดยตรงไม่มีอะไรรอง พบว่าจากการทดสอบพบสารแคดเมียมปนเปื้อนในส้มตำ 0.875 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  2. ส้มตำถาด แบบที่มีใบตองรองที่ก้นถาดแบบมิดชิด ไม่พบการปนเปื้อนของแคดเมี่ยม
  3. ส้มตำถาด แบบที่มีใบตองรองแต่ไม่มิดชิด พบการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยม 0.127 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
  4. นำ ส้มตำใส่ถุงพลาสติกวางบนถาดเพื่อนำมาเปรียบเทียบการปนเปื้อนจากอาหารโดยตรง เท่านั้น ทั้งนี้ จากการทดสอบทุกแบบไม่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่ว
“ผล การตรวจดังกล่าว เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน ADI หรือปริมาณที่ไม่ควรบริโภคเกินในแต่ละวันอยู่ที่ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัวต่อเดือน ประกอบกับข้อมูลการเก็บตัวเลขการบริโภคอาหารของคนไทย ปริมาณแคดเมี่ยมที่พบในการทดสอบครั้งนี้โดยเฉพาะเมื่อใส่ส้มตำในถาดสีโดยตรง ถือว่าเกินปริมาณที่แนะนำ 1.4 เท่า ซึ่งหากมีการบริโภคอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะได้รับสารแคดเมี่ยมเกินมาตรฐาน และสะสมในร่างกายไปเรื่อยๆ ก็มีสูง ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกร้านที่ใช้ภาชนะที่ปลอดภัย” นพ.อภิชัย กล่าว
อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากได้รับสารแคดเมี่ยมนั้น​ พบว่าเป็นสารที่หากได้รับในปริมาณมากหรือสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดพิษต่อไตและกระดูกได้ หากกินต่อเนื่องในระยะยาวจะทำให้เสี่ยงไตวาย เกิดโรคปวดกระดูก หรือโรคอิไตอิไต นอกจากนี้องค์กรด้านมะเร็งยังกำหนดให้แคดเมี่ยมเป็นสารชนิดหนึ่งที่ก่อให้ เกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามการทดสอบครั้งนี้ได้ พยายามหาคำตอบที่ประชาชนสงสัยและตอบคำถามเรื่องความปลอดภัยเพื่อเป็นการคุ้ม ครองผู้บริโภคสำหรับผู้ประกอบการร้านค้านั้น สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยได้โดยดูที่มาตรฐาน มอก. ซึ่งจะกำหนดมาตรฐานของสีที่ใช้กับภาชนะสำหรับครัวเรือน ซึ่งสารแคดเมี่ยมและตะกั่วเป็นส่วนประกอบสำคัญของสี หากเลือกใช้ภาชนะที่ได้มาตรฐานก็จะปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ขอบคุณที่มาจาก : www.khaosod.co.th

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

5 สี่งในชีวิตดีๆ ของคนทํางานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ

5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ


ใน เมื่อเรียนจบแล้ว นักศึกษาจบใหม่ทั้งหลายก็ต้องเริ่มต้นชีวิตของการทำงาน ก้าวสู้โลกของความเป็นจริงมาอีกหนึ่งสเตป ซึ่งหลายคนคงคิดว่า จบแล้วทำงานแล้ว มีเงินใช้ตลอดๆ ทุกเดือน ชีวิตแฮปปี้ ชีวิตดี๊ดี! แต่อย่าลืมไปนะคะว่าในโลกของความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่าที่คุณมโนไว้หลาย เท่า วันนี้ทีนเอ็มไทยมี 5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ ไปดูกันคะว่าจะมีอะไรบ้าง ..
5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ

5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ

1. ราชาเงินผ่อน 
เมื่อ เริ่มมีเงินเดือนประจำ บรรดาเหล่าธนาคารต่างๆ ก็พร้อมยินดียื่นข้อเสนอให้คุณมีบัตรเครดิตไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วยวงเงินที่ มากกว่าเงินเดือนหลายเท่า และอาจทำให้หลายคนตื่นตาตื่นใจ เพราะเริ่มเห็นหนทางที่จะได้สิ่งของที่ต้องการมาอย่างง่ายดาย โดยไม่คิดถึงบั้นปลายที่ต้องผ่อนจ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ยอันหนักอึ้ง และถ้าคุณใช้เกินตัว รูดปรื้ดๆ กับสิ่งของดับกิเลสแถมผ่อนจ่ายไม่ตรงกำหนด ในที่สุดคุณเองอาจหน้ามืดกับดอกเบี้ยที่บานเบอะ เป็นยอดหนี้รุมเร้าไปชั่วนาตาปีเลยทีเดียว
2. หลงภาพโซเชียล
คน ทำงานมือใหม่หลายคนมักติดกับ หลงเชื่อภาพในโลกโซเชียลมีเดียของเพื่อนที่มักโพสต์อวดแต่เรื่องดีๆ หรูๆ ร้านอาหารดัง เสื้อผ้าสวยๆ ยี่ห้อสุดฮิต หรือของแบรนด์เนม โดยไม่คำนึงถึงว่า ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพเรื่องจริงหรือภาพลวงตากันแน่ จึงทำให้เกิดความอยากได้อยากมีและอยากอวดคนอื่นบ้าง ถึงขนาดยอมทุ่มเงินเดือนทั้งเดือนหรือยอมเป็นราชาเงินผ่อน เพื่อจับจ่ายให้ได้ของเหล่านั้น โดยไม่มองว่าเหมาะสมกับรายได้ของตนหรือไม่ จนทำให้เงินที่มีอยู่ชักหน้าไม่ถึงหลัง บ่วงนี้จึงอันตรายยิ่งนัก เพราะคนทำงานมือใหม่สมัยนี้มักมีทัศนคติที่ว่า “เสียเงินไม่ว่า แต่เสีย
3. หน้าไม่ได้”โชว์ชีวิตสุดโก้ 
คน ทำงานยุคใหม่จะมีเทรนด์การใช้ชีวิตที่ต่างไปจากคนรุ่นก่อน ด้วยสังคม ค่านิยม และทัศนคติที่เปลี่ยนไป เมื่อชีวิตเพิ่งเริ่มทำงาน บางคนก็อยากจะมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง เช่น อยากซื้อบ้าน อยากมีคอนโดมิเนียม อยากถอยรถป้ายแดง อยากถือกระเป๋าแบรนด์เนม ความอยากมีทรัพย์สินเป็นของตนเองถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิด ถ้าเรารู้จักประมาณตน แต่บางคนอยากได้เพียงแค่โชว์ชีวิตสุดโก้ให้สังคมได้รับรู้และยอมรับในสถานะ ของตน โดยไม่คำนึงถึงรายได้หรือความมั่นคงในอาชีพที่ทำอยู่ มีรายได้เพียงน้อยนิด แต่คิดซื้อทั้งรถและบ้าน สุดท้ายค่าใช้จ่ายบานปลาย กลับกลายเป็นทั้งบ้านและรถถูกยึดไปเสียต่อหน้าต่อตาเสียเอง
4.สังคมจ๋า ปาร์ตี้จัด 
นี่ ก็เป็นอีกหนึ่งบ่วงอันตรายที่ทำร้ายคนทำงานมือใหม่มานักต่อนัก เพราะในสังคมออฟฟิศมักมีการสังสรรค์ เที่ยว ช้อป ชิลล์ร่วมกันเสมอๆ จนบางคนเสพติด ฟิตจัดนัดกันทุกสุดสัปดาห์ และยิ่งหากคุณเป็นคนปฏิเสธเพื่อนไม่เป็นด้วยแล้ว ระวังให้ดี…เงินในกระเป๋าจะฟีบแบนก่อนสิ้นเดือนแน่นอน
5. ผีพนันเข้าสิง 
พฤติกรรม นี้อาจติดตัวมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่บางคนก็มาเสียคนตอนทำงานก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่โดยพื้นฐานมักชอบการแข่งขัน ท้าทาย รักสนุก ยิ่งทำงานมีรายได้ ก็เกิดอยากรู้อยากลองตามสังคมกลุ่มเพื่อน ตอนแรกอาจคิดว่าลองดูเล่นๆ เพื่อความมันส์สนุกสนาน แต่นานวันเข้ากลับเสพติดการพนันโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งมีอะไรมาเข้าสิงจนสติกระเจิง ไม่สามารถลด ละ เลิกได้ ทั้งโต๊ะบอล โต๊ะม้า การพนันออนไลน์ เล่นทุกนัด พนันทุกแมทช์ ไม่มีคลาดสักสำนัก อย่างนี้กี่คนๆ ก็สิ้นเนื้อประดาตัว…แน่นอน!
ขอบคุณข้อมูล jobsDB.com

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

อันตรายจาก ยาชุดลดความอ้วน

ปัจจุบันโรคอ้วนเป็นปัญหาอย่างมากใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
ดังนั้นโรคอ้วนจึงจำ เป็นต้องได้รับการรักษา ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การใช้ยารักษา และการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันพบว่าการนำยาลดความอ้วนไปใช้ในทางที่ผิดมีมากขึ้น เนื่องจากการซื้อยาลดความอ้วนสามารถหาซื้อเองได้ง่าย โดยไม่ได้มีการแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรที่เหมาะสม ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา
465994267
โดย จากการสำรวจของกองควบคุมวัตถุเสพติด พบว่า ยาชุดลดความอ้วน มักจะประกอบไปด้วยยาหลายชนิดเพื่อช่วยเสริมผลในการลดน้ำหนัก ซึ่งจัดไว้เป็นชุดให้รับประทานเหมือนกันในแต่ละวัน โดย ยาชุดลดความอ้วน จะประกอบไปด้วยยาประมาณ 1-7 รายการ ดังต่อไปนี้
ยาลดความอยากอาหาร เช่น เฟนเตอมีน (Phentermine) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มแอมเฟตามีน โดยยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นศูนย์ควบคุมความอิ่มทำให้เกิดอาการเบื่อ อาหาร โดยผลข้างเคียงที่เกิดจากยากลุ่มนี้ เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง อาจหมดสติหรือชักได้ เป็นต้น แม้ว่ายาเฟนเตอมีนนี้ จะมีข้อบ่งชี้ในการรักษาโรคอ้วนโดยตรงแต่ให้ใช้ในระยะสั้นเท่านั้น เช่น ไม่ควรใช้เกิน 3-6 เดือน และหากรับประทานยาลดความอ้วนกลุ่มนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการติดยาได้ เนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้เคลิ้มมีความสุข และถ้าหากหยุดยาทันทีทันใด อาจเกิดภาวะถอนยาได้ อาการถอนยาดังกล่าวได้แก่ สับสน หวาดระแวง ประสาทหลอน เป็นต้น  ยากลุ่มนี้จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 ดังนั้นการใช้ยากลุ่มนี้จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ ซึ่งยามีผลเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงเร็ว โดยยากลุ่มนี้ทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างเช่น น้ำหนักที่ลดลงเป็นน้ำหนักที่ลดลงที่เกิดจากน้ำหนักตัวที่ปราศจากไขมัน (lean body mass) แทนที่จะเป็นไขมัน ซึ่งเป็นการทำลายโปรตีนของกล้ามเนื้อ มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ เช่น ทำให้ใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
ยาขับปัสสาวะ มี ผลขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงเร็วหลังใช้ยา แต่ยาขับปัสสาวะไม่มีผลในการลดแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับ มีผลเพียงทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลงเท่านั้น ซึ่งนอกจากนี้ยังทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกายไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายอาการผิดปกติต่อหัวใจ สมอง และอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โดยยากลุ่มนี้ไม่ควรนำมาใช้ในการลดน้ำหนักอย่างยิ่ง
ยาถ่ายหรือยาระบาย จะ กระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้บีบตัวทำให้ถ่ายมากหรือบ่อยขึ้น เพื่อขับไล่อาหารออกจากทางเดินอาหารภายหลังการรับประทานยาเข้าไป ทำให้รู้สึกว่าน้ำหนักลดลง แต่การใช้ยาระบายในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเดิน ร่างกายสูญเสียสมดุลของน้ำและเกลือแร่ เกิดอันตรายได้ และการใช้ยาระบายติดต่อกันนานๆ ส่งผลร่างกายเริ่มทนต่อยา คือ การใช้ยาในขนาดเท่าเดิมแต่ให้ผลการรักษาลดลง หากต้องการผลการรักษาเท่าเดิม ต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้น ดังนั้นควรใช้ยาระบายเพื่อบรรเทาอาการท้องผูกเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้ในการลดความอ้วน
ยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ยานี้ไม่มีผลต่อการลดน้ำหนัก แต่ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยาลดความอยากอาหารที่มีผลทำให้ไม่หิว ดังนั้นร่างกายจึงไม่ได้รับอาหารหรืออาจได้รับอาหารเพียงเล็กน้อย ซึ่งการที่ร่างกายไม่ได้รับอาหารแต่ยังมีกรดในกระเพาะอาหารหลั่งเพื่อย่อย อาหารอยู่ อาจเป็นเหตุให้เกิดโรคกระเพาะได้ จึงให้ยานี้เพื่อลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol) ปกติจะใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ การใช้ร่วมกับ ยาชุดลดความอ้วน นั้น เพื่อลดอาการใจสั่นที่เป็นผลข้างเคียงของยาลดความอยากอาหาร และไทรอยด์ฮอร์โมน ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยาลดอัตราการเต้นของหัวใจได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
ยานอนหลับหรือยาที่มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ง่วงนอน เช่น ไดอะซีแพม (Diazepam) ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากยาลดความอยากอาหารซึ่งกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำ ให้นอนไม่หลับ ซึ่งยาในกลุ่มยานอนหลับนี้ยังจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ดังนั้นการใช้ยากลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ นอกจากนี้หากรับประทานยากลุ่มนี้ในขนาดที่สูงเกินไป อาจมีผลทำให้เกิดการกดการหายใจและความดันโลหิตต่ำได้
แต่เป็นยารักษา โรคอื่นที่นำมาใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาลดความอ้วน แต่กลับส่งผลให้ได้รับอันตรายจากผลข้างเคียงมากมาย ดังนั้นการหาซื้อยาลดความอ้วนมาใช้เองโดยที่ไม่มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด อาจส่งผลเสียต่อร่างกายต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ดัง นั้นการลดน้ำหนักที่ดีและปลอดภัย คือ การควบคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย อีกทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารร่วมด้วย ซึ่งถึงแม้การใช้ยาลดความอ้วนจะเป็นวิธีเห็นผลเร็ว น้ำหนักลดลงได้เร็วก็จริง แต่หากไม่ได้มีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย เมื่อหยุดยาลดความอ้วนน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นเช่นเดิมได้ อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้หากใช้ยาในขนาดที่สูง เกินไป ดังนั้นหากต้องการใช้ยาลดความอ้วน ควรปรึกษาแพทย์และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการใช้ยาได้มากที่สุด
ขอบคุณที่มาจาก : เว็บไซต์หน่วยงานคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย นศภ. ศิรดา เด่นชูวงศ์
www.thaihealth.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

คืนที่จันทร์เต็มดวงทําให้คุณ......หลับยาก.....

คืนที่จันทร์เต็มดวงทำให้คุณ…หลับยาก…


q       
          ถ้าจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของดวงจันทร์ กับชีวิตมนุษย์ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า มนุษย์นั้นอาศัยตำแหน่งโคจรของดวงจันทร์ในการพยากรณ์สิ่งต่างๆตั้งแต่สมัยโบราณกาล สังเกต ได้จากการมีปฏิทินจันทรคติ ด้วยเชื่อว่ามีผลกระทบต่อหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือแม้แต่ มนุษย์ ความเชื่อบางอย่างได้ถูกพิสูจน์หักล้าง แต่บางอย่างก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้
          มีการศึกษาวิจัยที่พยายามเชื่อมโยงการเจริญเติบโตของพืชเข้ากับการตำแหน่งการโคจรของดวงจันทร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยจังหวะการโคจรของดวงจันทร์นั้นซับซ้อนและไม่สม่ำเสมอ และผลกระทบก็ยังไม่ชัดเจน ดังนั้น…จึงยากที่จะทำการทดลองซ้ำและยากที่จะสรุปผลกระทบที่ชี้ชัดได้ ทว่า…ผลกระทบบางอย่างจากดวงจันทร์ก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง เพราะ…จังหวะทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดมีความสัมพันธ์กับน้ำขึ้นน้ำ ลง เช่น การสืบพันธุ์ เพศของปะการัง และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อการยังชีพ ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์
moon-phases
          คุณอาจสงสัยว่า แล้วดวงจันทร์มีผลกระทบกับมนุษย์บ้างหรือเปล่า? เป็นที่น่าสงสัยและน่าสังเกต ว่าโดยปกติรอบประจำเดือนของมนุษย์ประมาณยี่สิบแปดวันนั้น บังเอิญตรงกับรอบการโคจรของดวงจันทร์พอดิบพอดี และมีข้อมูลการวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ของดวงจันทร์กับไฟฟ้าเคมีในสมอง บ่งชี้ว่าผู้ป่วยโรคลมชักและผู้ที่มีอาการปวดหัว มีแนวโน้มที่จะกำเริบในคืนเดือนมืด (new moon)  
          มีการรายงานมานานแล้วว่าคนเราจะหลับยากขึ้น และระยะเวลาในการหลับน้อยลง ในคืนที่จันทร์เต็มดวง และแม้จะดูเหมือนว่าจะเป็นคืนที่หลับสนิท เมื่อตื่นมาก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียเหมือนหลับไม่เต็มตื่น ซึ่งอาการนี้ไม่ปรากฏในคืนอื่นๆ และถึงแม้จะนอนหลับในที่ที่ไม่เห็นแสงจันทร์ เช่น อยู่ในห้องที่ปิดม่านอย่างดีแล้วก็ตาม ก็ยังพบอาการดังกล่าวอยู่เช่นเดิม สิ่งที่เรายังคงค้างคาใจ คือ ดวงจันทร์คือสาเหตุที่แท้จริงที่มีผลต่อการนอนหลับจริงๆ หรือไม่ ? สิ่งนี้ถูกพิสูจน์ทราบและรายงานในวารสาร Current Biology ซึ่งกล่าวว่า ความเชื่อนี้เป็นเรื่องจริงที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้
Insomnia
          ในปี 2000 คาโจเคน และทีมวิจัยจาก University of Basel , the Swiss Federal Institute of Technology และ Switzerland Centre for Sleep Medicine ได้ศึกษาการนอนหลับของอาสาสมัคร 33 คน ในตลอดระยะเวลา 3 ปี นักวิจัยได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคลื่นสมองของอาสาสมัครด้วยวิธี Electroencephalography (EEG) ซึ่งใช้อุปกรณ์ติดที่กระโหลกศีรษะเพื่อวัดการทำงานของสมองผ่านการเปลี่ยน แปลงทางไฟฟ้าเคมี โดยศึกษา
► ปริมาณเมลาโทนิน (melatonin: ฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อหลับสนิท)
► ระยะเวลาที่ใช้ในการนอนจนกระทั่งหลับ และความยาวการนอนหลับสนิท
► รวมถึงความรู้สึกหลังจากการนอนหลับ
แต่จริงๆ แล้ว “การศึกษาการนอนหลับกับพระจันทร์นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งแรกที่ตั้งใจอยากจะศึกษา แต่ไอเดียนี้ได้บังเอิญผุดคิดขึ้นมาหลังจากการที่ไปนั่งดื่มในบาร์แห่งหนึ่ง ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง” ดังปรากฏอยู่ในประโยคหนึ่งของบทความ

          สิ่งที่พวกเขาค้นพบนั้นเป็นที่น่าประหลาดใจว่าอาสาสมัครต้องใช้เวลามากขึ้น โดยเฉลี่ย 5 นาที ก่อนที่จะหลับ เป็นเวลา 4-5 คืนติดกันในช่วงที่พระจันทร์เต็มดวง สำหรับระยะเวลาการนอน พวกเขาใช้เวลานอนหลับน้อยลงถึง 20 นาที ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นสมอง EEG บ่งชี้ถึงการหลับสนิทลดลง 30% ระดับเมลาโทนินลดลง และสำหรับความรู้สึกของอาสาสมัคร พบว่าในช่วงนั้น พวกเขามีความสดชื่นจากการนอนหลับน้อยลงหรือพูดง่ายๆ ว่า มีความรู้สึกว่าหลับไม่เต็มตื่น เมื่อเปรียบเทียบกับวันอื่นๆ ทั้งที่พวกเขาถูกจัดให้นอนหลับในห้องที่มืดสนิท ปราศจากแสงจันทร์
moon-37-night-sky
          หากมองในแง่ความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ ก็มองได้ทั้งสองทางว่าเชื่อได้และเชื่อยาก เพราะการศึกษานี้นับว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนตั้งแต่แรก เนื่องจากทั้งนักวิจัยและอาสาสมัครนั้นไม่รู้มาก่อนว่าตั้งใจจะศึกษาความ สัมพันธ์ของการนอนหลับกับการที่ดวงจันทร์เต็มดวง  ในทางกลับกัน หากมีการตั้งใจศึกษาดวงจันทร์ การวิจัยนี้ควรจะถูกศึกษาอย่างระมัดระวังและรัดกุมมากขึ้นในทุก ๆ คืนของรอบการโคจรของดวงจันทร์ ในขณะที่ในการศึกษานี้นั้นใช้เวลาจับตาดูเพียงเกือบทุกคืนในแต่ละเดือน เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามีความเข้มงวดน้อยกว่า
          อย่างไรก็ตามการวิจัยหลายงานได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการที่พระจันทร์เต็มดวงนั้นไม่มีผลกระทบที่ชัดเจนต่อสุขภาพของมนุษย์ ถึง แม้ว่าบางการศึกษาได้พบว่า การที่มีพระจันทร์เต็มดวงดูมีผลให้คนนอนไม่หลับ หลับยากขึ้น ฝันร้าย หรือแม้แต่การละเมอ และพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการที่นักโทษมีความก้าวร้าวเพิ่มขึ้น ในปี 1985 แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อว่าดวงจันทร์เต็มดวงทำให้มีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่ม ขึ้น หรือมีผลต่อการก่อคดีฆาตกรรมหรืออาชญากรรมใดๆ และในปี 2010 ก็มีการศึกษาในทำนองเดียวกัน แต่ก็ไม่พบความแตกต่างของจำนวนการก่อคดีทางอาญาในคืนพระจันทร์เต็มดวงกับคืน ปกติเช่นเดียวกัน
getty_rf_photo_of_woman_drinking_milk7-ways-to-get-a-better-night-sleep-lavender
          ไม่แน่ว่า ในค่ำคืนที่คุณนอนไม่หลับ หรือหลับยาก หากคุณลองมองออกไปข้างนอก คุณอาจจะพบต้นตอที่แท้จริงของการนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่เต็มอิ่มของคุณ จากการที่พระจันทร์เต็มดวงก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยให้หลับง่าย ขึ้น การดื่มนม หรือดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น และการอาบน้ำอุ่นก่อนนอน และการวางน้ำหอมกลิ่นมะลิ หรือลาเวนเดอร์ ไว้ใกล้ๆเตียงนอน จะช่วยให้คุณหลับง่ายขึ้นได้ค่ะ
อ้างอิงจากเว็บไซต์ ณ วันที่ 28/8/57
http://www.manager.co.th/science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000092059
http://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102000364
http://science.time.com/2013/07/25/how-the-moon-messes-with-your-sleep/
http://www.livescience.com/38435-full-moon-affects-sleep.html
http://www.insomnia911.com/sleep-insomnia/moon.htm
รูปภาพจาก
http://essentialsurvival.org/overcoming-insomnia-naturally/
http://images2.layoutsparks.com/1/244015/moon-37-night-sky.jpg
http://ortusmemoria.files.wordpress.com/2013/06/moon-phases.jpg
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuxMDUiLwVonFBB03ZD59Yl3iKcgn89N7KCo0a_HGJMzuxsGmT-AUK_aaOWCKr6PnsVo-pV6ei3sNynEKYHA477Y4_Zy2AeOpGXLbaiGdiC-1qD4KbDacYdFHL21UhnfD7Jxq11zxf8MVR/s1600/q.jpg
http://www.artwallpaperhi.com/thumbnails/detail/20121017/women%20sleeping%20beauty%20insomnia%203872×2592%20wallpaper_www.artwallpaperhi.com_72.jpg
http://img.webmd.com/dtmcms/live/webmd/consumer_assets/site_images/articles/health_tools/sleep_diet_slideshow/getty_rf_photo_of_woman_drinking_milk.jpg
http://www.womensforum.com/images/stories/c_health_beauty/7-ways-to-get-a-better-night-sleep-lavender.jpg
photo

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

รุ้ไว้ไม่เสียหาย ไม่ให้งมงาย แต่ขอให้พิจารณา....

รู้ไว้ไม่เสียหาย ไม่ให้งมงาย แต่ขอให้พิจารณา..



๑.) ห้ามใส่ชุดสีดำเยี่ยมคนป่วย เพราะสีดำเป็นสีที่คนโบราณถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์โศก การใส่ชุดดำไปเยี่ยมผู้ป่วยนั้นเป็นการแช่งให้ผู้ป่วยตายเร็วขึ้น (อ๊ายย๋ะ!!!)

๒.) จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด โดยถ้าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศีรษะให้เลื่อนการเดินทางแต่หากเสียง ร้องทักอยู่ด้านหน้าหรือซ้าย ให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นสะดวกสบาย

๓.) ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน เชื่อว่าจะมีเหตุร้ายเพราะตามปกติแล้วตุ๊กแกที่อาศัยในบ้านมักจะร้องตอนกลาง คืน ถ้าร้องตอนกลางวันถือเป็นลางบอกเหตุร้าย เนื่องจากคนโบราณเชื่อว่าตุ๊กแกคือ วิญญาณของปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วมาอาศัยอยู่ คอยคุ้มครองลูกหลานจากภัยอันตราย

๔.) นกแสกเกาะหลังคาบ้าน จะเกิดลางร้าย เพราะนกแสกเป็นนกที่ถือว่าให้ความอัปมงคล เนื่องจากโดยธรรมชาตินกแสกมักจะไม่มาปะปนอยู่ตามที่อยู่อาศัยของคน

๕.) ถ้านกถ่ายรดบนศรีษะ เชื่อว่าจะโชคร้าย หากกำลังจะออกเดินทางแล้วถูกนกถ่ายรดที่ศรีษะซะก่อน ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนดออกไปเป็นวันรุ่งขึ้น

๖.) เมื่อตัวเงินตัวทองคลานเข้าบ้าน ให้พูดแต่สิ่งดีๆ ไม่ให้ไล่

๗.) กลางคืนถ้าได้ยินเสียงร้องทักห้ามขานรับ เพราะเชื่อว่าเป็นเสียงของดวงวิญญาณอาจจะมาหลอนมาหลอกหรือเป็นการเชิญวิญญาณเข้าบ้าน

๘.) คนที่มีไฝที่ริมฝีปากล่าง ให้ระวังปากนำเคราะห์ เพราะพูดไม่คิด และมักเป็นคนใจร้อน อารมณ์รุนแรงขาดเหตุผลในการยับยั้งชั่งใจ

๙.) คนใดที่มีลักษณะผมหยิกๆ หน้าสั้นคอสั้น มักจะเจ้าชู้ (แต่เป็นความเชื่อขำๆนะ อันนี้ต้องคิดว่าต้องดูต่อจากภายในหัวใจ)

๑๐.) คนใบหูใหญ่มักร่ำรวยและมีบุญวาสนา คนใบหูหนาเป็นคนมีศีลธรรมคนใบหูบางเป็นคนโดดเดี่ยว ไร้บุญวาสนา

๑๑.) คนที่พูดจาหลายเสียงในการพูดคุยครั้งเดียวกันเป็นคนคบยาก เพราะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้

๑๒.) คนหัวล้านมักจะเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์ ซึ่งได้ต้นแบบมาจากขุนช้างในวรรณคดี ทำให้คนโบราณเชื่อว่า คนลักษณะแบบนี้จะมีนิสัยเหมือนขุนช้าง

๑๓.) เด็กทารกคนใดที่เกิดมาแล้วมีปาน คนโบราณเชื่อว่า ได้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง (ชาติที่แล้ว) และถูกป้ายด้วยของตำหนิเอาไว้ หากเป็นปานแดงหมายถึงถูกป้ายด้วยปูนแดง และหากเป็นปานดำหมายถึงถูกป้ายด้วยถ่าน

๑๔.) ห้ามปลูกต้นไม้ที่วัดปลูกมาแล้ว (เช่น ไปเอาต้นไม้ที่อยู่ในวัดมาปลูกที่บ้าน) เพราะเชื่อกันว่า ต้นไม้ที่ขึ้นตามวัดหรือนำไปปลูกที่วัดเป็นของสูงและสมควรอยู่ในวัด หากนำมาปลูกที่บ้านจะทำให้บ้านนั้นตกอับ

๑๕.) ห้ามตัดผมวันพุธ เพราะเชื่อว่าการตัดผมวันพุธจะทำให้เกิดอัปมงคลกับชีวิต เพราะอย่างนี้ ร้านตัดผมหลายร้านมักจะนิยมหยุดทำการในวันพุธ

๑๖.) หากตาซ้ายกระตุก เชื่อว่ามีเคราะห์ โชคร้ายผิดหวัง ถ้าตาขวากระตุกถือว่าโชคดี แต่ถ้าเป็นในช่วงกลางคืน ตาขวากระตุกจะไม่ดี จะมีเคราะห์มีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่ถ้าหากเป็นตาซ้ายกระตุกจะมีโชคลาภจากเพื่อน

๑๗.) หากสัตว์ป่าเข้าบ้านเชื่อว่าจะนำความอัปมงคลมาให้ ควรจุดธูปเทียน ดอกไม้และเชิญให้ออกจากบ้าน พร้อมกับขอพรให้นำพาสิ่งดีงามมาให้

๑๘.) ห้ามเผาศพวันศุกร์ เพราะคนโบราณถือว่าการเผาศพในวันศุกร์จะให้ทุกข์กับคนเป็นญาติ เนื่องจากวันศุกร์เป็นวันแห่งโชคลาภ เหมาะกับงานมงคลมากกว่า

๑๙.) ในขณะที่กำลังสางผม หากหวีเกิดหักคาผม จะเกิดเรื่องไม่ดีตามมา ให้นำหวีนั้นทิ้งไปเลย (ซื้อมาเป็นพันเป็นหมื่นก็อย่าเสียดาย) ไม่ให้เก็บไว้ใช้หรือนำไปซ่อมมาใช้ใหม่

๒๐.) ตอนกลางคืนถ้าได้กลิ่นธูปลอยมา คนโบราณเชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของญาติสนิทภายในครอบครัวมาหา

๒๑.) ผึ้งทำรังในบ้าน เชื่อว่ามีโชค อย่าไปไล่หรือทำลายเด็ดขาดเพราะอาจจะทำให้เกิดความหายนะ เพราะผึ้งเป็นแมลงนำโชคที่ขยันการทำงาน

๒๒.) การปลูกต้นว่านชี้ชะตาได้ โดยถ้าต้นว่านเจริญงอกงาม ทำนายว่าการค้าจะงอกงาม แต่ถ้าต้นว่านแห้งเ่ยว ทำนายว่าการค้าจะไปไม่รอด

๒๓.) ก่อนออกจากบ้านให้ตั้งสติและก้าวเท้าขวาออกก่อนเท้าซ้าย จะนำโชคดีมาให้ เพราะเชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นพลังงานลบที่อ่อนแอกว่าด้านขวา

๒๔.) หากนั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ และเกิดมือชนกันขณะเอื้อมไปตักกับข้าว เชื่อกันว่าจะมีแขกมาเยือนให้เตรียมตัวต้อนรับ

๒๕.) อย่าเคาะจานข้าว เพราะเชื่อว่าจะเป็นการเรียกวิญญาณที่พเนจร เมื่อได้ยินเสียงเราเคาะจาน ก็จะพากันมาแย่งเรากินข้าว (บางคนกินข้าวจะรู้สึกว่ากินไม่อิ่ม)

๒๖.) กลางคืนห้ามกวาดบ้าน เพราะเชื่อว่าจะเป็นการกวาดเงินกวาดทองที่สะสมมาตั้งแต่ตอนเช้าออกไปหมดซึ่ง อาจเป็นได้ว่าเมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าตอนกลางคืนมืดมาก การกวาดบ้านตอนกลางคืนจึงไม่ปลอดภัย

๒๗.) ไม่ควรมีรูปภาพหรือรูปปั้นยักษ์ประดับตกแต่งบ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยและทำให้มีแต่เรื่องเดือดร้อน

๒๘.) อย่าตั้งเตียงนอนโดยเอาหัวเตียงหันไปชนกับห้องน้ำ เพราะจะทำให้โชคลาภหนีหาย และอย่าตั้งเตียงนอนโดยหันปลายเตียงตรงกับประตูทางเข้าพอดี เพราะจะทำให้ฝันร้าย

๒๙.) การแบ่งอาหารและน้ำให้แก่สุนัขหรือแมวจรจัดที่หิวโหย หรือการให้ที่พักพิงแก่สัตว์เหล่านี้ในวันฝนตกเป็นอานิสงส์มหาศาล

๓๐.) อย่าปล่อยให้ครัวสกปรก เพราะจะทำให้อับโชค ขาดเงิน ขาดทอง

๓๑.) อย่าให้ของขวัญคนรักหรือเพื่อนสนิทเป็นผ้าเช็ดหน้า เพราะถือว่าเป็นลางไม่ดี หากมอบให้แล้วจะถือว่าเป็นลางต้องจากกันหรือมีเรื่องทะเลาะกัน

๓๒.) ถ้าปล่อยให้กระจกในบ้านขุ่นมัว จะทำให้ดวงชะตาของคนในบ้านจะหม่นหมองทำอะไรก็ไม่ขึ้น จึงต้องหมั่นเช็ดกระจกสม่ำเสมอ

๓๓.) วันโกน วันพระวันเกิด และวันเข้าพรรษา ควรงดมีเพศสัมพันธ์ เพราะถือว่าเป็นวันบิรสุทธิ์ (คนที่อยู่ในวัยเรียนอย่าแม้แต่จะคิด)

๓๔.) หากเดินไปเจอเหรียญตกให้เก็บเป็นเหรียญนำโชค หากมองผ่านเลยไป จะเหมือนเป็นการดูถูกเงินน้อย ทำให้อับโชคในช่วงเวลานั้นๆ (เก็บให้ตำรวจก็ดีนะเออ)

๓๕.) การสวมแหวนนิ้วกลางข้างขวา ถือเป็นการเสริมดวงการเงินและบารมี ส่วนการสวมแหวนนิ้วนางหรือนิ้วก้อยถือเป็นการเสริมเสน่ห์และเสริมดวงความรัก

๓๖.) ห้ามสาวโสดร้องเพลงในครัว เพราะจะทำให้มีแฟนเป็นคนแก่ หรือหาแฟนไม่ได้ แต่ถ้าตำครกเสียงดัง จะมีหนุ่มมาสู่ขอ

๓๗.) การทำบุณโลงศพอนาถาที่ไร้ญาติ จะเสริมชะตาของเราให้กล้าแข็ง ทำให้ทุกข์และเคราะห์เบาบางลงไปได้

๓๘.) ควรหมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการทำให้เกิดความอับโชคหรือเสื่อมลาภ เสื่อมยศได้

๓๙.) ในบ้านควรมีไข่และส้มในตะกร้าเสมอ เพื่อเรียกความสมบูรณ์พูนสุขเข้าบ้าน

๔๐.) ห้ามหญิงมีครรภ์ไปงานศพ เพราะเกรงว่าวิญญาณจะสามารถเข้าไปรบกวนทารกในครรภ์ ทำให้เกิดอันตรายได้

๔๑.) ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกจะทำให้นอนฝันร้าย ตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น

๔๒.) ถ้าสร้อยคอขาดออกจากคอหรือหลุดออกมา จะมีเหตุให้พบเรื่องร้าย

๔๓.) ห้ามทักเด็กแรกเกิดที่ยังเล็กว่าน่ารัก เพราะอาจทำให้วิญญาณอิจฉา ลักพาตัวไป

๔๔.) ห้ามตัดเล็บกลางคืน วิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุข เพราะสมัยก่อนการตัดเล็บจะใช้มีดเจียนหมาก หรือมีดเล็กๆ จึงห้ามตัดเล็บในเวลากลางคืน เพราะอาจะเป็นอันตราย

๔๕.) จะก้าวขึ้นหรือลงบันได ให้ก้าวทีละก้าวทีละขั้น อย่าก้าวทีเดียวสามชั้น จะทำให้ทำมาหากินไม่สำเร็จ เหมือนไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้ค่อนเป็นค่อยไป อย่าทำอะไรที่ให้เกินความสามารถ หรือข้ามขั้นตอน

๔๖.) ห้ามหญิงท้องไปดูคนคลอดลูกจะทำให้คลอดลูกยาก เพราะหากหญิงมีครรภ์ไปดูคนอื่นคลอดลูกแล้วเห็นภาพอาการเจ็บปวดของการคลอดอาจ จะทำให้กลัวและเกิดอาการเสียขวัญ

๔๗.) โต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกเงา หรือบางกระจกเงาทั้งหลาย ไม่ควรนำมาวางตั้งให้ตรงกับปลายเตียงหัวเยงหรือเหนือเพดาน เพราะจะทำให้หมกหมุ่นอยู่กับเรื่องเพศ นอนหลับไม่สนิท และมักฝันร้ายอยู่บ่อยๆ

๔๘.) ฝนตั้งเค้า ให้ปักตะไคร้คว่ำลงดินกลางที่โล่งแจ้ง จะทำให้ฝนหยุดตก

๔๙.)อย่าลูบศรีษะของเด็ก โดยเฉพาะเด็กไทย เพราะศีรษะถือเป็นส่วนศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรให้ใครลูบเล่น

๕๐.) ฝันว่างูรัด ทำนายว่าคนโสดจะได้พบเนื้อคู่เร็วๆนี้ฝันว่างูกัดทำนายว่าศัตรูเพศตรงข้ามจะคิดร้ายหรือได้รับเคราะห์จะเพื่อนบ้าน

๕๑.) ฝันเห็นคนตายหรือศพ ทำนายว่าจะได้ลาภจากเสี่ยงโชค

๕๒.) ฝันว่าฟันหักทำนายว่าจะสูญเสีย โดยถ้าฝันว่าฟันบนหัก ทำนายว่า จะเสียญาติผู้ใหญ่ข้างฝ่ายบิดา ถ้าฟันล่างหัก ทำนายว่าจะเสียญาติผู้ใหญ่ข้างมารดา

๕๓.) ฝันว่าจูบกับคนรัก จะได้รับเคราะห์เล็กๆน้อยๆจากคนใกล้ตัว

๕๔.) ห้ามฉลองก่อนวันเกิด เพราะอาจหมายถึงการรีบเร่งไปสู่ความตาย

๕๕.) ภายในบ้านไม่ควรมีประตู ๓ บาน ตรงกันหรือเหลื่อมล้ำตรงกันเพียงนิดเดียว เพราะเป็นสัญลักษณ์ของประตูจาก ๓ โลก ทำให้วิญญาณเดินผ่านมาได้

๕๖.)คางคกขึ้นบ้านถือเป็นลางดี แสดงว่าบ้านนั้นกำลังจะมีโชค

๕๗.) มือซ้ายกระตุก เชื่อว่ามีลางร้ายมีเหตุจะต้องเสียเงินเสียทองมือขวากระตุกเชื่อว่าเป็นลาง ที่ดีมาก จะได้รับโชคลาภ และอาจได้ลาภลอยจาการเสี่ยงโชค

๕๘.) ถ้านกในกรงที่เลี้ยงไว้ร้องในเวลากลางคืนเชื่อว่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง

๕๙.) ผู้หญิงระหว่างมีประจำเดือน ไม่ควรก้าวล้ำไปในวัด เพราะอาจก่อให้เกิดความอัปมงคล

๖๐.) ความฝันในตอนเช้ามักเป็นความจริง เพราะคนโบราณเชื่อว่าเทวดามาโปรดสัตว์ซึ่งเคยเป็นญาติมิตรของเรานั่นเอง

ที่มาข้อมูล : นิทรรศน์รัตนโกสินทร์

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

ผลวิจัยใหม่ทางแพทย์ กัญชาแก้อัลไซเมอร์ ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม

ผลวิจัยใหม่ทางแพทย์ กัญชาแก้อัลไซเมอร์ ชัวร์ไม่มั่วนิ่ม

กัญชาแก้อัลไซเมอร์
ถึงแม้ยาเสพย์ติดอาจจะมีโทษต่อสุขภาพและชีวิตเราซักแค่ไหน แต่ยังไงเหรียญก็ต้องมี 2 ด้านเสมอ ถึงมันจะมีข้อเสีย แต่ลึกๆแล้วมันอาจจะมีข้อดีอยู่บ้าง เพราะล่าสุด คณะวิจัยได้ออกมาเผยแล้วว่า กัญชาแก้อัลไซเมอร์ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่วิจัยนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงขาสูบทั้งหลายอาจจะมีเฮได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรทาง Men.MThai ก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอเพื่อนๆ อยู่แล้วครับ
กัญชาแก้อัลไซเมอร์
กัญชาแก้อัลไซเมอร์
นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา (University of South Florida) ได้ออกมาเผยว่า พวกเขาได้ค้นคว้าและวิจัย กัญชา จนเชื่อว่า กัญชาอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดใน การเกิดโรคอัลไซเมอร์เลยก็ได้ นำทีมค้นคว้าโดย นำทีมโดย ดร. Chuanhai Cao โดยการศึกษาดำเนินการศึกษาในรูปแบบของเซลล์โรคอัลไซเมที่พบว่าปริมาณที่น้อย มากของโดส THC ในกัญชา ที่จะทำให้เราเมา แต่จะมีโปรตีนที่เรียกว่า amyloid beta ซึ่งโปรตีนนี้แหละ จะสร้างเนื้อเยื่อในสมองที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของการเกิดโรคอัลไซเมอร์นั่น เอง
กัญชาแก้อัลไซเมอร์
กัญชาแก้อัลไซเมอร์
อีกทั้ง ความเข้มข้นต่ำของสาร THC ยังมีความสามารถในการสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ไมโทคอนเดรีย ที่เป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์โดยการหายใจระดับเซลล์ในวัฏจักรเครบส์ที่ เมทริกซ์และการถ่ายทอดอิเล็กตรอนที่คริสเต ซึ่งทำหน้าที่ในการคอยช่วยให้พลังงานสมองในการส่งสัญญาณอีกต่างหาก ซึ่งตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นกันต่อไปแหละครับ ว่าทางทีมงานวิจัยจะสามารถหาความสามารถที่แท้จริงของเจ้ากัญชา มาทำประโยชน์ในทางการแพทย์อย่าง กัญชาแก้อัลไซเมอร์ ได้หรือไม่

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

6 มื้อเช้า ที่มีประโยชน์มากที่สุด

เป็นที่ทราบกันดีว่า มื้อเช้า ถือเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด จะสดใสร่าเริง สมองแล่นทั้งวันหรือไม่ ก็อยู่ที่มื้อเช้านี่แหละ เมื่ออาหารเช้าสำคัญขนาดนี้ มาสำรวจกันหน่อยดีมั้ย ว่าอาหารจานโปรดที่คุณๆ ทานกันทุกเช้านั้น เมนูใดเปี่ยมประโยชน์ เมนูไหนสมควรเลี่ยง !

โจ๊ก
กฎของอาหารเช้า
การ ทานอาหารเช้าที่ดี คือ ให้กินอย่างราชา แต่จะต้องมีหลักนิดนึงคือ ถ้าเรากินอย่างราชาแต่หนักแป้งก็ไม่ดี เพราะมันจะทำให้เราหิวเร็ว ดังนั้นกฎข้อแรกของการกินอาหารเช้าคือ พยายามทานแป้งกับน้ำตาลให้น้อยที่สุด เพราะแป้งและน้ำตาลดูดซึมได้เร็ว เมื่อไหร่ที่ดูดซึมเร็ว อินซูลิน จะมาควบคุมไม่ให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง เมื่ออินซูลินมากดนานเข้า ก็จะทำให้น้ำตาลเราต่ำ เมื่อน้ำตาลต่ำ เราก็จะหิวเร็ว ดังนั้นอาหารเช้าไม่ควรขาดเลย แต่ควรจะงดแป้งและน้ำตาล
กฎข้อที่สองคือ อาหาร เช้ามื้อนั้นๆ ไม่ควรจะรสจัดเกินไป เพราะในตอนเช้ายังไม่มีน้ำย่อยเยอะ และกระเพาะอาหารยังไม่ขยับเต็มที่ หากเราทานอาหารที่มีความมัน หรือเผ็ดเกินไป มันจะทำให้เกิดข้อเสียมากกว่าดังนั้นในมื้อเช้าจึงไม่ควรจะทานอาหารที่มัน และเผ็ดเกินไป คุณหมอกฤษดา อธิบายถึงหลักการรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ดีต่อสุขภาพ
หลัง บอกถึงหลักการทานอาหารเช้าที่เหมาะสมแล้ว เรามาดูกันเลยค่ะว่า อาหารเช้าที่หลายท่านนิยมชมชอบ ด้วยเพราะคุ้นเคยดี แต่ละเมนูมีประโยชน์แค่ไหน เหมาะจะเป็นมื้อเช้าที่ดีของคุณๆ หรือไม่ และคุณหมอฟันธงมาว่าเมนูไหนเยี่ยมสุด
อันดับ 6 น้ำเต้าหู้ + ปาท่องโก๋
สำหรับเมนูอันดับสุดท้าย อย่างน้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋นี้ คุณหมอฟันธงออกมาให้เราทราบกันชัดๆเลยว่า ปาท่องโก๋ นั้น ถือเป็นอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้คุณอ้วนได้ง่าย เพราะทานแล้วหิวเร็ว ส่วนน้ำเต้าหู้นั้น ถือเป็น “อาหารล้างบาป” ให้กับปาท่องโก๋ที่คุณทานเข้าไป
ถ้าคนเราทานปาท่องโก๋ วันละ 1 คู่ ทุกวัน ภายในเวลา 1 ปี น้ำหนักจะขึ้นเป็นกิโลกรัมเลย เพราะปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้ง แต่น้ำเต้าหู้ เป็นตัวล้างบาปที่ดี นี่คือภูมิปัญญาของคนไทย เพราะน้ำเต้าหู้ มันมีสารอาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพ ทั้งโปรตีน แอนตี้ออกซิแดนท์ เปปไทด์ หรือถ้ายิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ใส่ธัญพืช ก็จะมีไฟเบอร์ ที่ช่วยไล่ไขมันในปาท่องโก๋ได้
อีกสิ่งที่ต้องระวังจากตัวปาท่องโก๋คือ มันอาจจะมีสารตัวหนึ่งที่ก่อมะเร็งได้ ซึ่งจะเกิดในพวกของทอด อาหารที่ต้องทอดด้วยน้ำมันชุ่มๆ และอาหารทอดซ้ำ ดังนั้นถ้าเราจะทานปาท่องโก๋ ก็ต้องพยายามเว้นวันบ้าง อย่าทานทุกวัน หรือควรจะทานน้ำเต้าหู้ที่มีธัญพืชเยอะๆ ร่วมด้วย จะได้ช่วยไม่ให้แป้งในปาท่องโก๋ ดูดซึมเร็วเกินไป จนทำให้หิวง่าย
อันดับ 5 ข้าวเหนียว+ หมูปิ้ง
เมนูอับดับห้านี้ แม้จะอร่อย ทานง่าย แถมพกพาสะดวก ทว่าก็ต้องระมัดระวังเลือกร้านที่ไว้ใจได้ และเลี่ยงทานส่วนที่ “มัน” ไว้ด้วย
ใน เรื่องของพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร เราอาจได้รับแคลอรี่ เยอะอยู่ แต่ถ้าเทียบกับโจ๊กแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เป็นตัวที่สลับกันทานกับโจ๊กได้ เพราะอย่างน้อยในข้าวเหนียว ก็จะมีกลูเตน หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัด จะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งได้ทานหมูปิ้งกับข้าวเหนียวดำ มันก็จะมี โอพีซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในข้าวเหนียวดำด้วย
ส่วน หมูปิ้งมีเทคนิคการทานคือ ให้เลือกหมูปิ้งในส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย เพราะเมื่อไหร่ไขมัน ไปสัมผัสกับความร้อน มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ดังนั้นให้เลือกมันน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมันที่แทรกอยู่ในเนื้อหมู หรือมันที่ติดอยู่โคนไม้เหล่านี้ก็ต้องเลี่ยง นอกจากนี้เรื่องถ่านที่ปิ้งหมู ก็ ต้องระวังเรื่องของสารปนเปื้อนที่มาจากถ่านที่ไม่ได้คุณภาพด้วย เพราะไม้พวกนี้เขามีการพ่นปลวก พ่นสารเคมีเอาไว้ อาจจะทำให้เราได้รับสารเคมีได้
อันดับ 4 โจ๊กหมู
โจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้ง ที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล
ส่วนประโยชน์นั้น หาก เราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำให้เราได้วิตามินอี และ แกมมา ออริซานอล ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊ก ที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น
ข้อ ควรระวังคือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์ และ ในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอลมากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป
อันดับ 3 ขนมครก + กาแฟ
ขนมครกนั้น จะมีปัญหาตรงที่มันมีแป้ง ถ้าเจ้าไหนใส่แป้งเยอะ ก็ไม่ต่างจากปาท่องโก๋เท่าไหร่ ดีกว่านิดหน่อยตรงที่มันใช้การปิ้ง เป็นการทำให้สุกด้วยความร้อนแทนการทอด แต่ ข้อดีของมันคือ มีกะทิ ซึ่งกะทิเป็นไขมันดี เป็นกลุ่มของไขมัน มีเดียม-เชน ไตรกลีเซอไรด์ (Medium-chain triglycerides) เป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี ก็เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกาย ซึ่ง เรามักเข้าใจว่ากะทิก่อให้เกิดอันตราย แต่จริงๆ แล้ว กะทิถือเป็นของดีเลย อันนี้เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งและในมะพร้าวก็ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงผิวด้วย และส่วนใหญ่แล้ว หน้า ของขนมครก ก็จะเป็นหน้าเพื่อสุขภาพ คือโรยด้วยเผือก, ต้นหอม, ข้าวโพด, ก็จะมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอ ต้องอาศัยไขมันจากกะทิ ในการดูดซึมดังนั้นก็เข้ากันพอดี
ยิ่ง ทานขนมครกกับชา หรือกาแฟ ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะในกาแฟจะมีคาเฟอีน (Caffeine) เยอะ ซึ่งถ้าเราได้ อาหารอย่างขนมครกเข้าไปรองท้องก็จะดี เพราะร่างกายจะได้ไม่ต้องดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมันอาจจะมากเกินไปสำหรับร่างกาย ดังนั้นขนมครกก็ไม่ถึงกับเป็นอาหารเช้าที่เลวร้ายนัก แต่ก็ต้องระวังไว้นิด เพราะบางเจ้าอาจมีการใส่น้ำตาลเยอะ รสหวานเกินไป อันนี้ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินไปเหมือนกัน”
อันดับ 2 ขนมปัง + ไข่ดาว
สำหรับอับดับสองเป็นเมนูอาหารเช้าทำง่าย…ทานง่าย อย่าง ขนมปัง-ไข่ดาว ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ยกให้เป็น อาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะนักสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน และน้องๆ วัยเรียน จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท (whole wheat) และไข่ดาวน้ำ หรือไข่ต้ม (ที่ไร้น้ำมัน) นะคะ
ในช่วงเช้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ที่ต้องไปทำงาน หรือเด็กในวัยเรียน การ เพิ่มอาหารจำพวกโปรตีนเข้าไปก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะโปรตีนจะกระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้นการทานอาหารที่มีโปรตีนอย่าง ไข่ ก็เป็นอาหารเช้าที่ดีมาก ราคาไม่แพง และมีโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นสมองด้วย สำหรับไข่ ทอดอาจจะมีปัญหาเรื่องของน้ำมัน ดังนั้นหากทานเป็นไข่ต้มได้ก็ยิ่งดี โดยอาจทานไข่ต้ม, ไข่ลวก, ไข่ดาวน้ำ โรยซีอิ้วขาว โรยพริกไทยก็ยิ่งดี เพราะพริกไทยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และลดไขมันได้ด้วย
หรือไข่ต้มอย่างเดียวอาจไม่อิ่ม การทานคู่กับขนมปังโฮลวีท ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะขนมปังโฮลวีท เป็นแป้งที่มีคุณภาพ คือ แป้งมีกาก มีธัญพืชทั้งหลาย โดยอาจนำขนมปังขนมปังโฮลวีท มาทำเป็นแซนวิช (sandwich) ไข่ เพิ่มผักอีกสักหน่อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ทานกับนมอีกนิดเพอร์เฟค (perfect) เลย เพราะนมก็มีโปรตีน และกรดอะมิโน (Amino acid) ที่ช่วยกระตุ้นสมอง ถ้าผู้ใหญ่บางท่านแพ้นมวัว ทานแล้วท้องเสีย ก็สามารถทานโยเกิร์ต (Yoghurt) แทนได้ เพราะโยเกิร์ตคือ นมที่ย่อยแล้ว และไม่ทำให้ห้องเสีย ถือว่าเป็นอาหารชูกำลัง แทนที่เราจะกระตุ้นด้วยกาแฟ เรากระตุ้นด้วยอาหารชูกำลังอย่าง นม หรือโยเกิร์ตดีกว่า”
อันดับ 1 ต้มเลือดหมู
เมนู อันดับหนึ่ง คุณหมอผู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ยกนิ้วให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพสุดๆ ทว่าจะให้ทานแล้วดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง…ก็ต้องมีเทคนิคในการทาน
ต้ม เลือดหมูเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็น perfect combination หรือเป็นคู่ที่สมกันมากเลย เพราะในเลือดหมูมีธาตุเหล็ก และในผัก เช่น ใบตำลึง จะมีวิตามินซีเยอะ ธาตุเหล็กต้องมีวิตามินซี มันถึงจะดูดซึมได้ดี เช่นเดียวกับที่วิตามินซี ก็ต้องมีธาตุเหล็กมันถึงจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ฉะนั้นมันเป็นคู่ที่เพอร์เฟคเลย
แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากใครเป็นเก๊าท์ ต้องระวังหน่อย เพราะน้ำซุปต้มเลือดหมูทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริค (Uric Acid) เยอะ ส่วนเครื่องในก็มีกรดยูริคสูงเหมือนกัน อันนี้อาจต้องระวังสักนิด นอกจากนี้คนอีกกลุ่มที่ต้องระวัง คือ คนที่เป็นธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เพราะคนที่เป็นธาลัสซีเมีย ไม่ควรกินธาตุเหล็กเยอะ แต่ต้มเลือดหมู มีทั้งเลือดหมู, เครื่องใน, ใบตำลึง เหล่านี้มีธาตุเหล็กทั้งนั้นเลย แต่ถ้าในคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นธาลัสซีเมีย ต้มเลือดหมูคือต้มที่ดี เป็นต้มที่เปี่ยม คอลลาเจน (Collagen) เพราะในเลือดหมูมีคอลลาเจน ในน้ำต้มกระดูกก็มีคอลลาเจน ทั้งยังมีผักเขียวที่มีวิตามินซี ก็ยิ่งทำให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีอีกด้วย
ดังนั้นต้มเลือดหมู ถือว่าเป็นซุปสวยได้เลย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง ผม ว่าดีกว่าปาท่องโก๋จิ้มนมนะ แต่มันจะกลายเป็นอาหารที่ไม่สุขภาพไปได้ เช่น หากเราใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ ใส่หมูติดมัน หรือบางเจ้าใส่หมูสามชั้น หรือหมูกรอบเข้าไป แล้วปรุงให้รสจัดเกินไป หรือหวานไป
ก็ทราบกันไป แล้ว ถึง 6 เมนู สุดยอดมื้อเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และอย่างที่ทราบกันดีว่า อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญ สำหรับการทำงานของร่างกาย เพราะ ฉะนั้นการเลือกเมนูมื้อเช้า ด้วยเมนูที่เป็นประโยชน์ ก็จะช่วยเสริมให้อาหารมื้อเช้าของเรานั้น ทรงคุณค่าและสำคัญมากๆ มากขึ้นไปอีก รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเลือกทานข้าวเช้ากันนะคะ

ขอบคุณที่มากจาก  : emaginfo.com