วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เสืยงดัง อันตรายที่มองไม่เห็น

เสียงดัง อันตรายที่มองไม่เห็น

โดยทั่วไปประสาทหูจะเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 20 ปี จนสร้างปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่ออายุประมาณ 55-65 ปี เมื่อหูเสื่อมแล้วไม่มีทางกลับมาได้ยินชัดเจนเหมือนเดิม ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟังไปตลอดชีวิต ที่สำคัญเสียงจากเครื่องช่วยฟังไม่เสนาะหูเหมือนเสียงตามธรรมชาติ และอาจทำให้ผู้ที่ใช้ในระยะแรกๆ เป็นโรคซึมเศร้าด้วย
หูเสื่อม : โรคฮิตมาแรง (แซงทางโค้ง)
ประสาทหูเสื่อมหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “หูเสื่อม” เป็นภาวะที่ได้ยินเสียงลดลง หรือไม่ได้ยินเลย เกิดจากการรับ เสียงดัง เกินไปและนานเกินไป แต่ปัญหาหูเสื่อมไม่จำเป็นต้องมาจากเสียงรบกวนเสมอไป อาจเกิดขึ้นจากเสียงที่พึงปรารถนาด้วยพฤติกรรมต่างๆ เช่น ติดนิสัยฟัง MP3 ตลอดเวลาโดยเปิดในระดับดังมากๆ การเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ ทำให้เซลล์รับเสียงคลื่นในความถี่ 2,000-6,000 เฮิร์ตท์ (Hz) ถูกกระทบกระเทือนจนทำงานไม่ได้ ผู้ป่วยจึงไม่ได้ยินเสียงพูดคุยระดับปกติและต้องฟัง เสียงดัง ขึ้นเรื่อยๆ
80402153
โรคหูเสื่อมแบ่งเป็น
  • โรคหูหนวก หรือหูบอดสนิท
    • สาเหตุ : แก้วหูทะลุและหูอักเสบที่รุนแรง หูหนวกแต่กำเนิด พิษจากยา (สเตรปโตไมซิน, คาน่าไมซิน, เจนตาไมซิน) โรคคางทูม ไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ รูปแบบการดำเนินชีวิต  เช่น  การดำน้ำ
    • อาการ : ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆ เลย ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟัง หรือผ่าตัด เป็นใบ้ ถ้าหากเกิดขึ้นก่อนสองขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาการพูด
  • โรคหูตึง แบ่งเป็น
    - หูตึงแบบไม่มีเสียงในหู
    - หูตึงแบบมีเสียงในหู (หูอึง) คือ มีเสียงหวีดก้องในหู โดยหาที่มาของเสียงไม่ได้ มักมี เสียงดัง อยู่ตลอดเวลา และมีเสียงดังมากขึ้น เมื่อต้องอยู่ในสถานที่เงียบสงัด เช่น ในห้องนอน
    • สาเหตุ : กรรมพันธุ์  เยื่อหูชั้นในฉีกขาด และเซลล์รับเสียงถูกกระทบกระเทือน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
    • อาการ : ความสามารถในการได้ยินลดลงเรื่อยๆ จนต้องฟัง เสียงดัง มากขึ้น อาจมีอาการร่วม เช่น เวียนหัว มึนงง รู้สึกบ้านหมุน
เสียงดัง ทำให้หูเสื่อมได้ทั้งหูหนวก และหูตึง ใน 2 ลักษณะ คือ หูเสื่อมแบบเฉียบพลัน หลังจากฟังเสียงดังมากๆ แค่ไม่กี่นาที เนื่องจากเยื่อหูชั้นในฉีกขาด เสียน้ำในหูและเซลล์รับเสียงไม่สามารถทำงาน ซึ่งหากแผลไม่ใหญ่เกินไป เนื้อเยื่อกลับมาประสานกันหรือน้ำในหูคืนสู่สภาพเดิม ความสามารถในการได้ยินอาจกลับคืนมาเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเนื้อเยื่อฉีกขาดมากจนไม่สามารถประสานกันได้จะทำให้หูหนวกถาวร  หูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป เกิดจากฟังเสียงดังเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ต่อเนื่องครั้งละหลายชั่วโมงก็ตาม
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าหูเริ่มเสื่อมได้แก่ ปวดหูเวลาได้ยิน เสียงดัง ทั้งๆ ที่เสียงนั้นอาจไม่ดังมากเกินไป ปวดหูมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับความดังของเสียง ทนฟังเสียงรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์วิ่งผ่านไม่ได้ เพราะเกิดอาการปวดหู บาดหู บางครั้งอาจรู้สึกปวดร้าวไปถึงสมอง หรือไม่สามารถแยกแยะคำพูดของคู่สนทนาได้ เป็นต้น
MP3 Player : ความสุขราคาแพงของหู
เมื่อฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 คุณอาจรู้สึกว่าเสียงไม่ดังเท่าไหร่ แต่ถ้าวัดอย่างจริงจังจะพบว่าบางคนฟังเพลงดังมากกว่า 100 เดซิเบลเอ ทำให้หูเสื่อมเช่นเดียวกับการได้ยินเสียงดังรูปแบบอื่นๆ วิธีสังเกตว่าเครื่องเล่นเพลง MP3 ดังเกินไปหรือไม่ดูได้จาก
  • คุณเซ็ตความดังเสียงเครื่องเล่นไว้เกินกว่า 60% ของระดับเสียงสูงสุดหรือไม่
  • เมื่อฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 ยังสามารถได้ยินเสียงจากสิ่งรอบตัวหรือไม่
  • คนอื่นๆ ได้ยินเสียงจากเครื่องเล่น MP3 ของคุณหรือไม่
  • เมื่อฟังเครื่องเล่น MP3 คุณต้องตะโกนคุยกับคนอื่นหรือไม่
  • หลังจากฟังเครื่องเล่น MP3 คุณมีอาการหูอื้อหรือไม่
หากมีพฤติกรรมต่างๆ ข้างต้นแสดงว่าคุณฟังเพลงเสียงดังเกินไป ควรปรับระดับเสียงให้ต่ำลงและลดระยะเวลาฟัง MP3 ลง
ปัญหาที่มากับ เสียงดัง
  • การได้ยิน คือสูญเสียการได้ยิน หูอื้อ หูหนวก หรือหูอึง
  • ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าเย็น ระบบไหลเวียนโลหิตบกพร่อง จนอาจนำไปสู่โรคหัวใจ และปอดแตกฉับพลัน
  • สุขภาพจิต รบกวนการทำงาน การพักผ่อน ทำให้เกิดความเครียด หรือการตื่นตระหนก และอาจพัฒนาไปสู่อาการซึมเศร้า และโรคจิตประสาท
  • สมาธิ ความคิด และการเรียนรู้ ทำให้ขาดสมาธิ ประสิทธิภาพการคิดค้น การวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนรู้และการรับฟังข้อมูลลดลง
  • ลดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน รบกวนระบบและความต่อเนื่องของการทำงาน ทำให้ทำงานล่าช้า คุณภาพและปริมาณงานลดลง
  • การติดต่อสื่อสาร ขัดขวางการได้ยิน ทำให้การสื่อสารบกพร่อง ต้องตะโกนคุยกัน ได้ยินเพี้ยน ในเด็กเล็กทำให้พัฒนาการด้านการฟัง การพูด และการออกเสียงเพี้ยนไป
  • กระตุ้นพฤติกรรมก้าวร้าว เสียงดัง จะเร้าอารมณ์ให้สร้างความรุนแรง และอาจถึงขั้น “สูญเสียการควบคุมตนเอง” จนทำร้ายผู้อื่นได้ แม้ได้ยินเสียงดังเพียงเล็กน้อย
ป้องกันมลพิษทางเสียง : เรื่องนี้คุณช่วยได้
  • รู้จักความพอดีและมีกาลเทศะ เช่น ไม่พูดโทรศัพท์หรือส่งเสียงดังรบกวนความสงบของผู้อื่นทั้งในบ้านและที่สาธารณะ
  • หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเสียงดัง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรออกจากสถานที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง ทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
  • ไม่ฟังเพลงหรือเปิดโทรทัศน์ดังเกินไป
  • ใช้หูฟังแบบครอบหูแทนหูฟังแบบเสียบในหู
  • ตรวจความสามารถการได้ยินเป็นประจำทุกปี
  • สังเกตเสียงต่างๆ รอบตัว หากไม่สามารถพูดคุยด้วยระดับเสียงปกติในระยะห่าง 1 ช่วงแขนแสดงว่าเสียงที่นั้นดังเกินไป
  • ช่วยกันดูแลสถานที่ทำงานและสถานที่สาธารณะ ให้ควบคุมเสียงไม่ให้ดังเกินไป
  • ร้องเรียนเหตุเสียงดัง โทร.1555 (กรุงเทพมหานคร) หรือกรมควบคุมมลพิษ โทร. 1650
 ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine ตุลาคม, Issue 69

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทําไมถึงติดบุหรี่ ??


ทำไมถึงติดบุหรี่?
WRITTEN BY HIPPONERDY ON MAY 30, 2014. POSTED IN ทั่วไป, วิทยาศาสตร์, สุขภาพ, เทคโนโลยี
ผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ก็ รู้ ถึงอันตรายอยู่แล้ว แต่ก็ยัง อยาก สูบบุหรี่ แล้วความอยากสูบบุหรี่จนเกินห้ามใจนี้มาจากไหน?

โดย Ouroboros


บุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอด
บุหรี่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
บุหรี่ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
สูบบุหรี่ทำให้แก่เร็ว
ควันบุหรี่ทำร้ายลูกในครรภ์
ฯลฯ



             แม้จะมีข้อความเตือนเหล่านี้ปรากฏอยู่บนซองสูบบุหรี่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการสูบบุหรี่อย่างแพร่หลาย แปลว่าผู้สูบบุหรี่นั้นไม่รู้อันตรายจากการสูบบุหรีที่เขียนไว้รึ? ขนาดมีภาพสยองประกอบด้วยยังไม่เข้าใจอีกรึว่าสูบบุหรี่มันอันตราย? ที่จริงแล้วผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ก็ "รู้" ถึงอันตรายอยู่แล้ว แต่ก็ยัง "อยาก" สูบอยู่ดี เพราะฉะนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่รู้หรือไม่รู้ แต่อยู่ที่ แม้จะรู้ว่าอันตรายแต่ก็ไม่สามารถต้านทานความอยากได้ ต่างหาก แล้วความอยากสูบบุหรี่จนเกินห้ามใจนี้มาจากไหน?

             เมื่ออัดควันบุหรี่เข้าปอด จะเกิดความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา มีความสุข ทั้งที้เพราะในควันบุหรี่มีสารที่ชื่อ นิโคติน (Nicotine) ซึ่งเมื่อเข้าสู่สมองจะกระตุ้นให้สมองหลั่ง โดพามีน (Dopamine) หรือ ฮอร์โมนแห่งความสุข และขณะเดียวกันสารเคมีอื่นๆ อีกกว่า 4,000 ชนิด ในควันบุหรี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารก่อมะเร็งหรือเป็นพิษต่อร่างกายก็จะเข้าทำลายอวัยวะ ต่างๆ ของคนสูบไปพร้อมๆ กันด้วย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านิโคตินนี้เองที่ทำให้เสพติดบุหรี่ แม้จะยังไม่เข้าใจผลของนิโคตินต่อร่างกายอย่างถ่องแท้ แต่มีการศึกษาที่พอจะช่วยให้เข้าใจได้ว่า นิโคตินทำให้คนเสพติดได้อย่างไร?

             บนผิวเซลล์สมองมีโปรตีนตัวรับ (receptor) ที่ชื่อ nicotinic acetylcholine receptors หรือเรียกย่อๆ ว่า nAChR ตัวรับนี้คอยรับสัญญาณกระตุ้น แล้วส่งสัญญาณต่อเพื่อบอกเซลล์ให้สร้างโดพามีนขึ้น และหลั่งโดพามีนกระตุ้นให้เรารู้สึกมีความสุข เมื่อสมองได้รับนิโคติน นิโคตินสามารถเข้าจับกับตัวรับ nAChR และทำให้สมองสร้างโดพามีนจำนวนมาก ในหนูทดลองที่ไม่มีตัวรับ nAChR จะไม่แสดงอาการติดนิโคตินเลย น่าแปลกว่าสมองจะสร้างตัวรับขึ้นมาเพื่อรับการกระตุ้นจากนิโคตินทำไม?

            ความจริงคือ nAChR อาจไม่ได้ถูกสร้างขึ้นสำหรับนิโคติน เนื่องจากโดยปกติแล้วตัวรับนี้จะคอยตอบสนองต่อสารเคมีชื่ออะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่สร้างโดยสมองเอง เป็นกลไกตามธรรมชาติที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขเมื่อมีสิ่งเร้าที่เหมาะ สมมากระตุ้น เช่น ได้กินอาหารอร่อย หรือได้ไปเที่ยวกับแฟน เป็นต้น แต่ด้วยความบังเอิญหรือความจำเป็นบางอย่าง ทำให้ตัวรับ nAChR สามารถจับกับนิโคตินซึ่งเป็นสารพิษได้ด้วย ผลก็คือ เราจึงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้รับนิโคติน ตัวรับนี้จึงได้ชื่อว่า "nicotinic acetylcholine receptors"

            สมองมีกลไกที่จะเชื่อมโยงการกระทำต่างๆ เข้ากับความรู้สึก เช่น ถ้าเรากินเค้กแล้วรู้สึกอร่อย สมองจะเชื่อมโยงการกินเค้กเข้ากับความสุข ทำให้ในภายหลังเมื่อเราเห็นเค้กก็จะรู้สึกอยากกินอีก ในทางกลับกันหากกินผักแล้วรู้สึกไม่อร่อย ขม ก็จะเกิดการเชื่อมโยงขึ้นเช่นกัน ภายหลังเมื่อเห็นผักในอาหารก็จะไม่อยากกินและพยายามเขี่ยออก เป็นต้น ในกรณีที่สูบบุหรี่ แม้การสูบครั้งแรกจะรู้สึก "เหม็น" แต่นิโคตินกระตุ้นสมองให้เกิดความสุขขึ้นโดยตรง สมองจึงเชื่อมโยงว่าการสูบบุหรี่ทำให้เกิดความสุข

             ถ้านิโคตินแค่กระตุ้นให้มีความสุขเท่านั้นก็คงไม่แย่เท่าไหร่ เพราะใครๆ ก็อยากมีความสุขทั้งนั้น แต่ปัญหาคือ นิโคตินยังทำลายกลไกที่ทำให้รู้สึกมีความสุขด้วย  เพื่อให้ภาพชัดเจนขึ้น ลองสมมุติให้ชีวิตประจำวันปกติของเราที่สดชื่นเบิกบานดี มีค่าความสุขประมาณ 10 แฮป (ขอสมมุติให้  "แฮป (happy)"  เป็นหน่วยวัดความสุขก็แล้วกัน) พอดูละครตอนอวสาน พระเอกนางเอกได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในที่สุด เราก็เลยรู้สึกเคลิบเคลิ้มมีความสุขไปด้วย ขณะนั้นในสมองกำลังหลั่งอะเซทิลโคลีน ไปจับตัวรับ nAChR กระตุ้นให้เซลล์สร้างโดพามีนขึ้น อาจทำให้มีความสุขเพิ่มขึ้นเป็น 20 แฮป ทีนี้ถ้าเราสูบบุหรี่ นิโคตินก็จะสามารกระตุ้นให้หลั่งโดพามีนเช่นกัน อาจทำให้มีความสุขมากถึง 1,000 แฮป (ตัวเลขสมมุติ) เราอาจรู้สึกมีความสุข สดชื่น อย่างมากมาย แต่สำหรับร่างกายแล้วการมีความสุขสุดขีดไม่ใช่เรื่องที่ดี

            การเรามีอารมณ์ดีมีความสุขมากๆ อาจทำให้เราไม่ตระหนักถึงอันตรายรอบๆ ตัว ไม่รู้จักกลัว ไม่กังวล เช่น เห็นงูพิษมาก็เฉยๆ อารมณ์ดี ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ความสุขมากจนเคลิบเคลิ้มจึงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เพื่อปกป้องชีวิตจึงต้องมีการปรับสมดุลใหม่

             การที่จู่ๆ เรามีระดับความสุขพุ่งขึ้นเป็น 1,000 แฮป สมองอาจจะตกใจ (shock) คิดว่า "เฮ่ย! ทำไมถึงมีความสุขสุดขีดได้ขนาดนี้ ไม่ได้การปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายได้ ต้องลดระดับความสุขลงหน่อยแล้ว" เซลล์สมองจึงปรับสมดุลใหม่โดย ลดระดับการตอบสนองต่อการกระตุ้นลง เช่น จากเดิมสัญญาณจากตัวรับ nAChR  ส่งมา 1,000 หน่วย (ตัวเลขสมมุติ) จากเดิมสร้างความสุขได้ 1,000 แฮป ก็จะค่อยปรับลดลงเรื่อยๆ เป็น 900 500 100… 30 แฮป ตามลำดับ คล้ายๆ กับการดื้อยานั่นเอง ผลคือมีการตอบสนองต่อการกระตุ้นตามธรรมชาติลดลงด้วยเช่นกัน เช่น หากตอนนี้สูบบุหรี่แล้วมีความสุข ลดลงเหลือแค่ 100 แฮป ลดลง 10 เท่าจากเดิม ตอนที่ไม่สูบบุหรี่เราอาจมีความสุขแค่ 1 แฮป จึงรู้สึกหงุดหงิด งุ่นง่าน และอยากหยิบบุหรี่มาสูบเพื่อเติมนิโคติน นอกจากนี้การตอบสนองที่ลดลงยังทำให้ต้องการนิโคตินมากขึ้นเพื่อทำให้มีความ สุข 1,000 แฮปเท่าเดิม คนที่สูบบุหรี่นานๆ จึงสูบบุหรี่จัดขึ้น และบ่อยครั้งทำให้คนเหล่านี้หันไปใช้ยาเสพติดชนิดอื่น เช่น เฮโรอีน หรือ ยาเค ที่มีฤทธิ์กระตุ้นสูงกว่า

             ความสุขที่เกิดจากบุหรี่เป็นความสุขที่ฉาบฉวย เป็นความสุขที่ย้อนมาทำร้ายตัวเองและบ่อยครั้งก็ยังทำร้ายคนที่อยู่รอบข้าง ด้วย จริงอยู่ การแสวงหาความสุขสำราญเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่สิทธิในการมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ปลอดภัยก็เป็นของทุกคนเช่นกัน ส่วนทางด้านผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับบุหรี่ ดูเหมือนว่านโยบายที่นำมาใช้จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มภาษี ใส่คำเตือนและรูปภาพสยองไว้บนซองบุหรี่ ตลอดจนการเพิ่มเขตห้ามสูบบุหรี่ กลายเป็นเพียงการสร้างอุปสรรคให้คนสูบบุหรี่เท่านั้น การ ป้องกันไม่ให้มีผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการลดจำนวนผู้สูบ บุหรี่ลง ซึ่งการจะทำได้นั้นจำเป็นต้องเข้าใจเหตุผลที่ทำให้คน "เริ่มต้น" สูบบุหรี่ ให้ลึกซึ้งกว่าที่เขียนไว้ในหนังสือสุขศึกษาว่า เป็นเพราะ "อยากลอง" หรือ "อยากเท่" เท่านั้น และสุดท้ายสำหรับคนที่ไม่สูบบุหรี่ ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพื่อให้เข้าใจว่า บุหรี่นำอันตรายมากมายมาพร้อมกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราวและยากจะถอนตัวแค่ ไหน ดังนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด อย่าเริ่มต้นสูบบุหรี่เลยดีที่สุด การสูบบุหรี่มันไม่ดีจริงๆ นะ


อ้างอิง
"Neuronal networksofnicotineaddiction", Marcelo O.Ortells, HugoR.Arias, The international Jouranl of Biochemistry & Cell Biology, in press 2010
"กลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการติดสารเสพติด", ภาณุพงศ์ จิตะสมบัติ, วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทําไม เราจึงชอบกินอาหารที่ไม่ดีต่อสูขภาพ

รู้ทั้งรู้ว่าของทอดของมันของหวานไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเราจึงอดใจไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น วันก่อนผมไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง หลังจากวิ่งเสร็จผมเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อทานข้าวมื้อเย็น ด้วยความตั้งใจที่จะควบคุมน้ำหนัก เมนูที่คิดไว้ในหัวจึงเป็นอาหารเบาๆ จำพวกผักผลไม้ งดแป้งและเนื้อสัตว์ เช่น สลัดผัก ต้มจืด หรือผักผักรวมมิตร เสร็จแล้วก็กะว่าจะตบท้ายด้วยโยเกิร์ต แอปเปิ้ล หรือไม่ก็นมเปรี้ยวไขมันต่ำ

ในขณะที่กำลังเดินเลือกว่าจะกินอะไรอยู่นั่นเอง กลิ่นหอมๆ และภาพชวนเย้ายวนของคอหมูย่างมันเยิ้มๆ หมูปิ้งไขมันแทรกติดไหม้นิดๆ ปีกไก่ชุบแป้งทอดจนเหลืองกรอบ ขาหมูพะโล้หนังสีน้ำตาลแวววาว และบะหมี่เส้นเหลืองๆ กับหมูกรอบราดด้วยน้ำแดงหวานข้น ก็ทำเอาผมไขว้เขว

แต่ผมก็พยายามหักห้ามใจเอาไว้ ด้วยการเตือนสติตัวเองว่า ขืนกินเอาอร่อยตามใจปากแบบเดิมๆ การวิ่งมาทั้งหมดในเย็นนี้ก็จะสูญเปล่า

เวลาผ่านไป 20 นาที รู้ตัวอีกทีข้าวขาหมู หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ และโค้กเย็นๆ ซาบซ่า ก็ลงไปอยู่ในท้องผมเรียบร้อย

และไหนๆ ก็เลยเถิดไปแล้ว ผมจึงตบะแตกล้างปากด้วยเฉาก๊วยนมสด และไอศกรีมกะทิไข่แข็งซะเลย

ผม คิดว่า คุณผู้อ่านหลายคนคงเคยเป็นเหมือนผม อุตส่าห์วางแผนการกินซะดิบดี แต่ทุกอย่างก็ล่มสลายเมื่อเจอกับกลิ่นหอมๆ และสีสันของอาหารจำพวกเฟรนช์ฟราย สเต๊กเนื้อชุ่มฉ่ำ แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่าหน้าชีส สปาเกตตีครีมซอส ชิบูย่าโทสต์ คัพเค้ก มาการอง ป๊อปคอร์น ข้าวเหนียวทุเรียน ไอศกรีม

ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แคลอรี่สูง เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดัน

คำถามคือ ทำไมอาหารอร่อยๆ จึงมักไม่ดีต่อสุขภาพ?

ทำไมเราจึงอดใจไม่ได้?

ทำไมธรรมชาติจึงสร้างให้เราชอบของมันของทอดของหวาน?

ทำไมธรรมชาติไม่สร้างให้เราชอบกินแต่ผักกับผลไม้ เหมือนกับยีราฟ กวาง หรือนกไปเลย?

ทำไมธรรมชาติจึงช่างใจร้ายกับเรา?


คุณ หมอชัชพล เกียรติขจรธาดา เจ้าของหนังสือ pop-sci ขายดีอย่าง 500 ล้านปีของความรัก เขียนอธิบายคำตอบของคำถามดังกล่าวไว้ในบทความชื่อ Why We Like Bad Food? ในนิตยสารผู้ชายเล่มหนึ่ง

คุณหมอชัชพลบอกว่าการที่จะเข้าใจคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องย้อนเวลากลับไปในจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อทำความเข้าใจก่อนว่าร่างกายของเราวิวัฒนาการมาให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อม แบบไหน และอาหารธรรมชาติของมนุษย์คืออะไร

มนุษย์ต้องการสารอาหารต่างจากสัตว์อื่นๆ เราต้องการ "ไขมัน" มากกว่าลิงสายพันธุ์อื่นๆ เพราะสมองของเราใหญ่ นอกจากนี้ ไขมันยังเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับร่างกายอีก หลายชนิด เช่น ฮอร์โมนเพศ

เราต้องการ "โปรตีน" จากเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานในการเติบโต และนับตั้งแต่มนุษย์วิวัฒนาการเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เมื่อประมาณสองแสนปีที่ แล้ว เราใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์และหาของป่ามาตลอด สัตว์ที่เรากินก็จะมีทั้งสัตว์เล็กๆ อย่างแมลงต่างๆ ไปจนถึงสัตว์ใหญ่ที่พอล่าได้

อย่างไรก็ตาม การล่าสัตว์ในวันที่เรามีแค่เท้าเปล่าและหอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การได้กินเนื้อสัตว์จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก

เช่นเดียวกับอาหารที่มีรสหวาน ริชาร์ด จอห์นสัน อายุรแพทย์โรคไต มหาวิทยาลัยโคโลราโดเดนเวอร์ บอกไว้ในนิตยสาร National Geographic ว่าความปรารถนาน้ำตาลฟรักโทสเป็นแรงกระตุ้นให้บรรพบุรษของเราดำรงชีพอยู่ได้ น้ำตาลฟรักโทสมีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์อย่างมากในยามที่ขาดแคลนอาหาร

แต่ทว่าในธรรมชาติน้ำตาลกลับเป็นของหายาก ผลไม้ป่าทั่วไปมักจะมีขนาดเล็ก ฝาด และไม่หวานมาก ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษของเรายังต้องแย่งผลไม้กับลิง กระรอก ค้างคาว นก และสัตว์อื่นๆ

ส่วนเกลือซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับร่างกายก็ไม่ใช่ของหาง่ายเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่จากอาหารทะเลแล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ต้องไปหาเกลือจากดินที่มีเกลือผสมอยู่ที่เรียกว่า ดินโป่ง

เมื่อเนื้อ ไขมันสัตว์ อาหารหวาน และเค็มเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายเราแต่หากินยาก สมองของบรรพบุรุษเราจึงถูกออกแบบมาให้เราชอบกินไขมัน เนื้อสัตว์ อาหารหวานและเค็มมากเป็นพิเศษ หากมีโอกาสได้กินของประเภทดังกล่าวก็จะเลือกกินก่อน เพราะถ้าไม่กินตอนนี้ก็ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่จะได้กินอีกครั้ง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงชอบกินของทอดของมันของหวานที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

จะเรียกว่า "ยิ่งหายาก ยิ่งอยากกิน" ก็ไม่ผิดนัก



คําถามต่อมาคือแล้วทำไมเราจึงหยุดกินไม่ได้?

คำตอบนั้นง่ายมากครับ เพราะว่าเรากำลัง "เสพติด" อยู่นั่นเอง

ในสมองของเราจะมีวงจรประสาทอยู่วงจรหนึ่งซึ่งเรียกว่า "วงจรโดปามีน" วงจรนี้เป็นวงจรที่จะทำให้เราและสัตว์ต่างๆ รู้สึก "อยาก" ในสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะความอยากในเรื่องที่เป็นสัญชาตญาณของการอยู่รอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์

ถ้าเราทำอะไรก็ตามแล้ววงจรนี้ถูกกระตุ้นสมองเราก็จะจำสิ่งนั้นไว้ ทำให้เราอยากทำสิ่งนั้นซ้ำอีกเรื่อยๆ ยิ่งอะไรที่กระตุ้นวงจรนี้ได้แรง เราก็จะยิ่งอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้นและบ่อยขึ้น

ตัวอย่างของสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้วงจรนี้ทำงานได้ดีก็ เช่น เพศสัมพันธ์ อาหารหวาน อาหารเค็ม อาหารมัน หรือแม้กระทั่งยาเสพติดอย่างเฮโรอีนและโคเคนก็กระตุ้นผ่านตำแหน่งเดียวกัน

นี่เป็นเหตุผลทำให้เรากินไม่ยั้ง และรู้สึกอร่อย

มากไปกว่านั้น ข้ามมาที่โลกปัจจุบันที่อุตสาหกรรมอาหารมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท นักธุรกิจหัวใสก็ได้ใช้สัญชาตญาณของมนุษย์นี้เป็นตัวหาเงินเข้ากระเป๋า พวกเขาทุ่มงบประมาณมากมายเพื่อทำการวิจัยว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้บริโภคชอบกินอาหารของบริษัทตัวเองมากๆ และทำอย่างไรให้กินครั้งแรกแล้วอยากแวะเวียนกลับมากินอีกเรื่อยๆ

คุณหมอชัชพลตั้งคำถามง่ายๆ ว่า "แค่น้ำตาล เกลือหรือไขมันเดี่ยวๆ ตัวเดียวก็สามารถกระตุ้นวงจรนี้ให้เราอยากกินซ้ำได้แล้ว ถ้ารวมสองหรือสามอย่างนี้เข้าด้วยกันจะกระตุ้นวงจรนี้มากขนาดไหน"


ใน โลกยุคหิน โอกาสที่ไขมัน เกลือ และน้ำตาลจะมารวมกันอยู่ในอาหารชนิดเดียวเป็นไปได้ยาก แต่ในโลกปัจจุบัน อาหารสามารถมีรสชาติทุกอย่างรวมกันได้ง่ายๆ ยกตัวอย่าง เช่น ป๊อปคอร์นรสคาราเมล หรือมันฝรั่งทอดกรอบรสสาหร่ายโนริ ที่ทั้งหวาน เค็ม มัน กรอบ

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สมองของเราไม่สามารถปรับตัวกับรสชาติของอาหารได้ทัน แนวโน้มการกินของเราจึงกินในปริมาณเกินความต้องการเข้าไปอีกโดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะความหวานจากน้ำตาล หนังสารคดีเรื่องล่าสุด "Fed Up" พูดถึงประเด็นการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในซูเปอร์มาร์เก็ตของสหรัฐอเมริกา อาหารมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนทั้งหมดกว่า 600,000 รายการ มีส่วนประกอบเป็นน้ำตาลในปริมาณมากเกินกำหนด

นั่นหมายความว่าเราจะถูกกระตุ้นให้อยากกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากน้ำตาลที่ซุกซ่อนอยู่ในอาหารแทบทุกรายการ

พอรู้แบบนี้ หลายคนคงนึกเข้าข้างตัวเองในใจว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านที่เราอดใจไม่ไหว ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณมนุษย์ต่างหาก!"

พูดแบบนั้นก็มีส่วนถูกครับ (เพราะผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน-ฮา) ทว่า สิ่งที่เราอาจลืมคิดไปอีกอย่างก็คือ บรรพบุรุษของเราไมได้นั่งเล่นเฟซบุ๊กหรือทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา นะครับ พวกเขาอาจจะกินของหวาน ของมัน ของเค็มเยอะก็จริง แต่พวกเขาก็ออกกำลังกายด้วยการล่าสัตว์เยอะเช่นเดียวกัน

ฉะนั้น หากคุณอยากจะกินข้าวขาหมู หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย และน้ำอัดลมแล้วละก็ อย่าลืมที่จะไปออกไปวิ่งล่าสัตว์ตามสวนสาธารณะบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน

อันนี้ผมเตือนตัวเองนะครับ ไม่ได้ว่าคนอื่นแต่อย่างใด

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พบวิธีรักษา เมลิออยด์ โรคฮิตของคนไทย แต่น้อยคนที่รุ้จัก

มข.- นักวิจัย มข. พบวิธีรักษา "เมลิออยด์" โรคที่คนไทยเป็นบ่อยแต่น้อยคนรู้จัก ด้วยยาเพียงขนานเดียว ลดอาการข้างเคียงได้มาก 
       
       ศ.พญ.เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อละเวชศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยถึง การค้นพบการรักษาโรคเมลิออยด์ด้วยยาที่สะดวกและปลอดภัยกว่ายาที่ใช้ในปัจจุบัน
       
       "โรคเมลิออยด์เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อ บัวร์โคเดเรีย ซูโดมัลเลอิ (Burkhoderia pseudomallei) ซึ่งพบในดินและน้ำ เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทยโดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งมีผู้ป่วยใหม่มากกว่า 2000 รายต่อปี โรคนี้เป็นโรคที่มีความรุนแรงมาก อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 40%" ศ.พญ.เพลินจันทร์กล่าว
       
       ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องได้รับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วันในโรงพยาบาล และผู้ป่วยที่รอดชีวิตมีอัตราการกลับเป็นซ้ำสูง ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลต้องได้รับยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำอีกอย่างน้อย 12-20 สัปดาห์
       
       สูตรยามาตรฐานในการรักษาช่วงป้องกันการกลับเป็นซ้ำประกอบด้วย การใช้ยาโคไธม็อกซาโซลซึ่งประกอบด้วยยา 2 ชนิดในเม็ดเดียวกัน ร่วมกับยาด็อกซีไซคลิน ซึ่งสูตรนี้มีผลข้างเคียงพอสมควรทำให้ผู้ป่วยอาจจะไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ และมีข้อมูลว่า ออสเตรเลียมีการรักษา โดยใช้ยาโคไธม็อกซาโซลตัวเดียว
       
       "คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพ และผลของการใช้ยาโคไธม็อกซาโซล ตัวเดียวเปรียบเทียบกัน โคไธม็อกซาโซลร่วมกับ ด็อกซีไซคลิน ในการรักษาผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ป่วยมีอัตราการกลับเป็นซ้ำไม่ต่างกันระหว่างการรักษาด้วยยาโคไธม็อกซาโซลตัวเดียว กับได้รับยาโคไธม็อกซาโซลร่วมกับด็อกซีไซคลิน นอกจากนี้ผลข้างเคียงในกลุ่มที่ได้รับยาขนานเดียวยังน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับยา 2 ขนาน" ทีมวิจัย มข.ระบุ
       
       จากผลของการวิจัยนี้จึงนำมาสู่การใช้โคไธม็อกซาโซลตัวเดียว เป็นยามาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยเมลิออยด์ในระยะป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
       
       ศ.พญ.เพลินจันทร์ กล่าวอีกว่า การศึกษานี้เป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์วิจัยเมลิออยโดสิส มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ หน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล-อ๊อกฟอร์ด มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ทำการศึกษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี โรงพยาบาลมหาสารคามและโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 626 ราย ซึ่งเป็นการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการศึกษามา การศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียงคือวารสารแลนเซท (Lancet) เมื่อวันที่ 24 พ.ย.56
       
       รศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเมลิออยโดสิส คณะแพทยศาสตร์ กล่าวว่า ในปัจจุบัน ศูนย์วิจัยโรคเมลิออยโดสิส มีชุดตรวจวินิจฉัยระดับเบื้องต้น ซึ่งสามารถตรวจหาเชื้อของโรคเมลิออยโดสิส ซึ่งสามารถใช้เวลาเพียง 2 นาที ก็สามารถทราบได้ว่าใช่หรือไม่ และปัจจุบันได้ทดลองใช้ในโรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ผลค่อนข้างดี สามารถช่วยให้การวินิจฉัยโรคได้เร็ว ถูกต้อง แม่นยำขึ้น และผู้ป่วยก็ได้รับการรักษาหายจากโรคได้เร็วขึ้นด้วย
       
       "โรคเมลิออยด์มักพบในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานและเป็นชาวไร่ชาวนาซึ่งสัมผัสดินและน้ำระหว่างการทำงาน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย แต่ประชาชนไม่ค่อยรู้จักหรือคุ้นเคยรวมทั้งไม่รู้วิธีการป้องกันกับโรคนี้ ดังนั้นการป้องกันคือการสวมรองเท้าบูท ระหว่างการทำไร่ทำนา หลีกเลี่ยงการทำงานระหว่างที่มีฝนตกพายุลมแรง และดื่มน้ำที่สะอาด เพียงเท่านี้ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงและห่างไกลจากโรคนี้ได้" รศ.ดร.สุรศักดิ์
       
       

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอํานาจความยี่งใหญ่

10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่


  Deal with the Devil มีความ หมายว่า การขายวิญญาณให้กับปีศาจ ปรากฏในวัฒนธรรมและพื้นบ้านของยุโรปเป็นเวลานาน มีความหมายว่าการทำสัญญาบุคคลระหว่างคนธรรมดากับซาตานหรือปีศาจตัวอื่นๆ โดยแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณของตน เพื่อแลกเปลี่ยนให้ได้มาถึงความรู้, ทรัพย์สินหรืออำนาจ ทำให้บุคคลธรรมดาเหล่านั้นมีมันสมองและพละกำลังเก่งกาจเกินมนุษย์ทั่วไป ถ้าเพื่อนๆเคยดูการ์ตูนก็เช่นเรื่อง อนาสตาเซีย หรือภาพยนตร์เช่น ghost rider .. แต่นี่คือเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่มีคนกล่าวถึงกันกับ 10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่

10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่ teen.mthai755032-topic-ix-0
 10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่

การทำสัญญานั้นอาจใช้ได้วาจาและ ลายลักษณ์อักษร โดนจะมีพิธีกรรม โดยใช้เครื่องหมายในการเรียกปีศาจ โดยใช้เลือกหรือหมึกในการวาด ดังที่ปรากฏในหนังสือ กุญแจย่อยของโซโลมอน (Lesser Key of Solomon) หรือ คลาวิคิวลา ซาโลมอนิส (Clavicula Salomonis) ซึ่ง เป็นตำราเวทย์ซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเป็นหนังสือที่แพร่หลายที่สุดในปิศาจวิทยา รายละเอียดของภูตและการอัญเชิญเพื่อใช้งาน
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
1. ทีโอฟิลุสแห่งเอดานา (St. Theophilus of Adana)
นักบุญทีโอฟิลุสผู้สำนึกผิดหรือทีโอฟิลุสแห่งเอดานา (เสียชีวิตราว 538) เป็นบาทหลวงในศริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มีการกล่าวถึงว่าได้ทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อให้ได้รับตำแหน่งของนักบวช อีกทั้งเรื่องราวของท่านยังเป็นเรื่องที่เก่าเก่าที่สุดของการทำสัญญากับปีศาจ ทีโอฟิลุส เป็นบาทหลวงแห่งอาดานา, คิลีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตุรกีในปัจจุบัน
ท่านได้รับเลือกเป็นเอกฉันท์ที่จะเป็นบิชอป แต่เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนท่านจึงสละลงออกจากตำแหน่ง จนชายคนหนึ่งถูกรับเลือกแทนเขา แต่แล้วบิชอปคนใหม่กลับตัดสินใจถอนตำแหน่งรองบิชอปของเขาออกอย่างไม่ยุติธรรม เป็นเหตุทำให้ท่านเสียใจกับความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก จึงได้ทำการติดต่อหมอผีช่วยให้เขาได้ติดต่อกับซาตาน เพื่อทำสัญญาปีศาจ ลงนามด้วยเลือดของตนเอง โดยแลกกับการละทิ้งพระเยซูคริสต์ (Christ) และพระแม่มารี (Virgin Mary) และต่อมาปีศาจก็ช่วยทำให้เขาดำรงตำแหน่งเป็นบิชอป
ปีต่อมา ทีโอฟิลุสเริ่มหวาดกลัวว่าปีศาจจะเอาดวงวิญญาณไป ท่านจึงสำนึกผิดและได้อธิษฐานต่อพระแม่มารีเพื่อขอให้อภัย หลังจากที่ 40 วันนับจากวันอดอาหาร พระแม่มารีก็ได้ปรากฏตัวและกล่าวตำหนิ ที โอฟิลุสขอร้องให้อภัยและพระแม่มารีสัญญาว่าจะไกล่เกลี่ยกับพระเจ้าให้ จากนั้นเขาก็อดอาหารต่อไปอีก 30 วันพระแม่มารีก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งและเขาก็ได้รับการอภัยโทษ อย่างไรก็ตาม ซาตานไม่เต็มใจที่จะปลดปล่อยทีโอฟิลุสเป็นอิสระ สามวันต่อมาทีโอฟิลุสตื่นขึ้นมาพบคำสาปแช่งบนหน้าอกของเขา จากนั้นเขาก็เอาสัญญาไปให้บิชอปและสารภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ บิชอปจึงทำลายเอกสารและเมื่อทีโอฟิลุสหมดอายุไขลง ท่านก็ถูกปลดปล่อยจากภาระข้อสัญญาทั้งหมด
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
2. โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ (Johann Georg Faust)
ด็อกเตอร์โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ (ราว ค.ศ.1480 – 1540) เป็นนักเล่นแร่ธาตุพเนจร โหราจารย์และจอมเวทย์จากเยอรมัน ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (หรือยุคเรอเนสซองซ์) ในขณะที่เขาเรียนอยู่มหาลัยคราคูฟ (Krakow) สองเพื่อนสนิทของเขามาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) และ ฟิลิป เมลแอชตัน(Philip Melachton) ได้เป็นพยานในพิธีสัญญาผูกพันเฟาสท์กับปีศาจ จนเป็นทำให้เขาถูกประณามจากคริสตจักรว่าเขาดูหมิ่นศาสนาและทำสัญญาปีศาจ
ชีวิตของเขากลายเป็นตำนานที่ได้รับความนิยมในเรื่อง “เฟาสต์” (Faust) จากหนังสือ “ประวัติโศกเศร้าของด็อกเตอร์เฟาสต์” และ “ห้องละครชีวิตของฟาสต์ตำนานมีอยู่ว่าเฟาสท์อยากมีชีวิตสุขสบายจึงเรียนรู้ไสยศาสตร์เรียกปีศาจ และมีการกระทำข้อตกลงกับซาตานเพื่อทำให้เขากลับมาหนุ่ม 24 ปีอีกครั้ง หากแต่น่าเสียดายต่อมาเขาก็ไม่รู้สึกพอใจชีวิตที่เป็นอยู่และพยายามที่จะยกเลิกข้อตกลง ปีศาจจึงได้ฆ่าเขาอย่างทารุณ ส่วนการตายของเฟาสต์ในชีวิตจริงคือเขาเสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดในขณะทำการทดลองเล่นแปรธาตุ
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่ teen.mthai20140325111225298
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
3. โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson)
โรเบิร์ต จอห์นสัน (ค.ศ.1911 – 1938) เป็นนักดนตรีบลูส์ที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกัน ติดอยู่ในอันดับ 5 จาก 100 รายการ ในนิตยสาร สโตนส์ โรลลิ่ง (Stones Rolling) มือกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล มีตำนานเล่าว่าเขาต้องการเป็นนักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่และถูกแนะนำให้มุ่งหน้าไปที่สี่แยกที่อยู่ใกล้ด็อคเคอรี่ แพลนเทชัน (Dockery Plantation) เวลาเที่ยงคืน
ที่นั่นเขาได้พบปีศาจที่มาปรับจูงกีตาร์ของเขา พร้อมกับสอนให้เขาเล่นสองสามเพลง โดยแลกเปลี่ยนชีวิตของจอห์นสันหากเขากลายเป็นคนชื่อเสียงในดนตรีเพลงบลุส์ ข่าวลือที่หลายคนเชื่อว่าเขาทำสัญญากับปีศาจนั้นมาจากการที่ช่วงแรกๆ นั้นโรเบิร์ตเป็นเพียงนักดนตรีธรรมดาที่ไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย ต่อมาเขาก็ได้หายตัวไปและกลับมาพร้อมเทคนิคและการเล่นที่เหนือชั้นที่ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนมาจากที่ไหน อีกทั้งเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับซาตานเป็นส่วนมาก
โรเบิร์ต จอห์นสันสร้างสรรค์ผลงานถึง 29 บทเพลงก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปีด้วยอาการป่วยลึกลับที่ยังเป็นที่ถกเถียงไม่เลิก หลายคนเชื่อว่าปีศาจได้เอาวิญญาณเขาไป แต่ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเขาถูกวางยาพิษในแก้ววิสกี้โดยภรรยาจับได้ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ เขาถูกฝังในหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายและที่ตั้งไม่มีใครทราบ
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
4. คอร์นีเลียส อะกริปป้า (Cornelius Agrippa)
คอร์นีเลียส อะกริปป้า (ค.ศ.1486 – 1535) เป็นนักเขียนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เขาศึกษากฎหมายและยารักษาโรค ที่ไม่เคยได้รับปริญญา อีกทั้งเขายังเป็นจอมเวทย์ นักเขียนลึกลับ นักบวช โหราจารย์และนักเล่นแร่แปรธาตุ เป็นผู้นำสิทธิสตรีที่มักจะปกป้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด อีกทั้งยังเขียนสามหนังสือแห่งปรัชญาลี้ลับ (Three Books of Occult Philosophy) หนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์พิธีกรรมที่ยังใช้จนถึงทุกวันนี้
ในปี 1535 เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีตและพิพากษาประหารชีวิต เขาหนีออกมาและเขาก็ล้มป่วยจนเสียชีวิต หลังจากการตายของเขาก็มีข่าวลื่อไปทั่วว่าเขาได้อัญเชิญปีศาจ ตำนานที่ได้รับความนิยมที่สุดคือในขณะที่เขากำลังขวนเจียนตายเอาได้ปล่อยปีศาจสุนัขดำซึ่งเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งสุนัขดำดังกล่าวปรากฏในตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวกับเฟาสท์ (Faustus) และในวรรณกรรมของโยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ (Johann Wolfgang von Goethe) กลายเป็น “ชวาสเซอ พูเดิล” (Zschwarze Pudel) หัวหน้าปีศาจ
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
5. จูเซปเป้ ตาร์ตินี่ (Giuseppe Tartini)
จูเซปเป้ ตาร์ตินี่ (ค.ศ.1692 – 1770) เป็นนักแต่งเพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในนักประพันธุ์เพลงดนตรีบรรเลงที่มีผลงานมากกว่า 400 ผลงาน ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ใช้ในโบสถ์ไม่ก็โอเปร่า และผลงานที่โดดเด่นมีชื่อเสียงที่สุดคือ เพลงที่ชื่อ “เดวิด ทริล โซนาต้า” (Devil’s Trill Sonata) ที่ใช้เดี่ยวไวโอลินด้วยท่วงทำนองอันร้อนแรง จุดเริ่มต้นของเพลงดังกล่าว
จูเซปเป้ได้เล่าให้เฌโรม ลาล็องด์ (Jérôme Lalande) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสฟังว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากปิศาจที่ปรากฏตัวต่อเขาในความฝันบนเตียงนอน จากนั้นก็ปีศาจก็บรรเลงไวโอลินโซนาต้าที่มีความไพเราะมากบทหนึ่ง ซึ่งเมื่อเขาฟังแทบหมดเรี่ยวแรงจนลืมหายใจ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเขากลับไม่สามารถจดจำบทเพลงนั้นได้เลย เขาจึงลองแต่งโซนาต้าเพื่อเลียนแบบเพลงในฝัน แม้ว่าเพลงจะสร้างประทับใจแก่ผู้ชมมากเท่าใดก็ตาม แต่จูเซปเป้ยังคงผิดหวังที่ผลงานเพลงยังห่างไกลจากเพลงที่เขาได้ยินในความฝันของเขา ถึงกับกล่าวภายหลังว่า “ผมยอมพังไวโอลินทิ้งและเลิกเล่นดนตรีตลอดไปถ้าผมได้เป็นเจ้าของบทเพลงนั้น”
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
6. หลวงพ่อเออร์เบน กรานเดียร์ (Father Urbain Grandier)
หลวงพ่อเออร์เบน กรานเดียร์ (ราว ค.ศ.1590 – 1634) เป็นนักบวชคาทอลิกชาวฝรั่งเศสที่ถูกเผาทั้งเป็น หลังถูกตัดสินในข้อหาใช้เวทมนต์คาถา เขาทำหน้าที่เป็นนักบวชในโบสถ์ เซนต์ครอยในลูดอง (Loudun) นิกายโรมันคาทอลิก ในสังฆมณฑลแห่งปัวตีเยเขาเป็นนักบวชที่รู้จักในเรื่องละเมิดคำสาบานรักษาพรหมจรรย์ เป็นคนมักมากในกามมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงและมีชื่อเสียงในเรื่องเจ้าชู้
ในปี 1632 กลุ่มแม่ชีจากสำนักแม่ชีเออซูลิได้กล่าวหาว่า เขามีเวทมนต์เรียกปีศาจอัสโมดาอีกหนึ่งในปีศาจเจ็ดบาปราคะเพื่อใช้ทำความชั่ว หลังจากเขาถูกจับและถูกนำตัวไปทรมาน ก็ได้พบหลักฐานใบสัญญาที่เขาทำไว้กับปีศาจหลายตัวเป็นภาษาลาติน รวมถึงลายเซ็นที่เชื่อว่าเป็นของซาตาน สัญญาระบุว่าเขาจะจงรักภักดีต่อปีศาจและสละความเชื่อต่อศาสนาเพื่อบรรลุข้อตกลงเพื่อให้ได้ผู้หญิงที่ตนต้องการ รวมไปถึงความมั่งคั่งและชื่อเสียง ปัจจุบันใบสัญญาของเขายังคงเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสจนถึงปัจจุบัน
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
7. โจนาธาน มอลตัน (Jonathan Moulton)
โจนาธาน มอลตัน (ค.ศ.1726 – 1787) เป็นบุคคลในตำนานของนิวแฮมป์เชียร์ เขาเริ่มต้นเป็นเด็กฝึกงานทำตู้ แต่ในปี 1745 เขาก็ทิ้งงานและเริ่มต้นอาชีพเขาในกองทัพที่นิวอิงแลนด์ เข้าร่วมรบในสงครามพระเจ้าจอร์จ (King George’s War ) และสงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน (French and Indian War) เขาแต่งงานในปี 1749 เป็นพ่อเด็ก 11 คน และกลายเป็นหนึ่งในชายที่ร่ำรวยที่สุดในนิวแฮมป์เชียร์ เนื่องจาก ความร่ำรวยของโจนาธาน ทำให้เกิดข่าวลือว่าเขาได้ทำสัญญากับปีศาจ ในคฤหาสน์ที่เขาสร้างขึ้นบนพื้นที่ของคน
จนเมื่อปี 1769 มีความเชื่อว่าปีศาจจะปรากฏตัวเพื่อใส่เหรียญทองเต็มรองเท้าบู๊ตของเขาที่แขวนไว้หน้าเตาผิงในวันแรกของเดือนล่ะครั้ง แต่โจนาธานโลภมากเลยคิดอุบายหลอกปีศาจด้วยการตัดพื้นรองเท้าบูตให้เป็นรูใหญ่เพื่อให้ปีศาจใส่เหรียญยังไงก็ไม่เต็มเสียที และเมื่อปีศาจรู้ว่าโดนโจนาธานหลอก จึงแก้แค้นด้วยการเผาบ้านของเขาและทำให้เหรียญทองหายไป เล่ากันว่าเมื่อโจนาธานเสียชีวิตลง ศพของเขาก็หายไปจากโลงศพและถูกแทนที่ด้วยกล่องใส่เหรียญประทับตรามาร โลงของโจนาธานถูกฝังในหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายและที่ตั้งยังไม่มีใครทราบ
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
8. กิลล์ เดอ เรยส์ (Gilles de Rais)
กิลล์ เดอ เรยส์ (ค.ศ.1404 – 1440) เป็นอัศวินที่กล้าหาญของประเทศฝรั่งเศส ที่มีจุดเด่นคือมีหนวดเคราสีดำค่อนไปทางสีน้ำเงิน (จนเป็นที่มาของเคราสีน้ำเงิน) เขาเกิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียงในเบรเตญ เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตลง เขาก็มีฐานะมั่งคั่งและมีอำนาจ ต่อมาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในกองทัพและต่อสู้ร่วมกับโจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) ได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับประเทศอังกฤษหลายครั้ง จนกลายเป็นวีรบุรุษของฝรั่งเศส
หลังโจน ออฟ อาร์คเสียชีวิตลง กิลล์ก็ออกจากการเป็นทหาร และชีวิตของเขาก็เริ่มตกต่ำลง ในความสิ้นหวังเขาเริ่มหลงใหลไสยศาสตร์ภายใต้คำแนะนำของชายคนหนึ่งชื่อฟรานคอยส์ เปรลาติ (Francesco Prelati) ที่สัญญาจะช่วยกิลล์ในการชดใช้หนี้สิน โดยบอกเขาว่าให้สังเวยเด็กจำนวนมากเพื่อบูชาปีศาจที่ชื่อ “บารอน” (Baron) ส่งผลทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องข่มขืนทรมานและฆ่าเด็กจำนวนประมาณ 80 – 200 คน สุดท้ายเขาก็ถูกจับและตัดสินให้ประหารชีวิตโดยการแขวนคอและนำศพไปเผาไฟ
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
9. นิคโคโล ปากานินี (Nicolo Paganini)
นิคโคโล ปากานินี (ค.ศ.1782 – 1840) เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพรสวรรค์ไวโอลินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก ในช่วงที่เขามีชีวิต เขาสามารถเล่นแมนโดลินเมื่ออายุเพียง 5 ปี และเริ่มเล่นไวโอลินเมื่ออายุ 7 ปี ต่อมาก็เริ่มเล่นต่อหน้าสาธารณชนในขณะอายุ 12 ปีและเป็นที่รู้จักในฐานะนักไวโอลินวิโอลา แต่เมื่ออายุ 16 เขามีอาการเจ็บป่วยและโรคพิษสุราเรื้อรัง ก่อนที่จะกลับมาเล่นอีกครั้งจนมีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายไปทั่ว ด้วยเทคนิควิธีการเล่นไวโอลินแบบแปลกๆ ชนิดที่เรียกว่าไม่มีนักไวโอลินคนไหนเหนือกว่าเขาในเวลานั้นได้
ด้วยภาพลักษณ์ของปากานินีที่ผอมซีดและชอบใส่ชุดสีดำ ทำให้หลายคนเชื่อว่านิคโคโลทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกพรสวรรค์และความสามารถ ซึ่งผู้ชมบางคนได้อ้างว่าเห็นปีศาจช่วยเหลือเขาในระหว่างการแสดงของเขา ซึ่งข่าวลื่อดังกล่าวอาจเป็นเพราะเขาปฏิเสธพิธีรับศีลครั้งสุดท้ายของคริสตจักร ทำให้หลังเขาเสียชีวิตทางโบสถ์ได้ปฏิเสธทำพิธีฝังศพทางศาสนาในเจนัว ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 4 ปีในการอุทธรณ์โดยตรงต่อองค์พระสันตะปาปาเพื่อขอให้ขนส่งศพไปเจนัว แต่ยังไม่ได้รับการฝัง จนกระทั้งปี 1876 จึงมีพิธีฝังศพเขาที่โบสถ์แห่งหนึ่งในสุสานปาร์มา
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10 บุคคลขายวิญญาณให้ซาตาน เพื่อแลกกับอำนาจความยิ่งใหญ่
10. สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 (Pope Sylvester II)
สมเด็จพระสันตะปาปา ซิลเวสเตอร์ที่ 2 (ราว ค.ศ.945 – 1003) เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความรู้กว้างขวาง มีความหลงใหลวิทยาศาสตร์ของโลกอาหรับ รอบรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ และท่านยังเป็นผู้ประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้ม ลูกโลกดารา (armillary sphere) และยังนำเลขอารบิกไปเผยแพร่ในยุโรปตะวันตก นอกจากนี้ท่านยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ดนตรี เทววิทยา และปรัชญา
หลังจากการตายของท่านก็เริ่มมีข่าวลือแพร่กระจายว่า ท่านเป็นนักเวทมนต์ อีกทั้งเบื้องหลังอัจฉริยบุคคลและความสามารถในการประดิษฐ์ของท่านเป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการทำข้อตกลงกับปีศาจ บางตำนานเล่าว่าท่านได้ทำสัญญากับปีศาจหญิงสาวที่ชื่อลาเมอริเดียนา (Meridiana) ที่ช่วยเหลือท่านให้ขึ้นครองบัลลังก์ของสมเด็จพระสันตะปาปา (อีกตำนานบอกว่าท่านได้รับเลือกเป็นสันตะปาปาจากการเล่นลูกเต๋ากับปีศาจ)
ขอบคุณข้อมูล http://atcloud.com/stories/84791

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปรุงก๊วยเตื๋ยวแปลนิสัย

ปรุงก๋วยเตี๋ยวแปลนิสัย
 

คิดไว้แล้วหรือยังว่ามื้อถัดไป
จะหม่ำอะไรดี ถ้าคิดจะหม่ำก๋วยเตี๋ยวละก็ .. ดีเลย

เพราะเรามีทาย นิสัยจากวิธีการปรุงก๋วยเตี๋ยว มาฝากเอาไว้สังเกตตัวเองหรือเพื่อนใกล้ตัว

ชิมก่อนปรุง
ถ้าเพื่อนคนไหนชิมก่อนแล้วค่อยปรุงล่ะก็.บอกได้เลยว่าเขาเป็นคนค่อนข้างระมัด ระวัง เพ้อฝันเล็กๆ อ่อนไหวหน่อยๆ รักความเป็นระเบียบแบบแผน
ตามสถิติแล้วมักจะเป็น เด็กตั้งใจเรียน
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับหน้าที่ และไม่ค่อยเกเรก็ เป็นได้ ข้อน่ารักของเพื่อนคนนี้คือรอบคอบ คิดแล้วค่อยพูด แถมอ่อนโยนไม่ค่อยทำร้ายจิต ใจใคร
ข้อเสียเหรอ.. ก็มีเหมือนกันนะ
ก็ตรงที่ค่อนข้างอ่อนไหว ยังไงก็อย่าทำให้เขา โกรธละกันไม่งั้นต้องง้อจนเมื่อยปากเลยล่ะ ก็เข้าใจเขาหน่อยละกัน เพราะคนใจเดียวก็เงี้ย - ใจน้อย

ไม่ปรุง
ถ้าประเภทไม่ปรุงอะไรเลย มาไงก็กินยังงั้น หรือปรุงก็น้อยมาก เพื่อนน้องคนนี้
ท่าทางใจดี คบง่าย ไม่เก๊กไม่วางมาด อาจจะเป็นเพราะบุคลิกดูเรียบๆ สบายๆ ของ เขา ทำให้เวลาอยู่ด้วยกัน

น้องจะได้ เปรียบสักหน่อย
เพราะเขาช่างตามใจ ประเภทว่าไงว่าตามกัน
ข้อเสียล่ะ.. ก็มีเหมือนกันนะ
คือเขาอาจจะติดสบายมากไปจนกลายเป็นคนไม่กระตือรือร้นได้ ยังไงรักจะเป็นเพื่อนกันก็เตือนๆ เขาหน่อยละกัน จะได้แอ๊คทีฟขึ้นมาบ้างไง
.
ปรุงไป ชิมไป

ถ้าประเภทชิมไป ปรุงไป ช้อนแรกใส่น้ำส้มนิดนึงแล้วชิม เหยาะน้ำปลาตามไปอีกนิด แล้วชิมอีกที แบบนี้บอกได้เลยข้อดีคือเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน แต่บางทีก็อาจมากเกินไปจนกลาย เป็นคนจุกจิกได้
สมมติว่าน้องต้องทำรายงานกลุ่มเดียวกันกับเพื่อนคนนี้
เขาจะคอย แก้โน่นเติมนี่อยู่นั่นล่ะ เพราะโดยนิสัยเขาอยากจะให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ข้อน่ารักของเพื่อนคนนี้ก็คือ เข้ากับคนง่าย ร่าเริง แต่บางทีก็เจ้าอารมณ์ขี้งอนเล็กๆ แถมยังตามตื๊อ เก่งอีกตะหาก
.
ปรุงทันที แต่รสแบบเข้มข้น

ถ้าใครได้ชามก๋วยเตี๋ยวมาแล้วก็ปรุงทันทีโดยไม่ชิม แต่ต่างกับข้อตะกี้นิดนึงก็
ตรงที่ เทคนิคลีลาการ ปรุงของเขาจะดุเดือดกว่า เช่น สาดพริกน้ำส้มลงไปเป็นช้อนๆ ตามด้วยพริกป่น

น้ำตาลพูนช้อนแบบ ไม่ลังเลเลยละก็
ในกลุ่มเพื่อนเขาจะเฮฮา หัวเราะเสียงดัง มีมุขตลกที่ทำให้ ใครๆ ติดอกติดใจได้ง่ายๆ ติดจะซนและเซี้ยวนิดๆ ซี่งมาจากนิสัยชอบความโลดโผนและ รักการผจญภัยของเขานั่นเอง
แต่ที่ต้อง ระวังนิดนึงก็คือ...
อีกด้านหนึ่งเพื่อนน้องคนนี้เขาฉลาดแบบปนเจ้าเล่ห์นิดๆใจร้อนและเด็ดขาด
นิสัยที่ทำให้ใครๆ ชอบเขานะเหรอ?
คงเป็นความแจ่มใส ดูมีชีวิตชีวาของเขาล่ะ มั้ง แต่ถ้าคิดจะเป็น แฟนกับเขาละก็ กระซิบไว้ก่อนว่าตามสถิติ (อีกแล้ว) คนทานรสจัดแบบนี้.. มีแนวโน้มว่าจะเจ้าชู้ล่ะ

ปรุงทันที
โอ้โหเจอเพื่อนขี้หงุดหงิดเข้าแล้วไง ดูเผินๆ เขาเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน คุย
เก่ง แต่ถ้ามีอะไร ไม่พอใจล่ะก็หน้าจะหงิกแถมบ่นแหลกเลย

เขาออกจะเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว บางครั้งเลย ขาดความรอบคอบ ใช้สัญชาตญาณมากกว่าเหตุผล
เขาเก็บความรู้สึกเก่งไหมนะ..?
ก็ไม่ค่อยหรอก ปากกับใจค่อนข้างตรงกัน รวมๆ แล้วก็เป็นเพื่อน ที่จริงใจ และคบง่าย
อ๋อ.. ลืมเตือนไว้อย่างนึง คือเพื่อนน้องคนนี้อาจจะปากไว ไปนิด
แถมช่างวิจารณ์ ยังไงถ้าเขาเผลอวิจารณ์น้องละก็อย่าเพิ่งไปโกรธเขาล่ะ ก็ บอกแล้วไง ว่าเขาน่ะจริงใจ๊ จริงใจ

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสูขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ


 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          กระแสการกินอาหารเพื่อสุขภาพนับวันก็จะยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ สื่อให้เห็นว่าคนไทยหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากยิ่งขึ้นนะคะ และดูเหมือนในตอนนี้ คำว่า อาหารคลีน จะเริ่มเป็นที่คุ้นหูมากยิ่งขึ้น ถ้าอย่างนั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อาหารคลีนคืออะไร และดีต่อสุขภาพอย่างไร

 มารู้จัก "อาหารคลีน" กันก่อน


         อาหารคลีน หรือ คลีนฟู้ด (Clean Food) หรือ Eating Clean คือ อาหาร และการเลือกกินอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด ผ่านการปนเปื้อนน้อยมากไปจนถึงขั้นไม่มีสารปนเปื้อนใด ๆ ติดมากับอาหารเลย เน้นความเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ดัดแปลงน้อยที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากธรรมชาติ และสารอาหารอย่างครบถ้วน


 อาหารคลีนมีอะไรบ้าง ? 

         ถ้าจะให้ยกตัวอย่างอาหารคลีน ก็ได้แก่ ผัก ผลไม้สด ๆ ธัญพืช อาหารที่ไม่ผ่านการขัดสี จำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารที่ไม่ปรุงรสจัด ทั้งรสหวานจากน้ำตาล หรือรสเค็มจากการเติมเกลือ และน้ำปลา รวมไปถึงเครื่องปรุงรสใด ๆ ที่ทำให้อาหารมีรสผิดไปจากธรรมชาติ นอกจากนี้อาหารประเภททอด ที่ทอดด้วยน้ำมันท่วม ๆ หรืออาหารผัดที่ใช้น้ำมันเยอะ ๆ ก็เป็นอาหารต้องห้ามสำหรับหมวดอาหารคลีนด้วยนะจ๊ะ

         สำหรับใครที่คุ้น ๆ สูตรอาหารพื่อสุขภาพ และการลดน้ำหนักอย่างสูตรอาหารคลีนมาบ้างแล้ว วันนี้กระปุกดอทคอมก็มีข้อมูลของอาหารคลีน พร้อมทั้งสูตรอาหารคลีนมาฝากกันถึง 15 สูตรเลยทีเดียว ถ้าพร้อมแล้วก็ไปแอบส่องสูตรไว้ทำกินเองที่บ้านได้เลยจ้า

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit 

1. แครกเกอร์หน้าแซลมอนรมควันและอะโวคาโด


          แครกเกอร์ธัญพืชอบกรอบ ทับด้วยอะโวคาโดสดหั่นชิ้นบาง ๆ ตบท้ายด้วยเนื้อแซลมอนรมควัน โรยออริกาโน่อีกสักนิดเพิ่มรสชาติ พร้อมเลมอนสไลด์เป็นเครื่องเคียงอีกสักอย่าง ก็ทำให้อาหารจานนี้มีหน้าตาดีใช้ได้เลยนะคะเนี่ย

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ Bless This Mess
 
2. ไข่อบมันฝรั่งเนื้อนุ่มหอมกรุ่น

          อิ่มแบบคลีน ๆ ในมื้อเช้าด้วยเมนูไข่อบมันฝรั่งเนื้อหนานุ่ม ตีไข่ผสมนมสด ปรุงรสด้วยเกลือเบา ๆ กับพริกไทยเล็กน้อย แล้วหั่นมันฝรั่งเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าใส่ลงไป อบให้ขึ้นฟูได้ที่ก็พร้อมเสิร์ฟรับอรุณแล้วจ้า

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ Bless This Mess

3. วาฟเฟิลโฮลวีทกล้วยหอมจอมซน

         เนื้อวาฟเฟิลโฮลวีทนุ่ม ๆ ผสมความหอมและสัมผัสแน่น ๆ จากกล้วยหอมสดหั่นแว่น ราดน้ำผึ้ง และดื่มนมคู่กันไป อาหารจานนี้ก็ฟินได้ทั้งมื้อเช้า หรือจะทำไว้กินเป็นอาหารว่างก็ตามสบายเลยค่ะ

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

 ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit
4. สลัดเต้าหู้กับน้ำสลัดงาขาว
         สำหรับคนที่ต้องการไดเอต และอยากจัดอาหารเบา ๆ แต่ให้สารอาหารครบถ้วน ลองสูตรอาหารคลีนจานนี้รับรองว่าไม่มีผิดหวังแน่นอนค่ะ เพราะมีทั้งผักหลากชนิด และโปรตีนจากเต้าหู้ พร้อมวิตามินสารพัดประโยชน์จากงาดำอีกต่างหาก เด็ดไปเลยเนอะ

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ Kapook
 
5. ไก่ย่างมะนาวอะโวคาโด

          เอาใจคุณแม่ที่กำลังควบคุมน้ำหนักด้วยเมนูไก่ย่างมะนาวอะโวคาโด สูตรเด็ดที่ให้สารอาหารที่ดีสำหรับคุณแม่ และคุณลูกในครรภ์ แต่ไม่เพิ่มน้ำตาลในเลือดจนเสี่ยงเป็นเบาหวาน อร่อยลืมกับอาหารจานนี้ได้เพลิน ๆ เลยจ้า


 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit

6. สลัดกะหล่ำ ส้มเขียวหวาน อกไก่ย่าง
         ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อนำกะหล่ำปลีมาซอย ต้มพอสุก แล้วจับคู่กินกับส้มเขียวหวานราดด้วยน้ำสลัดงา และเติมอกไก่ย่างเพิ่มโปรตีนให้อาหารจานนี้ จะเปลี่ยนอาหารที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ ให้มีรสชาติที่กลมกล่มกล่อมลงตัวจนคาดไม่ถึง !

  15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ Life's Extra Ordinary
7. อกไก่ย่างเลมอน

         เปลี่ยนเมนูไก่ย่างที่เคยกินให้เฮลธ์ตี้ยิ่งขึ้น เพราะเมนูนี้จะใช้อกไก่เนื้อแน่น ๆ คลุกเคล้าเครื่องเทศให้ชุ่มฉ่ำ แล้วนำไปอบกับซอสเลมอนที่ปรุงรสกำลังได้ที่ เสร็จแล้วตักเสิร์ฟพร้อมผักสดไว้กินแกล้มสักหน่อย ฟินเว่อร์

15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit
 
8. สลัดข้าวหอมสีนิล

         ข้าวหอมสีนิลขึ้นชื่อในเรื่องของคุณประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว แต่เราจะเพิ่มสารอาหารพร้อมความอร่อยให้เมนูนี้ยิ่งขึ้น ด้วยการนำอกไก่ย่าง กะหล่ำปลีย่าง และมะม่วงสุกมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นเติมน้ำสลัดงาปรุงรสลงไป เติมความกลมกล่อมอย่างลงตัว

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit

9. สลัดผักวอเตอร์เครสกับถั่วซิกพี

         ผักวอเตอร์เครสดอังไฟอุ่น ๆ พอให้ได้กลิ่นหอม ผสมกับถั่วซิกพีย่างสุกคลุกเคล้าให้เข้ากัน ซึ่งเมนูนี้คุณจะเติมผักสดอะไรลงไปอีกก็ได้นะคะ จากนั้นก็ปรุงรสสลัดน้ำใสให้ได้รสชาติที่ถูกปาก

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetits 

10. สลัดผักกับสันนอกหมูย่าง

          สารพัดผักใบเขียวฉ่ำน้ำสลัดงาหอม ๆ กินคู่กับถั่วคั่ว และเนื้อสันนอกย่างนุ่ม ๆ เป็นความอร่อยในรสชาติที่ไม่ซ้ำใคร แต่ให้คุณค่าทางสารอาหารที่เต็มเปี่ยม และในขณะเดียวกันก็ให้แคลอรี่และโทษน้อยมากถึงมากที่สุด

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

 ดูวิธีทำได้ที่ Cafe Johnsonia
 
11. สลัดคริสมาสต์

          ขอเรียกชื่อเมนูแบบนี้เพราะเป็นการรวมตัวของผักสีเขียว ทั้งแตงกวา และผักขม แซมด้วยความหวานอมเปรี้ยวของผลไม้ตระกูลเบอร์รีสีแดงสดอย่างสตรอวเบอร์รี ราดด้วยน้ำสลัดแบบใส รสชาติอร่อยเลิศอย่าบอกใครเชียว

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

 ดูวิธีทำได้ที่ Kalyn's Kitchen
 
12. กะหล่ำปลีย่างเลมอน
         อย่าเพิ่งดูถูกว่าเป็นแค่กะหล่ำปลีย่างนะจ๊ะ เพราะขอบอกตรงนี้เลยว่า ใครยังไม่เคยชิมกะหล่ำปลีย่างเลมอนจานนี้ล่ะก็ คงไม่รู้ฤทธิ์เดชความอร่อยของเขาซะแล้ว ถ้าอย่างนั้นคงต้องมาพิสูจน์กันเอาเอง แต่ว่าถ้าติดใจจนหยุดปากไม่ได้ ก็อย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit

13. กรีกโยเกิร์ตผสมเม็ดมะม่วง และเนื้อมะม่วงสุก

         ฉีกแนวมาดูสูตรของหวานกันหน่อย กับเมนูกรีกโยเกิร์ตเนื้อละเอียด อัดแน่นไปด้วยจุลินทรีย์มีประโยชน์ รวมทั้งวิตามินอื่น ๆ อีกมากมาย แถมยังมีเม็ดมะม่วงคั่วหอม ๆ และเนื้อมะม่วงสุกหวานฉ่ำ เติมความเฟรชอีกด้วยนะคะ ช่างเป็นเมนูที่เหมาะกับหน้าร้อนแบบนี้ซะจริง ๆ

  15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit

14. น้ำอะโวคาโดปั่น

         ถัดจากเมนูของหวานก็มาดูสูตรน้ำผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพแก้วนี้กันดีกว่า เพียงแค่ใช้เนื้ออะโวคาโดสดมาปั่นละเอียด เติมน้ำสะอาด และน้ำมะนาวเพิ่มรสชาติอีกสักนิด ก็จะได้เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมาคลายร้อน อีกทั้งสูตรนี้ยังเหมาะกับคนที่ต้องการลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง รวมทั้งโรคหัวใจ และสำหรับใครที่อยากหน้าเด็กก็ต้องรีบดื่มกันด่วน ๆ เลย

 15 สูตรอาหารคลีน เพื่อสุขภาพ กินได้ไม่มีเบื่อ

ดูวิธีทำได้ที่ bon appetit
 
15. กล้วยปั่นผสมอัลมอนด์

         จะจัดสูตรเครื่องดื่มคลีนทั้งทีเป็นแค่น้ำกล้วยปั่นก็คงจะเชยเกินไป งั้นลองผสมอัลมอนด์คั่วลงไปปั่นด้วยสัก 2-3 เม็ดก็พอ รับรองอร่อยเลิศเกินธรรมดาแน่ ๆ จ้า

         เมนูอาหารคลีนสูตรไหนถูกใจคุณ ๆ กันบ้างเอ่ย หรือถ้าใครอยากเปลี่ยนสูตร และดัดแปลงวัตถุดิบเท่าที่ตัวเองสะดวกก็ได้นะคะ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าลืมบอกต่อสูตรเด็ดเคล็ดอร่อยของคุณกันด้วยล่ะ ^^