วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หมูกระทะ บุฟเพ่ต์ อันตรายที่แฝงความอร่อย

  หลายคนคงชื่นชอบกับการสังสรรค์ด้วยอาหารมื้ออิ่มคุ้ม ที่สามารถเลือกทาน อาหารหลายอย่างได้ตามที่ต้องการตามร้านอาหารต่างๆ ที่ติดป้ายว่า บุฟเฟ่ต์ และหนึ่งในนั้น ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมสำหรับกลุ่มคนทุกวัย ทั้งวัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงานคงปฏิเสธไม่ได้กับอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เรียกว่า หมูกระทะ 
        แต่… คุณรู้หรือไม่ว่า หมูกระทะแสนอร่อยของคุณนั้น มีอันตรายอะไรแฝงตัวมาบ้าง ? ร้าน หมูกระทะส่วนใหญ่ จะจัดเตรียมวัตถุดิบอาหารสดต่างๆ เช่น เนื้อหมู ตับหมู เนื้อไก่ ลูกชิ้น กุ้ง เนื้อปลา ไส้กรอก สไบนาง(ผ้าขี้ริ้ว) แมงกะพรุน ปลาหมึกสด ปลาหมึกกรอบ ผักสด เห็ด เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าเลือกนำไปปิ้ง ย่าง และต้มด้วยตนเองบนกระทะที่มีคุณสมบัติ คือ สามารถปิ้ง ย่าง และต้มไปพร้อมๆ กันได้
หมูกระทะ
อันตรายที่อาจแฝงตัวอยู่กับวัตถุดิบอาหารสดต่างๆ เหล่านี้ คือ
เนื้อหมู : อาจมีเชื้อ Streptococcus suis ที่ทำให้ผู้รับเชื้อเกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้สูง ปวดศีรษะ อาเจียน หูหนวก ชักกระตุก เป็นอัมพาต บางรายอาจมีเยื่อบุหัวใจ ปอดอักเสบ สายตาพร่ามัว และอาจหูหนวกถาวรได้หากไม่ปรุงให้สุกก่อนรับประทาน
สไบนาง (ผ้าขี้ริ้ว) : อาจปนเปื้อนสารฟอกขาวที่ใช้ในการฟอกสีของสไบนางจากสีดำให้เป็นสีขาวดูน่ารับ ประทาน ซึ่งหากบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตตำปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรง หรือผู้ป่วยโรคหอบหืดอาจมีอาการช็อค หมดสติ และ เสียชีวิตได้
กุ้ง แมงกะพรุน ปลาหมึกสด และ ปลาหมึกกรอบ : อาจปนเปื้อนสารฟอร์มาลีน ซึ่งใช้เพื่อทำให้อาหารคงความสด และกรอบมักใช้ใอุตสาหกรรมอาหารทะเล หากร่างกายได้รับสารฟอร์มาลีนจะส่งผลต่อการทำงานของไต หัวใจ และสมองเสื่อม หากได้รับในปริมาณมากหรือร่างกายแพ้สารนี้ จะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียนอุจจาระร่วง หมดสติ และตายในที่สุด
ลูกชิ้น และ ไส้กรอก : อาจปนเปื้อนสารบอแร็กซ์ ซึ่งใช้เพื่อให้อาหารกรอบอร่อย หากร่างกายได้รับสารบอแร็กซ์ในปริมาณมากจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นพิษต่อไต ก่อให้เกิดไตวาย และเป็นอันตรายต่อสมอง 
        นอกจากนี้ในอาหารสดที่ทำความสะอาดไม่ถูกสุขลักษณะ อาจมีการปนเปื้อนเชื้อพยาธิชนิดต่างๆ ได้ และการปิ้ง ย่าง อาหารให้สุกมากเกินไป อาจก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง และปะปนเข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้น ในการกิน หมูกระทะ เราอาจนำตัวเองเข้าไปอยู่ในภาวะเสี่ยง แต่หากเรารู้ทันความเสี่ยงเหล่านั้น และเลือกปฏิบัติให้ถูกต้องก็สามารถป้องกันตนเองและลดความเสี่ยงได้เราก็จะ กินหมูกระทะกันได้อย่างอร่อย และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
 ที่มาจาก สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ กรมควบคุมโรค
facebook

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ปวดท้อง 9 จุด บ่งบอกอะไรบ้าง วิเคราะห์ร่างกายจากอาการปวดท้อง 9 จุด

ปวดท้อง 9 จุด บ่งบอกอะไรบ้าง
วิเคราะห์ร่างกายจากอาการปวดท้อง 9จุด
health-03
1. ชายโครงขวา เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี
หากกดแล้วเจอก้อนแข็ง ๆ บวกกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ก็จะหมายถึง
ความบกพร่องเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี ปวดมาก หาหมอดีกว่า
2. ใต้ลิ้นปี่ หรือกลางตัวเรา ตรงซี่โครงซี่ล่างสุด (กลางตัว) จะหมายถึง กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- หากปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม ก็หมายถึง อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะ
- หากปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อันนี้ตับอ่อนอักเสบ
- หากคลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต (ปรึกษาหมอ)
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็ก ๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่ อันนี้ก็ปรึกษาหมอ
3. ปวดชายโครงซ้าย เป็นตำแหน่งของม้าม หากเจ็บ ต้องปรึกษาหมอโดยด่วน
4. ปวดบั้นเอวขวา สาว ๆ เป็นกันประจำ ตำแหน่งนี้คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดมากจะหมายถึงลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อันนี้แรงหน่อย เริ่มต้นเป็นนิ่วในท่อไตครับ
- ปวดร่วมกับปวดหลัง แถมมีไข้ หนาวสั่นด้วย ปัสสาวะขุ่น อันนี้แรงหน่อย กรวยไตอักเสบ อย่าฝืนนะครับ หาหมอดีกว่า
- คลำเจอก้อนเนื้อ อันนี้ก็หาหมอวินิจฉัยด่วน
5. ปวดรอบสะดือ มัน คือ ตำแหน่งลำไส้เล็ก มักพบในคนที่มักท้องเดิน แต่หากกดแล้วปวดโครต ๆ มันคือไส้ติ่งครับ ปวดมาก ๆ หาหมอด่วน แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้องด้วย ก็ไม่เป็นไรมากครับ อาจแค่กระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ (คงกินมากไป เหอะ ๆ)
6. ปวดบั้นนเอวซ้าย เป็นตำแหน่ง ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
7. ปวดท้องน้อยขวา เป็นตำแหน่ง ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- หากปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา หมายถึงกรวยไตอาจเป็นอะไรสักอย่าง หาหมอครับ
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก อย่าทนครับ เพราะเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว ผู้หญิงเท่านั้น่ที่เป็น เพราะมันคือ ปีกมดลูกอักเสบครับ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ เบื้องต้นอาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ปวดท้องน้อย มันเป็นตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย เดาได้ง่ายเลย เพราะมันคือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือแรงหน่อยคือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (แต่เป็นกันน้อย)
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน ไม่มีอะไรมาก คุณกำลังมีประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร ไม่อยากบอก ปรึกษาหมอโดยด่วนครับเพราะมันคืออาการมดลูกผิดปกติ
9. ปวดท้องน้อยซ้าย เป็นตำแหน่ง ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

ที่มาจาก unigang.com

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หญ้าฮี๋ยุ่ม หรือ หญ้ารีแพร์ เผารมควันกระชับช่องคลอดหญิงให้ฟิตกระชับเหมือนเดิม

แพทย์แผนไทยเปิดตัวสมุนไพร “หญ้ารีแพร์” หรือ “หญ้าฮียุ่ม” สรรพคุณช่วย กระชับช่องคลอด หญิงที่ผ่านการมีบุตรให้กลับมามีความฟิตกระชับ แค่นำมาตากแห้งแล้วเผา นั่งรมแค่ 2-5 วัน รวมถึงต้มกินกระชับผิวพรรณ ระบุชาวบ้านใช้กันมานานกว่า 30 ปี เตรียมทำวิจัยต่อยอด ขณะเดียวกันก็จัดงาน “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 11” เผยสารพัดตำรับในการดูแลสุขภาพสำหรับผู้หญิง
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนา การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 11” ภายใต้แนวคิดการแพทย์แผนไทย หัวใจการดูแลสุขภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 3-7 ก.ย.นี้ ที่ฮอลล์ 6-8 อิมแพค เมืองทองธานี ว่าภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการต่างๆมากมาย โดยเฉพาะตำรับสำหรับผู้หญิง เช่น เปิดตำรับลับสุดยอด, ภูมิปัญญาไทย หญ้ารีแพร์ หรือ หญ้าฮียุ่ม คืนความสาวให้สาวทันใจ, จีผาแตก ไม่แปลกที่หงส์เหนือมังกร, แม่ฮ้าง 32 ผัว, พลังหญิงที่ชายกริ่งเกรง และการทำยาสมุนไพรดูแลแม่หญิง เป็นต้น
repair

 ทั้งนี้ หญ้าฮี๋ยุ่ม ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้กันมานาน สำหรับหญิงหลังคลอด ซึ่งได้ผลดีและมีการใช้สืบต่อมายาวนาน

 ทาง ด้าน ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ กล่าวว่า หญ้าฮี๋ยุ่ม เป็นภาษาชาวบ้าน พบได้ทุกภาค แต่เรียกง่ายๆ ว่า หญ้ารีแพร์ มีสรรพคุณช่วยในการ กระชับช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอดของหญิงหลังคลอด หรือในหญิงที่มีปัญหาช่องคลอดหย่อนยานไม่กระชับก็สามารถใช้หญ้าดังกล่าวช่วย คืนสภาพให้ช่องคลอด กลับมามีความกระชับเต่งตึง ลดการหย่อนของมดลูกได้ ทำให้กลับมาเหมือนวัยแรกสาวอีกครั้ง

 เนื่อง จากหญ้าดังกล่าวจัดเป็นกลุ่มเดียวกับไผ่ มีสารซิลลิกา (Sillica) ช่วยในการยืดหยุ่น และยังช่วยกระชับผิวอีก ดังนั้น นอกจากจะนำมาใช้กระชับช่องคลอดด้วยการรมควันแล้ว ยังนำมาใช้ต้มกิน หรือต้มอาบอีกด้วย ผู้ชายก็ใช้ได้ โดยนำมาสมานผิวจากบาดแผลต่างๆ ก็ได้เช่นกัน โดยในการรมควันนั้นจะทำติดต่อกันประมาณ 2-5 วัน แล้วแต่กรณีไป หากนักวิจัยท่านใดสนใจก็สามารถมาศึกษาวิจัยต่อยอดได้ 
repair-01
ด้านนางพุทธพร คูณสุข อายุ 56 ปี ผู้มีประสบการณ์ในการใช้ หญ้ารีแพร์ หรือ หญ้าฮียุ่ม กล่าวว่า ตนเคยใช้หญ้าดังกล่าวในการรักษาแผลและกระชับช่องคลอด เนื่องจากภายหลังจากคลอดลูกมาแล้วก็เกิดมีอาการแผลอักเสบปวดต้องไปหาหมอ รักษาแผล 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่หาย ญาติผู้ใหญ่สังเกตเห็นว่านั่งให้นมบุตรไม่ได้เพราะมีอาการเจ็บ จึงไปเก็บหญ้าดังกล่าวมาให้ใช้ โดยในการรมควันนั้นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 30 นาที และภายหลังจากรมควันเสร็จรู้สึกว่าช่องคลอดกระชับขึ้นแผลที่เคยปวดก็ดีขึ้น เมื่อนอนตอนกลางคืนก็ไม่มีอาการปวดแผลอีกเลย ซึ่งตนทำอยู่ 2 วัน อาการอักเสบของแผลก็หายดีและยังรู้สึกว่าช่องคลอดตึงขึ้น
“อยากฝากถึงหญิงที่คลอดลูกหรือมีอาการมดลูกไม่กระชับหย่อนยาน ให้ลองไปหาหญ้าดังกล่าวมาใช้ เพราะใช้ดีจริงๆ แม้แต่แฟนยังบอกว่าตึงกระชับ และจริงๆแล้วแฟนชอบเรียกหญ้าดังกล่าวว่าหญ้ากระชับพื้นที่ และหญ้าดังกล่าวก็หาง่ายมีปลูกทั่วไปตามไร่ตามสวน จากการที่ได้คุยกับทางรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรยังทราบมาด้วยว่าอาจมีการนำ หญ้าดังกล่าวมาพัฒนาใช้ในการรักษาแผลที่เกิดจากสะเก็ดระเบิดอีกด้วย” นางพุทธพรกล่าว

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ขี้ไคล ก็มีประโยชน์

ต้องทำความเข้าใจกันใหม่แล้วล่ะค่ะ เพราะความเป็นจริงแล้วชั้น ขี้ไคล ก็คือ ชั้นหนังกำพร้า ที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ซึ่งทำหน้าที่เป็น เกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคและสารเคมีต่างๆ ไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิวได้ง่ายๆ และยังช่วยป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยกันรังสียูวีได้ส่วนหนึ่ง
78621916
โดย ปกติแล้ว เราจะมี ขี้ไคล ที่ผิวหนังทุกส่วนในร่างกาย แต่จะมีมากที่สุด ที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า เพราะเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา
โดยทั่วไป ขี้ไคล จะหลุดลอกออกไปตามธรรมชาติ ซึ่งระยะเวลาที่หนังกำพร้าจะดันตัวเองออกมาเป็น ขี้ไคล จะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์
ดัง นั้นหากคุณทั้งเช็ด ทั้งถู มากเกินไป บางคนอาจชอบขัดผิวด้วยสครับทุกวัน เพราะรู้สึกว่าผิวจะสะอาดหมดจด แต่นั่นอาจเป็นการทำลายส่วนที่ปกป้องผิวหนังตามธรรมชาติ หากต้องการขัดผิวก็ไม่ควรเกินอาทิตย์ละครั้ง ก็เพียงพอแล้ว หากเราขัดผิวทุกวันจะทำให้สูญเสียชั้นน้ำมัน และชั้น ขี้ไคล สิ่งที่เกิดตามาก็คือผิวของคุณจะ เปราะบาง ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบาง แพ้เป็นผื่นหรือคันได้ง่าย
ขอบคุณที่มาจาก : www.womanplusmagazine.com

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ เกมเศรษฐี Monopoly เกมกระดานสุดฮิต

ประวัติ เกมเศรษฐี Monopoly เกมกระดานสุดฮิต
 

ประวัติเกมเศรษฐี (Monopoly) เกมสุดฮอตฮิตที่ครองใจคนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน มารู้จักเรื่องราวและที่มาของ เกมเศรษฐี กันดีกว่า
ชั่วโมง นี้เชื่อว่าเกมที่กลายเป็นที่ฮอตฮิตอันดับหนึ่งของชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กไทย คงหนีไม่พ้น เกมเศรษฐี (LINE Lets Get Rich) อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าไปที่ไหนเป็นต้องเห็นทุกคนก้มหน้าก้มตาทอยลูกเต๋า สร้างแลนด์มาร์ก กันอย่างเมามันส์ แต่ใครเล่าจะเชื่อว่า เกมเศรษฐีนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานถึง 100 ปีแล้ว แต่ยังคงความคลาสิคที่คนทุกเพศทุกวัยยังนิยมเล่นอยู่จนถึงทุกวันนี้ และวันนี้ก็มีประวัติของเกมเศรษฐี (Monopoly) มาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ

สำหรับเกมเศรษฐี เกิดขึ้นโดยหญิงสาวชาวอเมริกันนามว่า อลิซาเบ็ธ แม็กกี ฟิลลิปส์ (Ellizabeth Magie Phillips) ขณะนั้นเธอต้องการแบบจำลองเพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่า คนที่เป็นเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ร่ำรวยจากค่าเช่าได้อย่างไรและ ค่าเช่าทำให้ผู้เช่าจนลงได้อย่างไร ซึ่งการเล่นเกมจำลองสถานการณ์แบบนี้ทำให้เข้าใจง่าย โดยเธอได้ตั้งชื่อเกมว่า แลนด์ลอร์ด (The Landlord’s Game) และนำไปจดสิทธิบัตรไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) แม้ว่าตัวเกมจะมีความสนุกแต่ก็นิยมเล่นกันในวงแคบ ๆ  ยังไม่มีการผลิตออกมาอย่างจริงจัง
จน กระทั่งในปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) บริษัทผู้ผลิตเกมชื่อ Economic Game ได้ผลิตเกมนี้ออกมา ความนิยมในตัวเกมเกิดจากการบอกต่อกันของผู้ที่เคยเล่น และเกิดการดัดแปลงเกม เช่น เปลี่ยนแปลงกฎกติกาบางอย่างเพื่อทำให้เกมสั้นลงและใช้ชื่อว่า อ็อกชั่น โมโนโพลี (Auction Monopaly) เปลี่ยนแปลงชื่อสถานที่เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ผู้เล่นอาศัยอยู่จริง เป็นต้น ก่อนที่ในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1920 (พ.ศ. 2463) ผู้คนก็รู้จักเกมในชื่อ โมโนโพลีเกม (Monopoly Game)

ความแพร่หลายของเกม ทำให้เกิดปมประวัติศาสตร์ของเกมขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) ชาร์ลส บี.ดาร์โรว (Charles B. Darrow) ได้ทำเกมเศรษฐีไว้เล่นเองในบ้าน ซึ่งเนื้อหาของเกมมีทั้งการซื้อ การขาย การเช่าอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ไม่นานนักเพื่อน ๆ ก็ขอลอกแบบเกมเพื่อนำกลับไปเล่นที่บ้านตัวเอง  ทำให้ชาร์ลสเริ่มผลิตเกมนี้ออกจำหน่ายในราคาชุดละ 4 เหรียญ โดยนำไปฝากขายที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองฟิลาเดลเฟีย และด้วยความสนุกของเกมทำให้ยอดการสั่งซื้อเกมเพิ่มมากขึ้น จนชาร์ลสนำเกมนี้เสนอขายกับบริษัทพาร์คเกอร์ บราเธอร์ (Parker Brother) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตของเล่น
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นทางบริษัทได้ปฏิเสธเกมของชาร์ลสโดยบอกว่าเกมของเขามีจุดบกพร่อง ถึง 52 จุด เช่น เกมใช้เวลาเล่นนานเกินไป กติกาซับซ้อนเกินไป เป้าหมายการเป็นผู้ชนะไม่ชัดเจน ชาร์ลสจึงกลับมาจ้างเพื่อนเขาผลิตเกมออกมาจำหน่ายเองจำนวน 5,000 ชุด ซึ่งความสนุกของเกมได้รับการบอกเล่ากันปากต่อปาก จากเพื่อนลูกสาวผู้ก่อตั้งบริษัทพาร์คเกอร์ เรื่อยมาจนถึงหูภรรยาของ โรเบิร์ต บี.เอ็ม.บาร์ตัน (Robert B.M.Barton) ประธานบริษัทพาร์คเกอร์ ทำให้ประธานต้องซื้อเกมนี้มาทดลองเล่นด้วยตัวเอง
หลัง จากที่ค้นพบความสนุกของเกมโมโนโพลีเกม โรเบิร์ต บาร์ตัน จึงเปิดการเจรจาธุรกิจกับชาร์ลสอีกครั้งโดยเสนอขอซื้อสิทธิ์การผลิตและ จำหน่ายเกม อีกทั้งเสนอค่าสวนแบ่งลิขสิทธิ์เกม (royalty) ตามยอดขายออกไปให้ ซึ่งชาร์ลสตอบรับทุกข้อเสนอด้วยความยินดี พร้อมกับสัญญาว่าจะพัฒนาเกมเศรษฐีที่เล่นจบในเวลาสั้นกว่าเดิมให้ทางบริษัท ด้วย
จนในที่สุดบริษัทพาร์คเกอร์ฯ ก็ผลิตเกมเศรษฐีออกมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) แม้ภายหลังบริษัทจะพบว่ามีเกมที่มีรูปแบบลักษณะการเล่นเดียวกันนี้วาง จำหน่าย บริษัทก็ได้ไล่ซื้อลิขสิทธิ์เกมอื่น ๆ เพื่อปกป้องเกมโมโนโพลีไว้ และทำให้เกมนี้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของบริษัทพาร์คเกอร์ฯ
ทั้งนี้ สำหรับเกมโมโนโพลี (Monopaly) เป็นเกมที่ได้รับความนิยมมาก มีการบันทึกสถิติลงในหนังสือกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดว่า เกมนี้เป็นเกมกระดานที่มีคนเล่นมากที่สุดในโลกประมาณ 500 ล้านคน โดยถูกนำไปผลิตเป็นภาษาต่าง ๆ มากถึง 26 ภาษา และจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ประมาณ 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยในไทยนั้นเรียกเกม Monopaly ว่า เกมเศรษฐี ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

pd.id แก็ตเจ็ตสุดเจ๋ง ตรวจจับเครื่องดื่มขนาดพกพา ป้องกันการโดนวางยาจากผุ้ไม่หวังดี

คลิกที่นี่ <<
pd.id

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          พีดี.ไอดี (pd.id) เครื่องตรวจจับเครื่องดื่มขนาดพกพา ป้องกันการโดนวางยาจากผู้ไม่หวังดี

          เวลาไปงานเลี้ยงสังสรรค์หรือปาร์ตี้กับก๊วนเพื่อนฝูงตามผับบาร์ต่าง ๆ เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าเครื่องดื่มแต่ละแก้วที่นำมาเสิร์ฟนั้นแอบถูกใส่ยา อะไรมาหรือเปล่า ซึ่งอย่างที่เห็นกันตามข่าวในทุก ๆ วันว่าจะมีผู้หญิงโดนวางยาก่อนถูกข่มขืน หรือผู้ชายเองก็โดนวางยาก่อนโดนปล้นทรัพย์สินไป ทำให้หลายคนไปเที่ยวด้วยความวิตกกังวล

pd.id

          แต่วันนี้เราไปเจอแก็ดเจ็ตเจ๋ง ๆ ชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า pd.id ขนาดของตัวอุปกรณ์เล็กพอ ๆ กับยูเอสบีทั่วไป แต่ความสามารถของมันกลับใหญ่เกินตัว เพราะมันสามารถตรวจหาได้ว่าในเครื่องดื่มมียาแปลกปลอมหรือสารเสพย์ติดปน เปื้อนอยู่หรือไม่ ถ้าหากมีสารใด ๆ ผสมอยู่ไฟ LED ที่ตัวอุปกรณ์จะแจ้งเตือนทันที รวมถึงแจ้งเตือนบนสมาร์ทโฟนด้วย

          เมื่อต้องการทดสอบว่าเจ้าเครื่องดื่มในแก้วที่มีคนนำมาให้มียาใด ๆผสมมาหรือเปล่า ก็เพียงแค่นำ pd.id จุ่มลงไปในเครื่องดื่มสักครู่ ถ้าไม่มีไฟแจ้งเตือนก็เป็นอันว่าปลอดภัยหายห่วง ที่สำคัญใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกได้
          อย่างไรก็ดี ขณะนี้เจ้า pd.id ยังอยู่ในระหว่างการระดมทุนเพื่อนำมาใช้ในการผลิตอยู่บนเว็บไซต์ indiegogo.com หากหาทุนได้ครบตามเป้าสำเร็จ คาดว่าทางผู้ผลิตคงจะประกาศราคาจำหน่ายออกมาให้ทราบอีกครั้ง

pd.id

pd.id

pd.id

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อิ่มตาย อิ่มข้าวมากเกินไป หรืออิ่มรัก มากเกินไปอาจถึงกับเสียชีวิต

ขึ้นชื่อว่า “ความตาย” ไม่ว่าจะอดตาย อิ่มตาย หรือตายจากอะไรก็ตาม คงไม่มีใครชอบแน่
เรื่องอดตายเป็นที่เข้าใจง่าย แต่เรื่องอิ่มตายนี่สิชวนให้สงสัย คงไม่ใช่ท้องแตกตายเหมือนชูชกในเรื่องพระเวสสันดรชาดกแน่ๆ เพราะไม่เคยมีหลักฐานใดที่มาแสดงว่าท้องแตกเพราะกินมากไป
เหตุผลทีทำให้อิ่มตายซึ่งอาจเกิดได้มากที่สุดก็คือ ผู้ป่วยน่าจะมีปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบตัน โดยจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ก็ตาม เพราะบางคนก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองมีปัญหาของหลอดเลือดหัวใจ ขณะที่บางคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพราะไม่ได้ตรวจเช็คและสังเกตอาการ
เมื่อใดที่กินอาหารจนอิ่ม จะเกิดปัญหาเลือดไปเลี้ยงหัวใจน้อยลง เพราะถูกดึงไปเลี้ยงกระเพาะและลำไส้มากขึ้น เนื่องจากเลือดเป็นระบบขนส่งที่จะนำอาหารและก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะ ต่างๆ และนำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากำจัด
อวัยวะใดทำงานมากขึ้นก็จะมีเลือดไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อกินอาหาร เลือดก็จะไหลเข้ามาในช่องท้องเพื่อเลี้ยงทางเดินอาหารมากขึ้น อวัยวะอื่นๆ ก็จะได้รับเลือดน้อยลง แต่หัวใจยังคงต้องทำงานหนักเพราะเป็นตัวสูบฉีดเลือด(ปั๊ม) นั่นคือหัวใจเองก็ต้องการเลือดเพิ่มเพราะทำงานมากขึ้น
ถ้าหลอดเลือดแดงของหัวใจเกิดตีบตัน จะทำให้หัวใจขาดเลือด เต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จึงเกิดการช็อกตายอย่างกะทันหันขณะกินอาหาร หรือเมื่ออิ่มนั่นเอง


'อิ่มตาย' อิ่มข้าวมากไป หรืออิ่มรักมากไป ก็ถึงชีวิตได้ รูปที่ 1

ข้อแนะนำ
- ไม่เร่งรีบกินอาหาร
- กินแต่พอดี ไม่ควรให้อิ่มจัด หรืออิ่มจนจุกแน่น
- ขณะกินอาหารหรือเมื่อกินอิ่มแล้ว ไม่ทำงานอย่างอื่นโดยเฉพาะงานที่ต้องออกแรงมาก หรือต้องใช้ความคิดอย่างมาก (ลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและสมอง)
- ขณะกินอาหารหรือเมื่อกินอิ่มแล้ว ไม่ทำกิจกรรมที่ทำให้ตื่นเต้นมากๆ
- ไม่ควรดื่มสุรา ชา กาแฟ เพราะจะกระตุ้นหัวใจมาก
- สังเกต อาการผิดปกติที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เช่น เจ็บแน่นหน้าอกด้านซ้าย บางครั้งก็ร้าวไปบริเวณใกล้เคียง เจ็บหน้าอกเมื่อเหนื่อย ออกกำลังหรือเมื่อกินอาหาร เป็นต้น และควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา
นอกจากการช็อกตายอย่างกะทันหันหลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ แล้ว หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ตายคาอก” ซึ่งสาเหตุก็คล้ายกันกับอิ่มตาย แต่ต่างกันตรงที่กิจกรรมที่ทำคือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ระวัง ออกแรงมาก ประกอบกับความรู้สึกตื่นเต้น ในขณะที่ตนเองมีปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบตันอยู่แล้ว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเสียชีวิตในที่สุด บรรดานักรักทั้งหลายโดยเฉพาะ “นักรักวัยทอง” จะกลัวกันมาก
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของหลายประเทศ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ อ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง ไขมันในหลอดเลือดสูง เป็นต้น
การป้องกันคือ งดสุรา งดบุหรี่ ตรวจเช็กไขมันในหลอดเลือด และควบคุมความดันโลหิต ระวังอย่าให้อ้วน กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก ผลไม้สด ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
จะเห็นได้ว่าโรคหัวใจ (กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจาก หลอดเลือดตีบตัน) ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะเพียงแค่การ “อิ่มข้าว” หรือ “อิ่มรัก” มากไป ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นเราควรหันมาใส่ใจสุขภาพและดูแลหัวใจให้แข็งแรงดีกว่า

ที่มา : หมอชาวบ้าน