วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ดื่ม กาแฟ อย่างไร ไม่เสียสูขภาพ


เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่าการดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น

รายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ แต่นักวิจัยก็เตือนว่าอย่าเพิ่งมั่นใจจนหันไปโหมกาแฟ เพราะนักวิจัยยังต้องติดตามการวิจัยอีกมาก



นอกจากนี้ กาแฟ ยังยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

สำหรับผู้ที่ดื่ม กาแฟ เพราะต้องการแก้ง่วง นักวิจัยแนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.)ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

ของดีใน กาแฟ

นักวิจัยของศูนย์วิจัยของศูนย์วิจัยใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งมีบริษัทขายกาแฟรายใหญ่ของโลกพบว่า เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้นกับชนิดของกาแฟ

กาแฟ พันธุ์โรบัสต้า (Robusta) มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย

ข้อควรระวังใน กาแฟ

คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีนซึ่งเป็นเป็นสารกระตุ้น จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอีนช้า ทำให้คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

ถึงอย่างไรนักวิจัยก็เชื่อว่าการดื่มเพียง 1-2 ถ้วยจะไม่มีผลต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันไม่ว่ามียีนอย่างไร แต่การดื่มวันละ 4 แก้วขึ้นไปไม่ให้ผลดีขึ้น ดังนั้น ควรดื่มแต่พอควร เพราะปัจจุบันการตรวจยีนยังไม่ได้มีใช้กันเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป และยีนที่แตกต่างกันทำให้ผลการวิจัยทางโภชนาการที่สัมพันธ์กับโรคต่างๆ ที่ออกมามีข้อมูลขัดแย้งกันจนเกิดความสับสน

ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านมหรือกระดูกพรุนหรือไม่ การเดินสายกลางจึงดีที่สุด ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

ข้อควรปฎิบัติ

เลี่ยงกาแฟที่ใช้หม้อต้มแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย เพราะจะมีสารไดเทอร์พีนสูง เพิ่มระดับคอเลสเทอรอลในเลือด ควรเลือกกาแฟสำเร็จรูปที่ละลายน้ำ หรือชนิดกรองหยด และเอสเพรสโซ ซึ่งจะมีผลน้อยกว่า
ถ้าต้องเลือกกาแฟสกัดคาเฟอีน ควรเลือกชนิดที่ใช้กระบวนการสกัดธรรมชาติ (Swiss Water Process) ตรวจสอบยี่ห้อได้จาก SwissWater.com
สำหรับผู้ที่เลี่ยงกาแฟอยู่แล้ว ไม่ควรหันมาดื่มเพียงเพื่อต้องการผลดีจากคาเฟอีน โดยเฉพาะคนที่ร่างกายไวต่อกาแฟ การดื่มอาจยิ่งเพิ่มผลเสีย เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ กระเพาะหลั่งกรดออกมามากเกินควร ทำให้ปวดท้อง และเป็นสารขับปัสสาวะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่ดื่มกาแฟควรดื่มน้ำตามไปชดเชยด้วย
ระวังสิ่งที่เติมลงในกาแฟ เช่น ครีม นมไขมันเต็ม น้ำตาล น้ำผึ้ง เพราะเท่ากับเติมพลังงานส่วนเกิน
กาแฟมาตรฐาน 1 ถ้วย มีขนาด 5-6 ออนซ์หรือ 150-180 มล. แต่ที่ขายโดยทั่วไปนั้นมีขนาด 12 ออนซ์หรือ 360 มล. ซึ่งมากกว่าถึง 2 เท่า ดังนั้น ควรจำกัดการดื่มให้ไม่เกิน 5 ถ้วย ซึ่งเป็นปริมาณที่ใช้ในการศึกษาวิจัย
สารคาเฟอีนเป็นสารธรรมชาติที่พบในอาหารอื่นด้วย เช่นใบชา เมล็ดโคลา โกโก้  ช็อคโกแลต น้ำอัดลมสีดำ และยาบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนเกินควร จึงต้องตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเองเสมอ
ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine พฤษภาคม, Issue 64

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ

10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ


นามบัตรที่เราเห็นกันบ่อยๆนั้นก็จะเป็นกระดาษใบเล็กธรรมดาใบนึง ที่จะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเราเพื่อให้คนที่เราต้องติดต่อ หรือทำงานด้วย แล้วก็ต้องเขียนให้สุภาพแต่ดูดีเข้าไว้ใช่ไหมหล่ะ อีกอย่างการออกแบบนามบัตรก็สามารถบ่งบอกไลฟ์สไตล์ของคนๆนั้นได้อีกด้วย .. นี่เป็น 10 นามบัตรคนดังระดับโลก ที่เชื่อเลยว่าน้อยคนที่จะเคยเห็น ขอบอกว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ ^^

10 นามบัตรคนดังระดับโลก

10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Walt Disney
10. Walt Disney
ดิสนีย์ (Disney) บริษัทสื่อและสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าพ่อแห่งการ์ตูน กับนามบัตรของตนสมัยที่ยังรับจ้างเป็นนักวาดการ์ตูนอยู่ สำนักงานใหญ่ของดิสนีย์ตั้งอยู่ที่ วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์ ที่เมืองเบอร์แบงก์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Mark Zuckerberg
9. Mark Zuckerberg
หลายคนคงอยากรู้ “I’m CEO, Bitch.” ประโยคสุดห้าวบนนามบัตรของเจ้าพ่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ที่เราเห็นในภาพยนตร์ The Social Network นั้นมีอยู่จริงหรือไม่? คงจะได้คำตอบจากภาพนี้เป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เปลี่ยนนามบัตรไปหรือยัง เพราะปัจจุบันเปลี่ยนจากซีอีโอเด็กแนวกลายเป็นซีอีโอชั้นแนวหน้าของโลก แถมเป็นพ่อบุญทุ่มลงทุนหลักหลายหมื่นล้านเหรียญ ความห้าวคงลดลงบ้างตามอายุที่เพิ่มขึ้น
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Steve Martin
8. Steve Martin
ตลกหน้าตายเป็นนักแสดง ดาราตลก นักเขียน ผู้เขียนบท โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ นักดนตรี และนักแต่งเพลง ชาวอเมริกัน ดูแล้วเป็นนามบัตรสุดแสนจะเป็นกันเอง ตามบุคลิก เขาเติบโตในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อ การ์เดนโกล์ฟ ในเซาท์แคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้รับอิทธิพลในการทำงานที่ดิสนีย์แลนด์และน็อตส์เบอร์รีฟาร์ม และทำงานมายากล และแสดงตลก ที่งานเล็ก ๆ ในแถบนั้น งานในอดีตของเขาที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคืองานเป็นนักเขียนให้กับ Smothers Brothers Comedy Hour และต่อมาได้รับเชิญใน Tonight Show อยู่บ่อยครั้ง
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Lady GaGa
7. Lady GaGa
นามบัตรของนักร้องหลุดโลกเป็นศิลปินเพลงป็อบชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลีอย่าง เลดี้ กาก้า สมัยร่วมทำงานกับทางโพลารอยด์
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Abraham Lincoln
6. Abraham Lincoln
มาถึงลำดับที่ 6 ผู้นำประเทศคนสำคัญอีกคนหนึ่งของอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีผู้ล่วงลับ
(เมื่อเห็นนามบัตรใบนี้ แล้วคิดถึงภาพยนตร์เรื่อง Abraham Lincoln: Vampire Hunter ขึ้นมาทันที)
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Albert Einstein
5. Albert Einstein
สุดยอดนักวิทยาศาสตร์เจ้าของ IQ ระดับ 160+ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Chuck Jones
4. Chuck Jones
เขาคือเจ้าของตัวการ์ตูนขวัญใจเด็กๆทั่วโลก อย่าง Bug Bunny, Roadrunner และตัวอื่นๆอีกหลายต่อหลายตัว
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Neil Armstrong
3. Neil Armstrong
คนบนโลกอย่างเราอาจไม่มีโอกาสได้รับนามบัตรของเขา เพราะเขาคือ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศที่เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก นีล อาร์มสตอง เคยเดินทางมาเยือนประเทศไทย และ หนึ่งในสถานที่มาเยือนนั้นคือที่ โรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์ ในต้นฤดูฝน พ.ศ.2512 มีนักเรียนชื่อ อรนุช ภาชื่น และ เพ็ญพร เพียรชอบ และเพื่อนรวม 6 คน ได้เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษส่งไปยัง นีล อาร์มสตอง ซึ่งแปลความเป็นภาษาไทยได้ว่า “เราต้องการรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอพอลโล11 และคิดว่า นักบินอวกาศจะเป็นผู้สามารถเล่าให้เราฟังได้มากที่สุดและดีที่สุด” ในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จ
Arnold Schwarzenegger
Arnold Schwarzenegger
2. Arnold Schwarzenegger
ยังไม่พ้นนามบัตรของคนใหญ่คนโต โดยเฉพาะนามบัตรใบนี้เป็นของนักเเสดงกล้ามโต “ผู้ว่าการคนเหล็ก” อาโน ชวาสเนกเกอร์
นามบัตรที่อาโนใช้ในฐานะผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนี
10 นามบัตรคนดังระดับโลก สุดยอดอ่ะ
Barack Obama
1. Barack Obama
ผู้นำสูงสุดยุคปัจจุบันแห่งสหรัฐอเมริกา ใช้นามบัตรเเสนเรียบง่ายและเป็นทางการสุดๆ ตามสไตล์ผู้นำของประเทศ
หากใครได้มีโอกาสได้แลกนามบัตรกับประธานาธิบดียิ้มหวานคนนี้ติดกระเป๋าไว้สักใบคงเท่น่าดู
ขอบคุณข้อมูล flavorwire.com, spyrestudios.com/top-10-famous-business-cards/, http://marketeer.co.th

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยุ่ใกล้รังสีมือถือ หนุ่มเราระวังหมดนํ้ายา

อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยู่ใกล้รังสีมือถือ หนุ่มเราระวังหมดน้ำยา

อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยู่ใกล้รังสีมือถือ
ผู้ชายทั่วไปมักนำโทรศัพท์มือถือไปเก็บไว้ที่กระเป๋ากางเกง แล้วนำอุปกรณ์แฮนด์ฟรีมาเสียบไว้ที่หู เมื่อมีสายเรียกเข้าก็จะสนทนาได้อย่างสะดวก โดยก็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่กระเป๋ากางเกง แต่ผลวิจัยล่าสุดพบว่า การทำเช่นนี้ อาจส่งผลให้น้ำเชื้อของผู้ชายมีคุณภาพลดลง เพราะรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นความถี่วิทยุหรือ RF-EMR ที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์จะเข้าไปส่งผลกระทบกับ อสุจิ ได้โดยตรง ซึ่งมันจะเป็นอย่างไรเสียหายแค่ไหน ทาง Men.MThai เราได้ไปหาข้อมูลมาฝากเพื่อนๆ กันเช่นเคยครับ
อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยู่ใกล้รังสีมือถือ
อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยู่ใกล้รังสีมือถือ
ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ในสหรัฐ ได้ศึกษาเรื่องนี้ โดยใช้ตัวอย่างน้ำเชื้อของผู้ชาย 32 คน จากนั้นจึงนำน้ำเชื้อที่ได้มา แยกออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม แต่ให้ตัวอย่างน้ำเชื้อทั้งหมดอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกันภายใต้อุณหภูมิเท่ากัน นักวิจัยนำตัวอย่างน้ำเชื้อกลุ่มทดลองไปวางห่างจากโทรศัพท์มือถือประมาณ 2.5 เซนติเมตร โดยที่โทรศัพท์มือถือเปิดให้มีเสียงสนทนาด้วยความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นความถี่ที่นิยมใช้กันทั่วไป ทำเช่นนี้อยู่นาน 1 ชั่วโมง
ผลการทดลองพบว่า ในน้ำเชื้อจะมีอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 85 แต่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระลดลง อนุมูลอิสระถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายและอาจเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เช่น มะเร็ง การมีอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้สเปิร์มที่อยู่ในน้ำเชื้อเคลื่อนที่ได้ช้าลง และมีวงจรชีวิตสั้นลงด้วย อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์ยังได้วิจัยออกมาแล้วว่า คลื่นรังสีของโทรศัพท์นั้นยังมีผลต่ออสุจิในหลายๆ ด้านอีกด้วย เช่น คลื่นรังสีของโทรศัพท์จะส่งผลทำให้อัตราการเคลื่อนไหวของ อสุจิ ลดลงถึง 8% และอีกทั้ง ยังลดอัตราการอยู่รอดของ อสุจิ ถึง 9% อีกด้วย
อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยู่ใกล้รังสีมือถือ
อสุจิ เป็นอันตราย ถ้าอยู่ใกล้รังสีมือถือ
หรือเราจะสรุปได้ว่า ยิ่งใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยเท่าไหร่ คุณภาพของเกณฑ์เหล่านี้ยิ่งลดลงเท่านั้น นั่นเอง เพราะคนเราใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้คิดถึงผลพวงที่อาจเกิดตามมา ซึ่งบางครั้งส่งผลร้ายถึงขั้นทำให้เป็นหมัน แม้เรื่องนี้ยังต้องมีการพิสูจน์กันต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า โทรศัพท์มือถือส่งผลอย่างมหาศาลเพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ยุคนี้ไปแล้ว จะให้เราหยุดใช้งานก็คงลำบากและยากที่จะเป็นไปได้
เราจึงขอนำเสนอวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงรังสีของคลื่นมือถือมาฝากกันครับ วิธีที่แก้แบบง่ายไม่ลำบากอะไรสำหรับหนุ่มเราก็คือ ไม่ควรหนีบมือถือที่เอว เพราะอสุจิจะลดปริมาณและความไหวลง ถ้ามันจำเป็นจะต้องเก็บจริงๆ ผมแนะนำให้หันหน้าจอมือถือเข้าตัวเราครับ เพราะการที่หันด้านหน้าจอเข้ามันจะช่วยลดปริมาณรังสีได้บ้าง และที่สำคัญ แลปท้อปก็ไม่ควรวางบนตักเวลาใช้ด้วยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ศัตรูในคราบมิตรที่ชื่อว่า เหล้า


ศัตรูในคราบมิตรที่ชื่อว่า “เหล้า”
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อรับชมและฟัง ในรูปแบบ Photo Slide Show
      
       วันเข้าพรรษาเวียนมาถึงอีก ครั้งหนึ่งแล้ว หลายคนใช้โอกาสนี้ในการลด ละ เลิก เหล้า ในขณะที่อีกหลายคนยังคงมองไม่เห็นโทษของการดื่มเหล้า บางคนเห็นเหล้าเป็นเพื่อน อาศัยเหล้าแก้เหงา อาศัยความมึนเมากลบเกลื่อนความทุกข์ แต่ลืมไปว่าพอสร่างเมาก็ต้องกลับสู่ชีวิตจริง วันนี้จึงถือโอกาสวันเข้าพรรษามาบอกเล่าถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
      
       ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.ระบุว่า เมื่อเราดื่มเหล้าเข้าไป แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่จะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและเข้าสู่กระแสเลือดซึ่งจะสามารถตรวจ พบแอลกอฮอล์ในเลือดได้ภายในเวลาเพียง 5 นาทีหลังจากเริ่มดื่ม ก่อนจะส่งต่อไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ ของเหลวทุกแห่งในร่างกาย และอวัยวะต่างๆ ภายในเวลา 10-30 นาที และส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้แก่
      
       - ช่องปากและลำคอ
       เกิดอาการระคายเคืองในช่องปากและลำคอ อย่างที่เรียกกันว่า เหล้าบาดคอนั่นเอง
      
       - ผิวหนังและหลอดเลือด
       หลอดเลือดจะขยายตัวเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้หน้าแดง ตัวแดง แต่บางคนอาจมีอาการเส้นเลือดหดตัว ทำให้หน้าซีด ซึ่งมีอันตรายต่อชีวิตมากกว่า
      
       - กระเพาะอาหาร
       โรคที่พบบ่อยในหมู่นักดื่ม คือ โรคกระเพาะ แอลกอฮอล์ในระดับความเข้มข้นต่ำจะกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะและลำไส้ ขณะที่แอลกอฮอล์ในระดับความเข้มข้นสูง จะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน เมื่อดื่มจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นสีดำ อุจจาระดำ บางรายจะพบการฉีกขาดของเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งเกิดจากการอาเจียนอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะอาเจียนมีเลือดปนออกมาบ่อยๆ อาจเสียเลือดมาก ต้องรักษาโดยผ่าตัดเย็บรอยฉีกขาดของเยื่อบุดังกล่าว
ศัตรูในคราบมิตรที่ชื่อว่า “เหล้า”
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       - หัวใจ
       หัวใจจะถูกกระตุ้นให้สูบฉีดโลหิตเร็วขึ้น ทำงานหนักขึ้น ในระยะยาวจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจแปรปรวน เมื่อหัวใจทำงานหนักขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจจะเริ่มหนาขึ้น เกิดโรคหัวใจโต มีอาการหัวใจวายหรือหัวใจล้มเหลวตามมาในที่สุด
      
       - เซลล์
       การไหลเวียนของเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายจะเร็วขึ้น เซลล์ทุกเซลล์จะทำงานไวขึ้นกว่าปกติจนเกินความจำเป็น ทำให้การทำงานของอวัยวะแปรปรวนไปจากปกติในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ต่อมาฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะกดการทำงานของเซลล์ และทำลายเซลล์ไปในที่สุด
      
       - สมอง
       แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์สมองขยายตัว เกิดอาการที่เรียกว่า สมองบวม นานเข้าจะเกิดการสูญเสียของเหลวในเซลล์สมอง เซลล์สมองลีบเหี่ยว เสื่อม และตายลง จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากสุรา จะพบภาวะเนื้อสมองลีบเหี่ยว มีสีซีดจาง เห็นได้อย่างชัดเจน
      
       - ตับ
       ตับเป็นอวัยวะที่ได้รับพิษจากแอลกอฮอล์มากที่สุด เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีไขมันเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดการคั่งของไขมันในตับซึ่งนำไปสู่อาการตับอักเสบ ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น เมื่อเซลล์ตับตายลงถึงระดับหนึ่ง จะมีการสร้างพังผืดขึ้นที่บริเวณนั้น ลักษณะคล้ายแผลเป็น ทำให้เนื้อตับที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งตัวขึ้น เกิดอาการที่เรียกว่า “ตับแข็ง” ในที่สุด การสูญเสียเซลล์ตับเป็นการสูญเสียอย่างถาวร ไม่มีการสร้างขึ้นทดแทน ความรุนแรงของโรคตับแข็งจึงขึ้นอยู่กับปริมาณของเนื้อตับที่สูญเสียไป ยิ่งเนื้อตับถูกทำลายมากเท่าไร โอกาสที่จะเสียชีวิตก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
      
       - ระบบอวัยวะ
       แอลกอฮอล์ในเหล้าทำให้เกิดพิษต่อระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกาย ตั้งแต่ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระบบประสาทซึ่งทำให้ขาดการควบคุม ระบบสืบพันธุ์ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง ทำำให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วขึ้น คนที่ดื่มจัดจึงแก่เร็ว
      
       นอกจากผลต่อร่างกายแล้ว แอลกอฮอล์ยังส่งผลต่อระดับเชาว์ปัญญาและจิตประสาทอีกด้วย โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาและสมาคมป้องกันปัญหาจากสุราแห่งประเทศไทย หรือ สปส.ระบุถึงงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่อายุยัง น้อย คือในช่วงอายุ 20-29 ปี จะทำให้ผู้ดื่มมีระดับเชาว์ปัญญาหรือไอคิวต่ำลง เกิดเชาว์ปัญญาเสื่อมมากกว่ากลุ่มที่เริ่มดื่มในช่วงอายุอื่นๆ ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดความเสื่อมของสติปัญญา ก็คือ ชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วิธีการดื่ม การมีพ่อแม่เป็นนักดื่ม และมีอาการทางจิต
      
       จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทางจิตในแต่ละประเทศ มีสาเหตุมาจากสุรา สารพิษที่เกิดจากการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายจะทำลายสารเคมีในสมองที่ช่วย ให้คนเรารู้สึกสงบสุข คนติดเหล้าจึงมักมีจิตใจและอารมณ์อ่อนไหว ความอดทนต่อความเครียดหรือภาวะกดดันลดน้อยลง ขาดสมาธิ และทำให้บุคลิกภาพเสื่อมโทรม
      
       สมองส่วนนอก (Cortex) ของคนที่ติดเหล้าเรื้อรังจะฝ่อลีบ ทำให้เกิดอาการเสื่อมทางจิต โรคจิตจากการดื่มมีหลายอาการและมักจะรักษาให้หายขาดยาก ได้แก่ โรคประสาทหลอน โรคหวาดระแวง โรคความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า โรคหวาดกลัวผิดปกติ ฯลฯ
      
       อาการทางจิตที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภาวะตื่นกลัวที่เรียกว่า Panic Disorder ซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้แก่ อาการผิดปกติของหัวใจ กระเพาะอาหาร และระบบประสาท
      
       แอลกอฮอล์ยังไปกดการทำงานของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ควบคุมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ จนสามารถก่อพฤติกรรมรุนแรงที่สร้างความเดือดร้อนและอันตรายต่อตนเองและผู้ อื่นได้โดยง่าย
      
       ที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการ ก็คือ การดื่มแล้วขับทำให้สถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนพุ่งสูงขึ้น หน่วยจัดการความรู้เพื่อถนนปลอดภัยและศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุถึงผลวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า แอลกอฮอล์ทำลายความสามารถในการขับขี่พาหนะในด้านต่างๆ ได้แก่ ทำให้ประมาท ทำให้การมองเห็นแคบลง มัวลง เห็นภาพซ้อน ผู้ขับขี่จึงรับรู้ต่อความเคลื่อนไหวรอบตัวได้น้อยลง และยังทำให้การสั่งการของสมองไปยังกล้ามเนื้อช้าลง เมื่อคับขันจึงอาจแตะเบรกได้ช้ากว่าปกติ และหักรถหลบหลีกได้ช้ากว่าปกติ อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นเสมอ
      
       ขณะที่งานวิจัยที่ว่าการดื่มเหล้าแต่พอประมาณ วันละ 1-2 แก้ว ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและทำให้อายุยืนขึ้น ก็ยังมีหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับงานวิจัยดังกล่าว โดยชี้ว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้ และแม้ว่าการดื่มจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้จริง แต่ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆ เช่น โรคตับ โรคมะเร็ง ฯลฯ
      
       ที่สำคัญ การดื่มแต่ “พอประมาณ” สำหรับนักดื่มนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และพอประมาณสำหรับคนหนึ่ง อาจมากไปสำหรับอีกคนหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไปว่า แค่ไหนถึงจะกำลังดี
      
       ดังนั้น คำแนะนำก็คือ สำหรับคนที่ดื่มหนักอยู่แล้ว จะเป็นการดีหากลดการดื่มลงมาเหลือแค่วันละ 1-2 แก้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ดื่ม ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหันมาดื่ม เพราะยังมีอีกหลายวิธีที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและช่วย ให้อายุยืนได้
      
       สำหรับคนที่ยังมองไม่เห็นพิษภัยของสุรา คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกให้ลด ละ เลิก เพราะจะอย่างไรเสีย บรรยากาศในวงเหล้าก็เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานหากเป็นไปในทางบวก หลายคนได้พบปะกระชับมิตร ได้แลกเปลี่ยนความคิดดีๆ ในวงเหล้า แต่ทุกสิ่งควรเป็นไปตามหลักทางสายกลาง หากดื่มหนักเกินไปก็ย่อมเกิดโทษดังที่ได้กล่าวแล้ว
      
       

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ....มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา

 ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ...มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา
 

ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ
มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา
 

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่



บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา
มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย
เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ
จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว

ทำความดีให้เป็นที่อยู่ของจิต 

ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค
คือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี
ไม่ใช่เวลาใกล้จะตาย จึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล
เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด
เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้
เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะระลึกได้
เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล
ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใดๆ แล้ว
แต่ก็ดีไปอย่างเหมือนพระเทวทัต ทำกรรมจนถูกแผ่นดินสูบ
เมื่อลงไปถึงคางจึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ขอถวายคางเป็นพุทธบูชา
พระเทวทัตยังมีสติระลึกถึงได้ จึงมีผลดีในภายภาคหน้า

ความดีเราทำเองดีกว่า

แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้วจึงมาขอส่วนบุญ
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอันตรายแม้พระพุทธรูป แผ่เมตตาให้ไปได้รับหรือไม่ก็ไม่รู้
สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำของเรา ได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปิติ อิ่มเอิบใจเท่านั้น
ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ กายก็เป็นเหตุอันหนึ่ง วาจาก็เป็นเหตุอันหนึ่ง
ใจก็เป็นเหตุอันหนึ่ง ทางของบุญหรือบาปเหล่านี้มีอยู่ในตัวของเราเอง ไม่ได้อยู่ที่ไหน
เราทำเอง สร้างเอง อย่ามัวมั่วอดีต เป็นอนาคต มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็น "ธรรมดา" 

ความดีต้องทำในปัจจุบัน 

สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว เราไม่สามารถไปตัด ไปปลงมันได้อีกแล้ว
สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดีมัน ก็ดีไปแล้ว ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว
ถ้ามันชั่วมันก็ชั่วไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เช่นกัน
อนาคตยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง เราก็ยังไม่รู้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร
อย่างมากก็เป็นแต่เพียงการคาดคะเนเอาเอง ว่าควรเป็นยังงั้น เป็นยังงี้
ซึ่งมันอาจจะเป็น ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคะเนก็ได้
ปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริง ได้สัมผัสจริง
เพราะฉะนั้นความดีต้องทำในปัจจุบัน ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี
ต้องทำเสียในปัจจุบันที่เรายังมีชีวิตอยู่
เราต้องการความดี ก็ต้องทำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้
ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นไปในปัจจุบันนี้.....
ที่มา...ธรรมจักร
คัดลอกจาก..
. dharma-gateway


วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เติมสัมพันธ์รักให้เต็มเสมอ ด้วยการกอด

เติมสัมพันธ์รักให้เต็มเสมอ ด้วยการกอด

ควรกอดกันที่ไหน เมื่อไหร่ถึงควรจะกอด ?? รูปที่ 1 

อยากรู้ไหมว่า นอกจากกอดกันในขณะร่วมรักกันแล้ว เรายังสามารถกอดกันในโอกาสไหนได้อีกบ้าง ??
กอดระหว่างแช่ในน้ำตอนอาบน้ำด้วยกัน แค่นึกภาพตามก็รู้แล้วว่างานนี้จบลงที่ไหนอย่างไร หรือจะกอดเธอหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็โอนะ กลิ่นตัวหอมๆ มันชวนดมนี่หน่า รับรองเธอไม่ว่าอะไรคุณหรอก
กอดกันบนเตียงก่อนที่คุณจะหลับในแต่ละวัน ข้อนี้เบสิกที่สุด แต่ผู้ชายก็มองข้ามได้ง่ายที่สุดเช่นกัน หรือจะให้ดูโรแมนติกก็ต้องกอดกันใต้ผ้าห่มขณะดูดาวยามค่ำคืน มั่นใจได้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบ แต่ถ้าหาโอกาสไปดูดาวกันยาก เริ่มต้นที่โอบกอดหวานใจขณะที่อ่านหนังสือด้วยกันไปพลางๆ ก่อนก็ได้
กอดขณะต่อแถวเข้าคิวซื้อตั๋วหนังหรือตั๋วคอนเสิร์ตก็ไม่เลว เพียงแค่คุณต้องทนสายตาของประชาชีรวมตัวหน่อยเท่านั้นเอง พอเข้าไปในโรงหนังแล้วก็อย่าพลาดที่จะกอดขณะที่ดูหนังด้วยกัน ดูสวีทวี๊ดวิวดี

กอดเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดกับอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้เขาหรือเธอรู้สึกดีขึ้น เหมือนในหนังในละครที่พอนางเอกโวยวายมากๆ แล้วพระเอกดึงตัวมากอดเท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็สงบลง… ลองดู ไม่ต้องเป็นพระเอกก็ทำได้
กอดกันก่อนอีกฝ่ายจะไปทำงานหรือกอดกันตอนที่ได้เจอกันก็น่ารักดี คู่รักหลายๆ คู่ทำกันประจำกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคย บอกได้แค่ว่าต้องลอง แล้ววันนั้นทั้งวันคุณจะทำงานอย่างมีความสุข
กอดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็ทำให้เซอร์ไพรส์ได้ดีเหมือนกัน หรือจะกอดตอนที่เธอทำอะไรสุดประทับใจให้คุณก็ได้ แถมหอมแก้มหรือจูบอีกนิดหน่อยก็ได้ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ และรับรองได้ว่าถ้าคุณลงมือทำไปแล้วจะได้ใจและกายของเธอกลับมาเป็นเครื่องตอบแทนแน่นอน

ที่มา : FHM.IN.TH

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

บุหรี่เมนทอลทําให้วัยรุ่นสูบบุหรีมากขึ้น

บุหรี่เมนทอลทำให้วัยรุ่นสูบบุหรี่มากขึ้น

Menthol-Cigarettes
งานวิจัยชิ้นใหม่กล่าวว่า วัยรุ่นผู้ใช้บุหรี่เมนทอลนั้นสูบบุหรี่ต่อวันมากกว่าผู้สูบคนอื่นที่สูบบุหรี่ที่ไม่มีส่วนผสมของเมนทอล การค้นพบจาก Propel Centre for Population Health Impact ที่มหาวิทยาลัย Waterloo นั้นถือเป็นครั้งแรกที่บุหรี่เมนทอลได้ถูกเชื่อมโยงโดยตรงเข้ากับการเสพติดนิโคตินที่มากขึ้นในหมู่วัยรุ่นที่แคนาดา
“ความน่าดึงดูดของบุหรี่เมนทอลในหมู่วัยรุ่นนั้นเกิดขึ้นความเข้าใจที่ว่ามันมีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ปกติ รสมินต์นั้นเป็นตัวปกปิดความอันตราย แต่ในความจริงแล้วมันก็มีความอันตรายไม่ต่างกับบุหรี่ที่ไม่แต่งกลิ่นอื่นๆเลย” Sunday Azagba, นักวิทยาศาสตร์ผู้นำการวิจัยกล่าว
ตัวงานวิจัยที่ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Causes and Control นั้นพบว่าผู้ใช้บุหรี่เมนทอลนั้นสูบบุหรี่ 43 มวนต่อสัปดาห์โดยประมาณ เกือบจะเป็นสองเท่าของ 26 มวนต่อสัปดาห์ซึ่งเป็นตัวเลขของผู้สูบบุหรี่ปกติ งานวิจัยยังได้พบด้วยว่าผู้สูบบุหรี่เมนทอลนั้นมีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่ต่อไปในปีถัดไปมากเป็นสามเท่าด้วยเช่นกัน
ถึงแม้อันตรายต่อสุขภาพที่เกี่ยวกับการใช้ยาสูบที่จะมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดีก็ตาม เกือบหนึ่งใน 10 ของนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่ 4 ถึง 6 ในแคนาดานั้นเป็นผู้สูบบุหรี่ และงานวิจัยก็แสดงให้เห็นว่าประชากรส่วนใหญ่ของผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่มาเป็นระยะเวลานานนั้นได้เริ่มสูบบุหรี่ในช่วงวัยหนุ่มสาวเช่นกัน  ซึ่งการสำรวจวัยรุ่นผู้สูบบุหรี่นั้นพบว่า 32% ของผู้สูบบุหรี่ในชั้นมัธยมนั้นสูบบุหรี่เมนทอลอยู่
“ในตอนนี้มีความกังวลที่มากขึ้นว่าจำนวนผู้สูบบุหรี่เมนทอลที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่วัยรุ่นนั้นอาจจะขัดขวางพัฒนาการการป้องกันการสูบบุหรี่ในปัจจุบันเพราะหลายคนได้เริ่มทดลองสูบบุหรี่กับบุหรี่เมนทอลแทนบุหรี่ที่ไม่แต่งกลิ่นอื่นๆ” Azagba กล่าว
เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2010 นั้น แคนาดาให้เริ่มการห้ามขายบุหรี่แต่งกลิ่นส่วนใหญ่ ซิการ์ขนาดเล็กและกระดาษมวนต่างๆแล้ว แต่ยังไม่มีการห้ามบุหรี่เมนทอล ซึ่ง Alberta นั้นเป็นเพียงเมืองเดียวที่ได้รวบรวมบุหรี่เมนทอลลงไปในประเภทบุหรี่ที่ห้ามขาย แม้จะยังไม่มีการบังคับใช้ก็ตาม ในเดือนเมษายนปี 2014 นั้น สหภาพยุโรป หรือ EU ได้เริ่มปรับใช้กฏใหม่ซึ่งจะทำให้ 28 ประเทศในยุโรปห้ามขายบุหรี่เมนทอลได้
“การค้นพบของเราชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นที่สูบบุหรี่เมนทอลนั้นเป็นปัญหาร้ายแรง” Azagba กล่าว “เป็นที่แน่ชัดว่าเราต้องการกฏหมายใหม่ที่จะสามารถห้ามให้มีการขายบุหรี่ที่มีการแต่งกลิ่นหรือรสชาติได้”


ที่มา : http://www.sciencedaily.com/releases/2014/06/140620120450.htm

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปีที่แล้วมีคนไทยอยากตายกี่คน

ดูเป็นคำถามที่ไม่เป็นมงคลนัก แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เราน่าจะรู้ไว้
จากการรวบรวมข้อมูลของกรมสุขภาพจิตพบว่า ในปีที่แล้ว มีคนไทยเสียชีวิตเนื่องจากการฆ่าตัวตายจำนวน 3,458 คน เป็นผู้ชาย 2,703 คน ผู้หญิง 755 คน จากจำนวนประชากรเกือบ 63 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2549 นั้นพบว่ามีจำนวนลดลงอยู่นิดหน่อย
ปีที่แล้วมีคนไทยอยากตายกี่คน รูปที่ 1
กราฟแสดง 10 จังหวัดแรกที่มีอัตราการฆ่าตัวตาย (ต่อแสนคน) สูงที่สุดในปี 2550 
ที่มา : โครงการช่วยเหลือผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
น่าแปลกว่าในการสำรวจของกรมสุขภาพจิตพบว่าจังหวัดที่มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จมากที่สุดคือจังหวัดลำพูน คิดเป็นอัตราส่วนต่อประชากรแสนคนนั้นสูงถึง 16.26 (ดูกราฟ) ซึ่งเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ มีอัตราส่วนเพียง 2.14 เท่านั้น

โดย 10 อันดับแรกของการฆ่าตัวตาย เป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคเหนือมากถึง 7 จังหวัด โดยจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ติดอันดับจังหวัดที่มีประชากรฆ่าตัวตาย 2 อันดับแรกของประเทศไทยมาเกือบ 10 ปี สาเหตุการฆ่าตัวตายของคนไทยส่วนมากมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยกลุ่มอายุที่มีการฆ่าตัวตายมากที่สุดอยู่ในช่วง 30-39 ปี
อย่างที่เรารู้ๆ ว่า ประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลกคือ ญี่ปุ่น แต่มีรายงานพบว่าทางตอนใต้ของประเทศอินเดียมีอัตราส่วนการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นมากเพิ่มมากขึ้นที่สุดในโลกและพบว่าเป็นประชากรหญิงมากกว่าชายซึ่งไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก คือพบว่าอัตราส่วนต่อประชากร 100,000 คนมีวัยรุ่นหญิงเสียชีวิต 148 คน ในขณะที่วัยรุ่นชายนั้นมี 58 คน โดยนักวิจัยพบว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากสภาพบีบคั้นทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องศาสนาที่ให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าหญิง 
หากใครกำลังมีปัญหา ไม่มีทางออก โทรฯไปปรึกษากับสายด่วน สุขภาพจิต 1667 หรือเข้าไปดูงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ที่ www.suicidethai.com

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ความรักในที่เทื่ยวกลางคืน มีจริงหรือ

ความรักในที่เที่ยวกลางคืน มีจริงหรือ

ผู้หญิงเที่ยวกลางคืน เป็นรักแท้ของเราได้เหรอ ?? รูปที่ 1

หลายคนที่ยังเป็นโสดอยู่มักจะสงสัยว่า การที่จะหาแฟนดีๆซักคนที่จะเข้ามาเป็นคู่ชีวิต เข้ามาเป็นแม่ของลูก เข้ามาเป็นศรีภรรยา เข้ามาอยู่กับเราแบบเป็นเรื่องเป็นราวนั้น ผู้หญิงดีๆซักคนนั้น ควรจะไปหาได้ที่ไหน หลายคนออกปากว่า ที่ไหนก็ได้ยกเว้นผู้หญิงที่ไปเจอในที่เที่ยวกลางคืน เพราะสำหรับสาวใดที่เที่ยวกลางคืนเป็นประจำนั้น ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนมักจะลงความเห็นว่า เป็นสาวใจแตก มั่วผู้ชาย กินเหล้าเมายา ไร้อนาคต บางคนก็ถึงกับตีราคาต่ำไปขนาดทำไซด์ไลน์หรือว่าเป็นแกงกะหรี่เลยเถิดอะไรไปกันขนาดนั้นทีเดียว สำหรับตัวผมเองนั้นมองไปก็เห็นว่าจริงและไม่จริงผสมกันอยู่ และการจะเอาที่เที่ยวหรือนิสัยในการเที่ยวว่ามีแสงแดดรึเปล่าก็อาจจะเป็นดัชนีชี้วัดกันไม่ได้ขนาดนั้นว่า ผู้หญิงที่เจอในที่เที่ยวกลางคืนนั้นจะเป็นคนไม่ดีเสมอไป แต่ผมจะแยกประเภทของการเที่ยวออกมาเป็นหลายลักษณะ แล้วพวกคุณๆ ลองไปวิเคราะห์กันดูแล้วกัน

ผู้หญิงเที่ยวกลางคืน เป็นรักแท้ของเราได้เหรอ ?? รูปที่ 2

สาวประเภทแรกคือ “เที่ยวกลางคืนเพราะโสด”
ในสังคมปัจจุบันนี้การหาผู้ชายดีๆ ซักคน อย่าว่าแต่ดีเลยเอาเป็นว่าหาผู้ชายพอใช้ได้ซักคน นั้นยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร อันนี้สาวๆเค้าบอกมาผมไม่ได้พูดเอง ก็เลยไม่รู้ว่าการหาผู้ชายดีๆนั้นมันจะยากขนาดไหน ส่วนตัวแล้วผมก็ว่าตัวเองพอใช้ได้ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะคัดผมไว้ ถ้าเป็นทหารก็พวก ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง คือหาว่าเลวมาก ก็เลยจบๆกันไป สาวเจ้ายังนิยมบอกต่อไปอีกว่า ผู้ชายถ้าหน้าตาดีล่ำบึ๊ก ให้ตีไว้ก่อนว่าเป็นเกย์ และถ้าไม่เป็นอีกเดี๋ยวก็เป็นเพราะจะมีพวกเกย์รุ่นใหญ่มาหว่านล้อม โอ้โลมปฏิโลมให้ไปเข้าลัทธิ ไม่ใช้เงินฟาดก็ใช้กำลังบังคับ ไม่นานนักก็เสร็จเก้ง อย่าไปเสี่ยง เหลือแต่พวกหน้าตาพอดูได้ ซึ่งพวกนี้ก็ต้องดูตัวจริงเสียงจริงกันให้เห็นไว้ก่อน อย่าไปเชื่อพวก social network ต่างๆเพราะโปรแกรมรูปสมัยนี้ตบแต่งหลอกกันง่ายเหลือเกิน ไม่เว้นกระทั่งผู้ชายที่พยายามหามุมตัวเองที่ดูดีที่สุด ถ่ายออกมาราวกับ ณ เดช กันทุกคนไปแต่พอเจอตัวจริงที่ไหนได้โก๊ะตี๋ นี่หว่า ซึ่งสถานที่ที่จะมีผู้ชายไปยืนรวมตัวกันกรุ่มกริ่มมากมายก็หนีไม่พ้นพวกผับต่างๆ
ผับนี้ก็ต้องแยกประเภทกันออกไปอีกนะครับ ถ้าเป็นสมัยนี้ฮิตๆ ก็เห็นจะเป็นพวก wine and dine คือพวกร้านไวน์ต่างๆที่คนมักจะไปนั่งเล่นโชว์รสนิยม ร้านพวกนี้ไปทานข้าวได้มีเพลงฟัง ไปกันแต่หัวค่ำ กลับไม่ดึกนัก คนที่ไปนั่งอยู่ตามร้านพวกนี้ถือว่าไม่ใช่คนเที่ยวอะไรหนักหนาพอใช้ได้ แต่ถ้าเป็นพวกผับที่เปิดเคลียร์ตำรวจหลังตีสอง แล้ว พวกที่ดิ้นอยู่ในนั้นขอให้เหมาไว้ก่อนว่าเป็นพวกเจตนาไม่ดี คือพวกเมาแล้วปิดแล้วก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน ถ้าไม่ขี้เหล้าขนาดหนักก็เป็นพวกสู้ชีวิต สมองหยุดคิดแล้วให้กะเจี๊ยวพาเที่ยว จนไม่เหลืออะไรแล้วถึงจะยอมกลับบ้าน ดังนั้นเราจะเห็นได้จากสถานที่เหมือนกันว่าใครมีนิสัยเป็นอย่างไร
สาวๆที่เที่ยวเพราะโสดนี้ผมเห็นว่ามีเยอะ จากการทำร้านผับของตัวเอง พวกคุณเธอจะแวะมาเฉิดฉาย กรีดกราย มาเป็นกลุ่มสาวๆให้หนุ่มๆมองตาเป็นมันแต่ก็ไม่คุยกับใครง่ายๆ จนเจอคนที่ถูกใจก็จะมานักเดทกันอีกซักพัก และก็จะหายไป สาวประเภทนี้จริงๆแล้วเป็นคนดี แต่ที่มาเพราะความจำเป็นคือเพราะโสด แต่พอได้แฟนไปแล้วเป็นตัวเป็นตนก็จะหายไปจากวงการ เลิกเที่ยว แถมยังห้ามแฟนตัวเองเที่ยวอีกต่างหาก เพราะว่ากลัวจะไปเจอใครเสมือนตนเข้าให้
สาวที่เที่ยวเพราะโสดนี้ผมถือว่าโอเค ไม่นับว่าเป็นสาวกลางคืนแต่อย่างใด ถ้าเข้ากันได้ก็สามารถจับมาทำแฟน เดินอวดชาวบ้านได้ไม่ผิดกติกา

ประเภทที่สองถัดมา “เที่ยวเพราะ วัย”
คือจะเป็นสาวที่มีอายุอานามประมาณ 20-25 คือเพิ่งเริ่มเข้าผับได้อย่างถูกกติกา ทุกคนที่เคยผ่านชีวิตวัยรุ่นในช่วงนี้มาก็คงทราบดีว่า จะมีช่วงอายุหนึ่งที่มักจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง บ่อยมากเนื่องจากเริ่มเป็นช่วงอายุที่ถูกกฏหมาย พ่อแม่เริ่มปล่อยบ้างเพราะเห็นว่าโตแล้ว สาวที่อยู่ในช่วงอายุนี้เสมือนนกน้อยที่เพิ่งจะได้บินออกไปสู่โลกกว้าง ถ้าเจอคนดีก็ดีไป ถ้าเจอคนไม่ดีก็ง่ายต่อการพาไปเสียคน
ส่วนตัวผมแล้วเป็นคนขี้สงสาร เห็นสาววัยนี้เมาอยู่ไม่ค่อยได้ จะต้องพยายามเข้าไปประคับประคอง กลัวใครมาพาเค้าไปเดินชีวิตในทางที่ผิดทาง การเข้าไปจีบสาวประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่เป็นเรื่องที่ดี คล้ายๆกับการไปช้อนหุ้นมีอนาคต ถ้าขึ้นก็เก็บไว้ ถ้าลงก็ปล่อยไปไม่เสียหาย
สาวเที่ยวที่อยู่ในช่วงอายุประมาณนี้ ผมมักจะยังไม่นับว่าเป็นเด็กเที่ยวเต็มตัวนัก ถ้ามาเป็นกลุ่มเพื่อนสังสรรค์เฮฮาและกลับบ้านกลับช่อง ตามเวลา ก็ให้ถือว่าเป็นช่วงวัยที่เค้าสนุกสนาน สามารถเอามาทำเป็นแฟนเป็นตัวเป็นตนได้เหมือนกัน อยู่ที่เราว่า เอาอยู่รึเปล่า

ประเภทที่สาม เริ่มหนักขึ้นอีกนิดคือ “เที่ยวเพราะนิสัย”
สาวประเภทนี้ดูออกยากกับประเภทสุดท้าย คือถ้าดูไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแล้วจะคล้ายๆเด็กเที่ยว เป็นคนเฮฮา ถามมาตอบไป อยากเต้นเต้นด้วย อยากคุยคุยด้วย โอบได้แต่อย่านาน สนุกสนานและไม่กลัวผู้ชาย คือเป็นคนชอบสนุก ชอบเสียงเพลง หรืออาจจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการต้องใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์แบบนี้ คืออาจจะอยู่ในแวดวงดีไซน์เนอร์ที่ต้องใช้การสังสรรค์พบปะพบเจอผู้คน หรือเป็นพวกสายประชาสัมพันธ์ พีอาร์ ที่ต้องเจอคนเยอะเข้าไว้สำหรับหน้าที่การงาน สาวประเภทนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่ผมรับรองว่ารู้ทันคนและไม่ได้แอ้มง่ายๆ
ส่วนตัวแล้วมีรุ่นน้องที่จัดว่าอยู่ในประเภทนี้อยู่หลายคน หน้าตาน่ารักเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของทั้งไทยและต่างประเทศ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผล คือซ้อมจีบได้แต่เค้าไม่ให้เอาจริง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นนกแก้วนกขุนทองพูดจาเรื่อยเปื่อยไป ได้แต่แทะโลมทางวาจาพอชื่นใจไปวันๆ ถ้าคุณเข้าใจเธอและรับกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบนี้ได้ ผมรับรองว่าก็เป็นชีวิตคู่ที่มีสีสันอยู่เหมือนกัน

ประเภทสุดท้าย “เด็กเที่ยว”
ประเภทนี้ไม่มีอะไรมาก และก็เป็นประเภทที่ผู้ใหญ่ในโบราณกล่าวถึงคือ เป็นพวกเด็กติดแสงสี เอามันวันนี้เข้าว่า เริ่มอุ่นเครื่องที่นึงก่อน และก็ไม่กลับ ต้องแวะไปต่ออีกที่หนึ่งจนเช้าถึงจะกลับ สาวประเภทนี้คือไปไหนไปกัน และไม่ค่อยโผล่มาเดี่ยวๆจะมีกระเทยหรือเพื่อนอีกคนสองคนมากันเป็นกลุ่มเสมอ
สาวประเภทนี้พูดเก่ง ดื่มเก่ง เต้นเก่ง ลีลาเย้ายวน ฉอเลาะ ไปไหนไปกัน ว่าไงก็ได้ พวกป๋าแก่หรือพวกผู้ชายขวัญอ่อน เจอแล้วหลง เจอกันวันสองวันแล้วก็มีอะไรกัน แต่ดันนึกว่าตัวเองฝีมือ ไม่ได้คิดว่าเด็กเค้าง่ายอะไรก็ได้ จับทำเมีย ทำแฟนหรือเอามาเลี้ยงดูหมด การเป็นแฟนกับเด็กเที่ยวนั้นจะทำให้เสียบุคลิก ดูกลายเป็นตัวโง่ไปอย่างไม่น่าเชื่อ แต่หลายคนที่ไม่รู้ความก็มักจะทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่ก็เอาเค้าไปแล้วต้องรับผิดชอบ เป็นพวกรักคนง่าย ในหมู่สังคมผู้ชายพอเห็นหนุ่มใหม่เดินมากับสาวประเภทนี้แล้วก็มักจะซุบซิบชี้โบ้ยให้ดูกันว่า นี่แหละ หมูกลางคืน รายใหม่ โดนเด็กหลอกเข้าให้แล้ว แต่อย่าไปดูถูกไป
สาวเด็กเที่ยวพวกนี้ รู้ตัวอีกทีไปได้ผัวเป็นพวกอาเสี่ยแถวรัชดา กลายเป็นคุณนายใส่ทองพราวไปทั้งตัวก็มี หรือบางคนได้ไปเจอพวกเจ๊กใจถึงจากฮ่องกง บางคนเจอฝรั่งจากยุโรป กลับมาอีกทีพูดจาภาษาอังกฤษได้ ใช้เงินราวกับกระดาษก็มีถมไป สังเกตว่าพวกผู้ชายพวกนั้นเค้าไม่ถือประวัติ แค่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขเป็นใช้ได้ ก็มีให้เห็นกันอยู่ถมไป

ดังนั้นคุณจะเห็นได้ว่าการเจอใครซักคนในที่เที่ยวแล้วจะเหมาว่าไม่มีทางมีรักแท้นั้น ก็ไม่อาจพูดได้เสมอไป ต้องลองแยกประเภทออกมาให้ถูก แต่เคราะห์ร้ายตรงที่ สามประเภทแรกนั้น เป็นพวกที่จีบไม่ง่ายถ้าซี้ซั้วเข้าไปเค้าอาจจะไม่คุยด้วยแต่สุดท้ายมักจะได้แต่เด็กเที่ยวติดมือกลับมา คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณล่ะครับว่าจะทำไง แต่ส่วนตัวผมแล้ว เวลาไปเที่ยวมองหาเด็กเที่ยวก่อนเลย เพราะสาวประเภทนี้แหละ ถึงอกถึงใจที่ซู๊ดดดดด

ที่มา : http://www.fhm.in.th

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 เคล็ดลับคลายความเหนื่อยล้า ปลุกพลังกลับมาอีกครั้ง


10 เคล็ดลับคลายความเหนื่อยล้า ปลุกพลังกลับมาอีกครั้ง
โพสต์เมื่อ :



10 เคล็ดลับคลายความเหนื่อยล้า (Momypedia)
โดย วิวรรณ

          เชื่อว่าคุณคงเคยนั่งดูทีวีอยู่แล้วก็ผล็อยหลับไป หรือกลับจากทำงานแล้วเหนื่อยหลับไปยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่า แล้วงัวเงียลุกขึ้นมาจัดการทุกอย่างค่อยไปนอนจริง ๆ ถ้าเกิดขึ้นบ่อย ๆ คงไม่ดีแน่ หาเคล็ดลับคลายความเหนื่อยล้ามาฝาก 10 ข้อค่ะ

           1. เข้านอนและตื่นให้ตรงเวลาทุก ๆ วัน ตัวเราจะได้เคยชินและไม่ไปง่วงในเวลาอื่น

           2. นอนให้ได้ประมาณ 8 ชั่วโมง หรือสังเกตดูตัวเองว่ากี่ชั่วโมงถึงพอ แล้วยึดเวลานั้นเป็นหลัก บางคนต้องการนอนมากหรือน้อยกว่าคนอื่น

           3. ถ้านอนไม่หลับให้หายใจเข้าออกยาว ๆ หรืออ่านหนังสือประเภทชวนง่วง เพื่อให้หลับง่าย คุณจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่นอนหลับยากแบบถาวร

           4. กินอาหารหรือของขบเคี้ยวทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มพลัง ถ้าปล่อยให้หิวหลายชั่วโมงจะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ให้กินอาหาร 3 มื้อแต่น้อย ๆ และขบเคี้ยวพวกผักผลไม้หรืออาหารมีประโยชน์อีก 2 มื้อย่อยระหว่างวัน





           5. ทำตัวให้มีสุขบ้าง เพราะความเครียด ความเศร้าเสียใจ ดูดพลังงานของเราไป คุณทำอะไรแล้วมีความสุขเพลิดเพลินช่วยให้หัวเราะหรือยิ้มได้บ้าง หาเวลาทำสิ่งนั้นบ่อยขึ้น

           6. งดดื่มชากาแฟ พวกชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มมีคาเฟอีน จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว หลับยาก ดื่มน้ำเปล่าดีกว่าค่ะ

           7. ลดน้ำหนักส่วนเกิน ถ้าเราปล่อยให้อ้วนมากเกินไป การเดิน วิ่ง หรือขึ้นลงบันไดของเราจะเปลืองพลังงานมากกว่าตอนที่เราตัวเบา เสียแรงเหนื่อยไปเปล่า ๆ

           8. อย่าออกกำลังกายก่อนนอนเพราะจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ร่างกายสดชื่น ไม่นึกอยากจะนอน

           9. หมั่นตรวจสอบความเครียดว่ามากไปหรือยัง พยายามลดความเครียดด้วยการออกกำลังกาย ทำโยคะ

           10. ปรึกษาคุณหมอ หากคิดว่าดูแลตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ยังไม่รู้สึกว่าจะหายจากความเหนื่อยล้าไปได้ คงต้องสาเหตุที่แท้จริงกันอีกทีค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

7 ขั้นทุรนทุรายเมื่อผุ้ชายอกหัก

7 ขั้นทุรนทุรายเมื่อผู้ชายอกหัก

จากหัวข้อ ก็ขอให้อย่าเกิดกับใครเลยครับ ชาว Men.mthai บางคนบอกผมไม่อกหัก เพราะผมชอบไปหักอกเขา 555 แต่ยังไงซะในชีวิตจริงมันคงมีสักครั้งแหละ ที่เราจะไม่สมหวังยิ่งรักแรกช่วงวัยรุ่นอกหักครั้งนั้นมันสร้างบาดแผลให้คุณกันขนาดไหนก็ไม่รู้ เฮ้อ! แล้วไอ้อาการต่างๆ ก็ตามเรามาเหมือในมิวสิควีดีโอสมัยก่อน จะรับมือมันยังไง หนุ่ม Men.mthaiที่ผ่านประสบการณ์รักมาช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ
ผู้ชายอกหัก กับอาการเหมือนคนใกล้ตาย รูปที่ 1
1 พอโดนครั้งแรก ช็อค ครับ ช็อค! 
พอเลิกกันปุ๊บ ไม่รู้มันเกิดอะไรที่ไปกระตุ้นต่อมอะไรให้เกิดอะดีนะรีนหลั่งมาเกินขนาด ทำให้เราปวดหัว เครียด บางคนปวดตามร่างกาย หมดเรี่ยวแรงกันเลย
ถ้ามีสติพอ เค้าให้เราออกกำลังกายพอประมาณ เช่น ออกวิ่ง ก็จะช่วยลดความตึงเครียด สรารแอนโดฟินจะขับออกมาและกำจัดเธอคนนั้นออกไปจากสมองคุณทีละน้อย

2 เข้าขั้นทุ-รน-ทุ-ราย

เพราะภาพเธอยังคงวิ่งวนเวียนอยู่ในหัว ปฏิกริยาทางเคมีในร่างกายทำให้คุณยังอยู่ในภะวังรักที่ยากจะสลัดออก จนสร้างภาพตอกย้ำอยู่ในสมองของคุณไม่หยุด ความว้าวุนทรมาน มันยากจะเกินทน บางคนยังพิรี้พิไร จะโทรหาเธอทั้งที่เธอสิ้นเยื่อใยกับคุณไปแล้ว โอยยย..เจ็บว่ะ

ถ้ามีสติพอ
 นัดเพื่อนเที่ยว รีบแพ็คกระเป๋าแล้วออกท่องเที่ยว ชวนเพื่อนกันออกไปเลย ช่วงเวลาที่คุณเริ่มหักดิบ มันจะมีเคมีที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น สมองคุณจะได้พัก ลองชวนเพื่อนเก่า เพื่อนสนิทของคุณไปด้วย จะได้ปลดปล่อยกันไปเลย

ชีวิต
หดหู่กันเลยทีเดียว
อาการอกหักที่ผ่านมาถึงสองขั้นแรก นั่นแสดงว่าคุณระงับเจ้าอะดีนารีนที่มันสูงขึ้นนั้นไปไม่ได้ มันเลยทำให้หัวใจคุณล้าและเต้นช้าลง คุณจะรู้สึกเหนื่อยล้า เพราะความดันในเลือดมันค่อยๆ ต่ำลงๆ น่าสงสารอ่ะ T_T
ถ้ามีสติพอ หาเพื่อนเลย ครับชวนกันสังสรรค์ตามประสาหนุ่มๆ กินมันเข้าไป ยิ่งถ้าใครกินเผ็ดได้ นักวิจัยเค้าบอกว่ากินแกงเผ็ดจะช่วยกระตุ้นหัวใจให้เต้นได้ตามจังหวะธรรมชาติแบบเดิม บางคนบอกพาเพื่อนไปเมากันเลยดีไหม อย่า อย่าครับ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เพราะแอลกอฮอลล์จะทำให้คุณรำพึงรำพันหนักกว่าเดิม แถมเพื่อนๆ อาจจะได้ฟังนิยายรักอกหักสุดช้ำหลายเที่ยว ทางที่ดี แค่เบียร์เย็นๆ สักกระป๋องก็พอ มันจะช่วยให้เลือดไหลเวียนในสมองได้ดีขึ้น ระวังอย่าเยอะเกินไปเดี๋ยวจะหนักกว่าเดิม
4 เครียดดด..ครับ เครียดด…!!!
สึนามิในใจคุณมันยังถ้าโถม อยากให้กูตายใช่ไหม..คุณจะตกอยู่ในภาวะนี้ถึงสามวันสามคืนไม่หลับไม่นอน แค่นี้ก็รู้สึกเครียดแทนจริงๆ นะ หากคุณยังไม่ปรับตัวแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ภูมิคุ้มกันตัวเองของคุณจะค่อยๆ อ่อนแอลง จนคุณกลายเป็นคนป่วยทั้งกายทั้งใจในที่สุด
ถ้ามีสติพอ ลองหันมาทำครัวดูดิ ฟังดูอาจจะเพี๊ยนๆ ซะหน่อย สร้างกิจกรรรมให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า แล้วลองทำอาหารกินเองเลย ยิ่งมีส่วนผสมของหอมหัวใหญ่ กับมะเขือเทศยิ่งดี เพราะมีสารควอเซติน ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น สารบางอย่างในมะเขือเทศช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดได้ด้วย
5 ทั้งโกรธ ทั้งแค้น
ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณระงับไม่ได้ความรักของคุณจะยังเหลือเยื่อใย อยู่อีกไหม และในที่สุดคุณก็จะกร่นด่าชะตากรรม หงุดหงิดเคียดแค้น ชิงชัง ดีไม่ดีจะพาลเอาคนข้างๆ โดนลูกหลงไปด้วย เนื่องจากฮอโมนความเครียดมันพุ่งสูงจนทำให้คุณมีพฤติกรรมก้าวร้าว
ถ้ามีสติพอ สมาธิ และปัญญา แบบพุทธเนี่ยแหละดี ทำให้คุณหาเหตุผลมาระงับอารมณ์ที่เชี่ยวกราดของคุณซะ การแน่วแน่กับสมาธิช่วยให้คุณหยุดคิดเรื่องที่คุณยังยึดติดกับอดีตร้ายๆ ในใจลงไปได้ ตั้งสติและให้เวลากับคนที่รักคุณ ไม่ว่าจะครอบครัว หรือเพื่อนฝูงที่ไม่เคยทิ้งคุณไป หรือจะมุ่งมั่นกับกิจกรรมบางอย่างอย่างมีสติ เช่นการออกกำลังจะชกกระสอบทราย จะวิ่ง จะว่ายน้ำ เอาให้เต็มที่ไปเลย จะได้ระบายความแค้นคุณออกไปให้หมด

6 อาการ  เ  ห ม่   อ                              
  ….
บางคนอาจจะรู้สึกเหมือนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เธอทิ้งเราไปแล้ว และยังย้ำคิดย้ำทำอย่างอาลัยอาวร ภาวะนี้ทำให้คุณไม่อยากอาหาร และเนื่องจากความตึงเครียดมานานมันทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการย่อยอาหารแย่ไปด้วย ยิ่งถ้าฟังเพลง ออฟ ปองศักดิ์ ขึ้นมาทีไร คุณจะอินกับเอ็มวีนั้นทันที ซึ่งมีความเสี่ยงกับการทำอะไรที่ไม่รู้ตัวได้ น่ากลัวจริงๆ
ถ้ามีสติพอ สูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอด เพื่อไล่ความเครียด และเรื่องราวต่างๆ ออกจากสมอง หายใจเข้าแล้วนับ 1-2-3-4-5-6-7-8แล้วค้างไว้ นับ 1-2-3-4 แล้วค่อยหายใจออกช้าๆ แล้วทำสมาธิ พยายามฝึกและกำหนดการหายใจ แล้วคุณจะรู้สึกหิว อยากกลับมาทานอาหาร ความกะปรี้กะเปร่าก็จะกลับคืนมา
เจ็บปวดรวดร้าว
เมื่อคุณไม่อยากกิน ไม่อยากนอน ไม่อยากสังคมโลก เหม่อลอยจมปลักกับความทุกข์ระทม ร่างกายก็จะหยุดตอบสนอง คุณจะรู้สึกคลื่นไส้ อยากจะอาเจียน เพราะน้ำตาลในเลือดมันสูงขึ้น สภาพทางจิตใจส่งผลต่อสภาพร่างกายของคุณจนศูนย์เสียความสมดุลย์และระบบต่างๆ ในการทำงานไม่เป็นปกติ

ถ้าเหลือสติพอ จริงอยู่ที่ตอนคุณมีเธออยู่คุณก็อาจตัดเพื่อนไปบ้างบางเวลา หรือบางช่วงกิจกรรมของชีวิต แต่พอคุณเฮิร์ทหนัก ก็ยิ่งทำให้คุณหดหู่ แม้ว่าคุณจะกลับไปหาสังคมเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อน เพราะสมองของคุณก็ยังคิดเรื่องเดิมๆ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงและครอบครัวที่รักคุณมากแค่ไหน อย่ารู้สึกแปลกแยก ขอให้คุณให้กำลังใจตัวเองและคิดถึงในแง่ดีว่าคุณจะกลับมาเป็นคนเดิมได้ สานสัมพันธ์กับคนต่างๆ ที่ยังรักเราได้ ไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัว เชื่ออยู่เสมอว่าคุณไม่โดดเดี่ยว ปลดปล่อยตัวเองออกมาให้เป็นอิสระ แล้วคุณจะพบว่าคุณได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะ(ใจตัวเอง)
สำหรับชาว Men.mthai ที่ใครตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ ขอเป็นกำลังใจให้พ้นช่วงเลวร้ายนี้ไปให้ได้ หรือถ้าใครเป็นเพื่อนที่มีเพื่อนอยู่ในภาวะอกหัก ก็ช่วยดูแลเพื่อนคุณด้วย เพราะเพื่อนย่อมไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว
                           เชื่อผมสิ! อกหัก ไม่ยักตาย

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

4 อ บํารุงสูขภาพสมอง (หัวใจและจิตใจ)

4 อ. บำรุงสุขภาพสมอง (หัวใจและจิตใจ)
“อะไรที่ดีต่อหัวใจ ย่อมดีต่อสมองเสมอ” คนทั่วไป มักให้ความสนใจต่อการป้องกันโรคหัวใจ เพราะเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน จึงเป็นที่ตระหนกและกล่าวขานกันมาก การป้องกันโรคหัวใจ (หลอดเลือดหัวใจตีบ) พึงปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องของ “4 อ.” ดังต่อไปนี้

บำรุงสมองและหัวใจ ด้วยหลัก 4 อ. รูปที่ 1

1. อาหาร หมั่นกินผักผลไม้ เมล็ดธัญพืช และเครื่องเทศ (เช่น พริก กระเทียม ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้) โดยกินเมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่ว ลูกเดือย) และกล้วย ซึ่งให้แคลอรี (พลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่) ประมาณวันละ ๑ กิโลกรัม กินผักและผลไม้ที่ไม่หวาน (ไม่ให้พลังงาน) ให้หลากหลายประมาณวันละครึ่งกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย
ควรกินโปรตีนจากปลาและเต้าหู้ (เมล็ดถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง) เป็นหลัก สามารถกินไข่ไก่วันละ ๑ ฟอง (ถ้าเคยตรวจพบไขมันในเลือดสูงควรลดไข่แดงลง) และนมพร่องไขมัน กินเนื้อเป็ดไก่ได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่ควรลดเนื้อแดง (ได้แก่ เนื้อหมูและเนื้อวัว)
ควรลดอาหารที่มีไขมันสูง ควรกินน้ำมันพืช (ได้แก่น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา น้ำมันมะกอก) แทนน้ำมันหมู และควรลดการบริโภคน้ำตาล น้ำหวาน และของหวาน
ควรเลือกกินอาหารที่หลากหลาย สะอาด ถูกหลัก และสามารถทำให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์พอดี อย่าผอมไปหรืออ้วนไป มีการขับถ่ายอุจจาระเป็นก้อนโตแต่นุ่มและขับถ่ายง่ายทุกวัน

 บำรุงสมองและหัวใจ ด้วยหลัก 4 อ. รูปที่ 2

2. ออกกำลังกาย หมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก เล่นฮูลาฮูป (เร็วๆ) เต้นรำจังหวะเร็ว เป็นต้น อย่างน้อย ๕ วันต่อสัปดาห์หรือวันเว้นวัน นานครั้งละ ๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย โดยให้รู้สึกมีเหงื่ออกนิดๆ และหัวใจเต้นเร็วขึ้น
ในแต่ละสัปดาห์ ยังควรออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ (เช่น วิดพื้น ยกน้ำหนัก) และแบบยืดเส้นยืดสาย (เช่น กายบริหาร รำกระบอง โยคะ รำมวยจีน) ประกอบเป็นครั้งคราว


3. อารมณ์ นอนหลับให้เพียงพอ (ประมาณวันละ ๖-๘ ชั่วโมง) หลีกเลี่ยงการทำงานหักโหม อดหลับอดนอน ทำงานอดิเรก (เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นดนตรี ร้องเพลง วาดภาพ อ่านหนังสือ) และหาทางพักผ่อนหย่อนใจ (เช่น ท่องเที่ยว ชมธรรมชาติ) ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดอารมณ์รุนแรงหรือเครียดจัด ฝึกสมาธิ เจริญสติ ทำงานช่วยเหลือสังคม และหมั่นฝึกมองโลกในแง่ดี ลดละการยึดมั่นถือมั่น

บำรุงสมองและหัวใจ ด้วยหลัก 4 อ. รูปที่ 4

4. อันตราย ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ส่วนผู้ที่น้ำหนักเกิน เป็นเบาหวาน ความดันสูงหรือไขมันในเลือดสูงก็ต้องได้รับการรักษา และดูแลตัวเองจนสามารถควบคุมโรคได้ดี
พฤติกรรม ๔ อ. ดังกล่าวช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดหัวใจแข็งและหนาตัว (ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง) เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายกะทันหันได้ พฤติกรรมดังกล่าวยังช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหลอดเลือดสมองไม่ให้แข็งและหนาตัวได้เช่นเดียวกัน สามารถป้องกันอาการสมองเสื่อม และโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเนื่องจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ดังนั้น จึงกล่าวได้เต็มปากว่า “อะไรที่ดีต่อหัวใจ ย่อมดีต่อสมองเสมอ”


บำรุงสมองและหัวใจ ด้วยหลัก 4 อ. รูปที่ 5


นอกจากเรื่องของสุขภาพหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองแล้ว ยังมีสุขภาพของสมองด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่ของสมอง ได้แก่ การรับรู้ (การเรียนรู้ เชาวน์ปัญญา) ความรู้สึก (รวมทั้งอารมณ์) ความคิด และความจำ ซึ่งบางครั้งเรียกรวมๆ ว่า “จิต” หรือ “จิตใจ” ในการทำหน้าที่ของสมองให้สมบูรณ์จำเป็นต้องอาศัยพฤติกรรม 4 อ. ดังกล่าวเป็นพื้นฐาน และยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่พึงใส่ใจซึ่งจะขอกล่าวถึงเฉพาะที่สำคัญดังนี้
1. อาหาร ควรเน้นเพิ่มเติมในการบริโภคไขมันที่มีชื่อว่า โอเมกา-3 (แบ่งย่อยออกเป็น DHA และ EPA เป็นต้น) ซึ่งมีมากในปลาทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด (เช่น ปลานิล ปลาดุก ปลาสวาย ปลาช่อน) และอาหารทะเล (เช่น ปลาทู ปลากะพง กุ้ง หอย ปลาหมึก) โอเมกา-3 จะถูกนำไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและปลอกหุ้มกิ่งก้านของเซลล์ประสาท ทำให้ความจำดี ถ้าขาดอาจทำให้สมองเสื่อมได้ ควรกินสัปดาห์ละ ๒-๓ ครั้งหรือวันเว้นวัน
ควรบริโภคพืชผักหรืออาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) เช่น (ถั่วเหลือง เต้าหู้  บลูเบอร์รี่ องุ่น พริกไทย หัวหอม เซเลรี น้ำชา ช็อกโกแลต) ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีและอารมณ์ดี
ทุกวันควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และอย่าอดอาหารหรือปล่อยให้หิว การทำงานของสมองต้องการน้ำ น้ำตาลจากอาหารที่บริโภค และออกซิเจน (จากอากาศที่หายใจ) ในการสร้างพลังงานแก่เซลล์สมอง ให้สามารถทำงานได้เป็นปกติ หากขาดอันใดอันหนึ่ง เช่น ขาดน้ำ ขาดอากาศ ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ไม่สดชื่น หากขาดอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการชักหรือหมดสติได้

2. ออกกำลังกาย
 
หมั่นทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง กระตุ้นการงอกของเซลล์สมองใหม่ ทำให้สมองทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล ความจำดี รู้สึกสดชื่น
การฝึกหายใจลึกและช้า (นาทีละไม่เกิน ๑๐ ครั้ง) ก็ช่วยให้สมองได้ออกซิเจน มีผลดีต่อสมองและจิตใจเช่นเดียวกัน

3. อารมณ์ (ในที่นี้รวมถึงจิตใจที่ทำหน้าที่หลายด้าน รวมทั้งอารมณ์) ต้องหลีกเลี่ยงการเกิดความเครียด เพราะจะทำให้หลั่งฮอร์โมนสตีรอยด์ที่ทำลายเซลล์สมอง ทำให้ความจำเสื่อม
ควรกระตุ้นความจำและการเรียนรู้ ด้วยการอ่านหนังสือ การเขียนบันทึก การต่อภาพ (จิกซอว์) การต่อคำ (crossword) การเล่มเกมฝึกสมอง การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การคบหาสมาคมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนต่างๆ
ควรหมั่นฝึกสติ สมาธิ ทำอะไรอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตลอดเวลา จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองส่วนหน้าตรงกลาง (middle prefrontal area) ทำให้เกิดความสมดุลของร่างกายและอารมณ์ นำไปสู่สุขภาวะทาง กาย–จิต–สังคม
สำหรับเด็กเล็กควรให้การเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่น ซึ่งจะส่งเสริมให้มีพัฒนาการของสมอง และจิตใจที่ดีต่อไปในอนาคต

4. อันตราย ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด สารโลหะหนัก (เช่น ตะกั่ว ปรอท) ซึ่งเป็นตัวทำลายเซลล์สมอง ทำให้ความจำเสื่อม มีอารมณ์ร้ายและพฤติกรรมผิดเพี้ยนได้
ควรป้องกันไม่ให้สมองได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือน เช่น อุบัติเหตุ การเขย่าศีรษะ การกระแทกศีรษะ ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อมได้
ควรหลีกเลี่ยงการนั่งดูทีวี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์มากเกินไป รวมทั้งการนั่งอยู่หรือนอนอยู่เฉยๆ เป็นเวลานาน (จนรู้สึกน่าเบื่อ) อาจทำให้สมองล้า ขาดการกระตุ้นให้เรียนรู้ รวมทั้งอาจทำให้สมาธิสั้นได้
จงหันมาใส่ใจดูแลสมอง (หัวใจและจิตใจ) ด้วยหลัก “4 อ.” กันเถอะ!

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กิน ผงชูรส ทําให้ผมร่วงจริงหรือ !!!!

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวที่บอกต่อๆกันมาว่า กิน ผงชูรส มากๆจะทำให้ผมร่วง ทำให้หัวล้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดกันมาอย่างยาวนาน และบางคนก็เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แถมยังเอามาล้อเล่นกับคนที่ผมร่วงหรือหัวล้านว่า กินผงชูรสมากไปใช่ไหม? จริงๆแล้วการกินผงชูรสทำให้ผมร่วงได้จริงหรือไม่ วันนี้ Haelth Mthai ของเรามีคำตอบมาให้ค่ะ
1377849181
ผงชูรส คืออะไร?
ผงชูรส มีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียม แอล กลูตาเมต ผงชูรสไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการ แต่เป็นตัวนำสื่อประสาทกระตุ้นให้ตุ่มรับรสที่ลิ้นไวต่อการรับรสของอาหาร ทำให้เรารู้สึกถึงรสชาติของอาหารได้มากขึ้น แต่การใส่ผงชูรสมากไม่ได้ทำให้รู้สึกอร่อยมากขึ้น ทั้งนี้เพราะตุ่มรับรสของคนมีจำกัด ถึงแม้จะใส่มากก็ไม่ได้ช่วยให้อร่อยมากขึ้น ตัวผงชูรสเองไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงแต่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร ประโยชน์อาจอยู่ตรงที่เมื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อย ทำให้เรากินอาหารได้มากขึ้นก็ได้ประโยชน์จากอาหารนั่นเอง
ผงชูรส ทำให้ผมร่วงได้จริงหรือ?
หลายคนที่ชอบทานอาหารนอกบ้านบ่อยๆ และมีอาการผมร่วง ก็มักจะคิดไปว่าอาหารตามร้านต่างๆต้องใส่ผงชูรสเยอะแน่ๆ เลยทำให้มีอาการผมร่วง แต่จริงๆแล้ว อาการผมร่วงขึ้นอยู่กับพันธุกรรมเป็นหลัก ถ้าใครมีบรรพบุรุษที่ผมบาง ยังไงก็ทำให้ผมบาง เพราะมาจากยีนส์ที่ถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน ส่วนอีกปัจจัยก็คือฮอร์โมน ผมร่วงชนิดที่เป็นผลจากฮอร์โมน เกิดจากระดับของฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกายสูงเกินไป จึงทำให้ผมร่วง เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้น ผงชูรสที่เป็นสารประเภท “สื่อประสาท” จึงไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรมและระบบฮอร์โมนเลย จึงไม่ได้เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง
ผงชูรส มีโทษอย่างไรบ้าง? ควรกินหรือไม่ควรกินอย่างไร?
องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้ผงชูรส อยู่ในกลุ่มของเครื่องปรุงรสที่มีความปลอดภัยเช่นเดียวกับเกลือ น้ำส้ม และแป้ง หากบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะในคนปกติไม่พบว่าเกิดโทษแต่อย่างใดยกเว้นคนที่ไวต่อผงชูรสที่มีอาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้า แน่นหน้าอก หรือชาตามหลังและคอ เมื่อกินอาหารที่มีที่มีการเติมผงชูรส กลุ่มคนพวกนี้ควรเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีผงชูรสปรุงรสอยู่ คนอีกกลุ่ม คือ ผู้ป่วยโรคหืดหอบ มีข้อมูลการวิจัยในต่างประเทศที่น่าสนใจ ว่าอาจทำให้อาการป่วยแย่ลงหากบริโภคอาหารที่มีผงชูรสในปริมาณมาก
ถ้าถามว่าควรกินหรือไม่ สำหรับคนที่มีสุขภาพดีหรือปกติก็ไม่ต้องกังวลมาก เพราะข้อมูลการวิจัย ในปัจจุบันจัดว่าการบริโภคผงชูรสที่อยู่ในอาหารค่อนข้างปลอดภัย แต่หากคุณประกอบอาหารเองที่บ้าน ถ้ามีฝีมืออยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ เพราะเวลาที่คุณไปกินอาหารนอกบ้านคุณก็ได้รับผงชูรสอยู่แล้ว ข้อควรระวังในการบริโภค ผงชูรส ก็คือ ต้องแน่ใจว่าเป็นผงชูรสแท้ และไม่จำเป็นต้องใส่ในปริมาณมาก ก็จะไม่เกิดโทษใดๆ หากคุณไม่ใช่คนที่มีอาการแพ้ผงชูรส
ได้ไขข้อข้องใจกันไปแล้วนะคะว่า ผงชูรส ไม่มีผลทำให้ผมร่วงแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่าผมจะร่วงจากผงชูรสอีกแล้วค่ะ แต่ลองหันมาใส่ใจในด้านอื่นๆของผงชูรสจะดีกว่า เพราะถ้าหากบางคนแพ้หรือกินเข้าไปในปริมาณมาก ก็จะไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน และผงชูรสก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ทางที่ดีรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสแต่พอดี หรือหลีกเลี่ยงไปเลยจะดีต่อสุขภาพของเรามากกว่าค่ะ