วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ติดขนมหวาน แต่อยาก ลดนํ้าหนัก ทําอย่างไรดี ?

แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ว่าการ ลดน้ำหนัก นั้น ต้องสวนทางกับขนมหวาน เพราะขนมหวานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ของหวาน เค้ก ขนม น้ำแข็งใส น้ำผลไม้ปั่น น้ำชง ที่ให้ความหวานความอร่อยให้กับเรานั้น เป็นตัวถ่วงในการ ลดน้ำหนัก ของเราอย่างมาก แต่ถ้าเราอยากกินสักนิดล่ะ.. .จะอ้วนไหม หรือต้องกินอะไรได้ มาดูคำตอบกัน !
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัจจัยสำคัญในการ ลดน้ำหนัก นั่นคือ “ความหนักแน่น” โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะฉะนั้นการ ลดน้ำหนัก ที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงค่ะ แต่หากว่าต้องการบ้างเล็กน้อย ก็เลือกของหวานที่ให้ประโยชน์และให้ความอ้วนน้อยที่สุด
56400385
สาเหตุของความอ้วน คือ แป้ง น้ำตาล และไขมัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงขนมที่เต็มไปด้วยแป้ง มันฝรั่ง และรสหวานจัด รวมถึงผ่านกรรมวิธีด้วยการทอด หรือหากมีก็ควรเลือกแบบแป้งที่เป็นโฮลวีต น้ำตาลแบบใช้สารความหวาน หรือจากการทอดเป็นการอบแทน
นอกจากนั้นเราก็พยายามหาตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับของหวานมาตอบโจทย์ความต้องการของเรา ซึ่งเป็นของหวานที่มี่ทำให้เราอ้วน จะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันค่ะ
ผลไม้สด
สำหรับการเลือกผลไม้นั้น ก็ต้องหลีกเลี่ยงการเลือกผลไม้ที่มีรสหวานจัดและมีกากใยน้อย อย่าง ทุเรียน ลำไย เงาะ เหล่านี้เป็นผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงค่ะ เปลี่ยนมาเป็นผลไม้ที่มีรสหวานน้อยและมีกากใยสูงอย่าง แอ๊ปเปิ้ล สาลี่ มะละกอ ฝรั่ง แก้วมังกร กล้วย แทนค่ะ
ประเภทถั่ว
สำหรับอาหารว่างอีกชนิด ที่จะพอแทนขนมได้ นั่นก็คือ พวกถั่วค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน แต่ทั้งหมดนี้ต้องผ่านการอบนะคะ ไม่ใช้การทอด และห้ามปรุงรสด้วยการใส่เกลือด้วยค่ะ
โยเกิร์ต Low Fat
เลือกโยเกิร์ตที่เป็นแบบไขมัน 0% ค่ะ หรือถ้าโยเกิร์ตยังไม่ชอบ ก็สามารถหาผลไม้สดที่มีกากใยมาใส่เพิ่มได้ ทั้งแอ๊ปเปิ้ล มะละกอ ฝรั่ง ค่ะ เพื่อเพิ่มรสชาติและความอร่อยได้อีกทางค่ะ
ธัญพืชต่างๆ
อีกอย่างที่เป็นขนมและอาหารว่างสำหรับเราได้ โดยไม่อ้วน นั่นก็คือ ลูกเดือย ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ เม็ดแมงลักค่ะ โดยสามารถนำมาผสมกับนั้ยพืชต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติได้
น้ำหวานแบบไม่ใส่นม
ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว โดยต้องเป็นชาเขียวที่ไม่ผสมนม และใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลนะคะ หรือจะเป็นน้ำผึ้งมะนาวก็ได้ โดยน้ำผึ้งมะนาวนั้นเราควรเลือกชงเองจะดีกว่าการซื้อจากข้างนอก เพราะร้านค้านั้นจะผสมน้ำตาลเข้าไปมากพอสมควรค่ะ
ดาร์กช็อกโกแลต
โดยต้องเข้าใจก่อนว่าดาร์กช็อกโกแลตกับช็อกโกแลตธรรมดาต่างกันมาก เพราะว่าช็อกโกแลตธรรมดานั้น จะผสมนมและเติมความหวานเข้าไป จทำให้มีความหวานมากและยังมีไขมันกับน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากด้วย แต่ดาร์กช็อกโกแลต จะไม่ผสมนมหรือผสมอะไรทั้งสิ้น เป็นช็อกโกแลตแบบ Original และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่า ซึ่งสารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระ ก่อตัวขึ้นบริเวณหัวใจและหลอดเลือด
ผลไม้อบแห้ง
สำหรับผลไม้อบแห้งก็มีให้เลือกอยู่หลากหลายรสชาติด้วยกัน แต่ควรเลือกห่อที่มีปริมาณไขมันกับน้ำตาลน้อยๆ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับคนชอบกินผลไม้ค่ะ
ซึ่งหลังจากที่เรากินของว่างและของหวานต่างๆ เข้าไปแล้ว ให้ดื่มน้ำตามเข้าไปอีกหน่อย จะได้รู้สึกอิ่มท้องมากขึ้นนะคะ โดยเวลาที่ควรเลือกกินขนมหรือของว่าง คือ ช่วงสายหรือช่วงบ่ายต้นๆค่ะ เพราะหลังจากอาหารเที่ยงนั้น เราจะมีกิจวัตรประจำวันต่างๆ มากมาย เพื่อที่จะใช้พลังงานออกไปให้หมด ส่วนช่วงเย็นห้ามกินเด็ดขาด เพราะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะพักผ่อน หรือเข้านอนแล้ว หากเราไม่ได้ใช้พลังงานออกไป อาจจะทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้
เพียงแค่เรารู้จักเลือก กินในปริมาณน้อย และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญอาหารเหล่านั้นออกไปอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะสามารถกินได้บ่อยๆ ตลอดการลดความอ้วนเลยล่ะค่ะ

ขอบคุณที่มาจาก : www.womanplusmagazine.com

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โรคปวดศรีษะจากความเครืยด

โรคปวดศีรษะจากความเครียด

เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเป็นวันๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดพอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สุขสบาย และจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรัง
ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด
ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headache, Muscle contraction headache, Psychogenic headache





สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้าซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นบางส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี (เช่น เอนดอร์ฟินซีโรโทนิน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ

ส่วนใหญ่ มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา อดนอน ตาล้าตาเพลีย(จากใช้สายตามากเกินไป)
นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน



อาการ

ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรกๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน

ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ

การแยกโรค


อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ขึ้นไปควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น



1. ไมเกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4-72 ชั่วโมง มันจะเป็นๆ หายๆ ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย

2. เนื้องอกสมอง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าว จะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ในระยะต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม

3.โรคทางสมองอื่นๆ

เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย

4.ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดงๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวันๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน
นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น


การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1-2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

. มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง
. มีอาการปวดมากตอนเช้ามืด จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน
. มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก
. มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย
. มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
. ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
. มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง



การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท

ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น

ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้งและแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีนทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน

ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสวงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อยๆ

การดำเนินโรค
อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมงๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการรักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย

การป้องกัน
ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ

ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้

พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมาก ที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี
พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-2 เท่า



*******************************************

ข้อมูลจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31
------------------------------------------------------------------------

ยารักษา

ยา Fluoxitine หาซื้อเองได้ร้านขายยาใหญ่ๆ กินตามที่หมอสั่ง หรือ 1-3 เดือน

Fluoxetine
 เป็นยาในกลุ่ม SSRIs -Selective  Serotonin Reuptake Inhibitors มีฤทธิ์ในการรักษาโรคซึมเศร้าและอาการในกลุ่มโรควิตกกังวล

คุณสมบัติของการใช้ Fluoxetine
การออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า อาจเริ่มเห็นผลในสัปดาห์ที่สองหรือสาม
ขนาดยา : ชนิดเม็ดและแคปซูล ขนาด 20 mg.
ข้อบ่งใช้
"    โรคซึมเศร้า ที่ขนาด 20-60 mg/day  
"    โรคย้ำคิดย้ำทำ ที่ขนาด 60-80 mg/day
"    Premenstrual Dysphoric Disorder (อาการทางอารมณ์ที่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน) ที่ขนาด 20-60 mg/day
"    GAD หรือ Anxiety Disorder อื่นๆ ที่ขนาด 20-60 mg/day
"    ในกรณีผู้ป่วยสูงอายุ ควรเริ่มต้นให้ในขนาดครึ่งของที่แนะนำสำหรับแต่ละโรค
"    ผู้ป่วยตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรงดการให้ยา

อาการข้างเคียงจากการใช้ยา  Fluoxetine

1.    ต่อระบบทางเดินอาหาร
ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน และท้องเสีย ซึ่งอาการจะแปรตามขนาดของยา และเกิดขึ้นชั่วคราวในช่วงสองถึงสามสัปดาห์แรก
2.    ฤทธิ์กระตุ้น/ อาการนอนไม่หลับ
อาการที่อาจพบได้ในกลุ่มอาการนี้ได้แก่ อาการกระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ และการนอนที่ผิดปกติ แต่เป็นอาการที่จะค่อยๆ ดีขึ้นเองหลังจากให้ยาเป็นระยะเวลาหนึ่ง การเริ่มยาที่ขนาดต่ำจะช่วยลดอาการวิตกกังวลที่อาจเกิดขึ้น  ส่วนอาการนอนไม่หลับอาจให้การรักษาตามอาการโดยการให้ยาในกลุ่ม Benzodiazepine เช่น  Diazepam, Chlordiazepoxide, Lorazepam เป็นต้น
3.    ฤทธิ์ข้างเคียงทางเพศ
ความต้องการทางเพศที่ลดลงและ Anorgasmia ได้ในทั้งชายและหญิง ในเพศชายอาจพบ erectile dysfunction หรือ Ejaculatory dysfunction หากพบอาการเหล่านี้ ให้ตรวจหาสาเหตุอื่นที่อาจเป็นไปได้ หากพบว่าเกิดจากยาและผู้ป่วยได้รับผลกระทบมาก ให้ส่งพบจิตแพทย์


4.    ฤทธิ์ข้างเคียงต่อระบบประสาท

ได้แก่ อาการปวดศีรษะทั้งแบบไมเกรนและ Tension เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวเฉพาะช่วง หนึ่งถึงสองสัปดาห์แรกแล้วอาการจะดีขึ้นเอง อาการอื่นได้แก่อาการของ Extrapyramidal Reaction เช่น Akathisia, Dystonia, Parkinsonism, และ Tardive Dyskinesia ซึ่งพบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วย Parkinson
5.    ฤทธิ์ต่อน้ำหนักตัว
อาจมีน้ำหนักลดในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นน้ำหนักจะกลับขึ้นเป็นปกติ
6.    Serotonin Syndrome
เกิดได้แต่พบน้อย มีอาการ ปวดท้อง ท้องเสีย Flushing เหงื่อออกมาก อุณหภูมิกายขึ้นสูง อ่อนเพลีย ภาวการณ์รู้ตัวที่เปลี่ยนแปลงไป อาการสั่น กล้ามเนื้อกระตุก Rhapdomyolysis ไตวาย Cardiovascular Shock และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ให้หยุดยา และรักษาตามอาการ (Symptomstic Treatment)
7.    Apathy Syndrome
การมีอารมณ์ราบเรียบ ไม่ยินดียินร้าย แต่ไม่ใช่อาการซึมเศร้า อาจพบอาการอ่อนแรงได้ รักษาโดยการลดขนาดยาลง หรืออาจเปลี่ยนมื้อยาเป็นมื้อก่อนนอนเพื่อลดอาการช่วงกลางวัน

ไลฟ์สไตล์มรณะ ทั้ง 14 ประการ....

ไลฟ์สไตล์มรณะ ทั้ง 14 ประการ....นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)
 

       เซลล์มะเร็ง เป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสาร
    อาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด  แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับ บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี

     
    ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ ครับ

    1) นอนดึก   ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้าย อื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและ
    ต้องหาของขบเคี้ยว มากินแก้ปากว่างกัน

    2) สูบบุหรี่และขี้เหล้า    ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมี นิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง  " สนิมมะเร็ง " ออกมาไม่น้อย  ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ

    3 ) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง   ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่    มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น   ตัวเราจึงผอมเอาๆ   ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มี
    ลิมิตชีวิตหดหู่แน่

    4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับ น้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

     
    5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย     ดังที่กล่าวไปว่า  ถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริเกิดขึ้นมา   ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็ง  นี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน

    6) ปล่อยกายให้อ้วน  สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

     
    7) ล้วนขาดวิตามิน   ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไป ก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

    8) กินของร้อนจัดไป     ช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

    9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

     
    10) กลั้นปัสสาวะ   น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย  ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ   ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าใน กระเพาะฉี่เรา  ก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอก
    ขึ้นมาได้

    11) ปะทะเค็มจัด  พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะ ในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

    12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว
   มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้  แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ  เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่   แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ

    13) ตัวตากแดดบ่อย  แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจ  จน เครื่องในรวนหมดครับ   เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง  กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

    14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า  คือเห็นแก่ตัว  และไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะ เมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้ว  เรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่
    ค่อยเกิดความ " อยาก "  อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข " หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ  

    ด้วยวิถีแห่งการมี  " ไลฟสไตล์มรณะ " ทั้ง 14 ประการ ดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย  


    ขอบคุณ ข้อมูลดี ๆ จาก....
    นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์  

    ( American Board of Anti-aging medicine)

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วางตัวให้เป็น! เมื่อต้องไป เจอพ่อแม่แฟน

 ถ้าแฟนหนุ่มพาไปเจอพ่อแม่แบบนี้ก็แปลว่า หนุ่มคนนี้ต้องมั่นใจแล้วว่าคุณคือตัวจริง แต่ถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้ล้มไม่เป็นท่าล่ะก็ เขาก็คงคิดหนักแน่ๆ เพราะฉะนั้นสาวๆอย่าทำให้แฟนหนุ่มเฟลเลยนะจ๊ะ เตรียมพร้อมสร้างความประทับใจในโมเมนต์สำคัญกันดีกว่า
Ñelebratory dinner
1. อยู่กับปัจจุบัน สาวคนหนึ่งเล่าถึงตอนที่เธอไปเจอพ่อแม่แฟนครั้งแรกที่งานเลี้ยงว่า ตอนนั้นเธอมีสิวที่จมูก ก็เลยห่วงแต่ว่าสิวจะดูน่าเกลียด จน ไม่ค่อยมีสมาธิจะพูดคุยกับพ่อแม่เขาเท่าไหร่พองานเลี้ยงเลิก ช่วยอยู่กับปัจจุบ้นว่าคุณกำลังอยู่กับพ่อแม่ของเขานะ ตั้งใจและให้เกียรติเขาบ้าง
2. แสดงน้ำใจแต่อย่าโชว์ออฟ ของขวัญเล็กๆ  น้อยๆ ช่วยทำลายความเย็นชาได้ดี แต่ควรเลือกของง่ายๆ เช่น ดอกไม้สักช่อ ไวน์สักขวด หรือช็อกโกแลตสักกล่อง อย่าได้พยายามซื้ออะไรหรูหราราคาแพงเกินไป คุณอาจดูเป็นพวกชอบโชว์ออฟ และทำให้พ่อแม่เขาคิดว่าพยายาม “ซื้อ” พวกท่านก็ได้ แต่จะซื้ออะไรก็ลองถามแฟนดูก่อนนะ คงไม่ดีแน่ถ้าซื้อไวน์ไปแล้วท่านไม่ดื่ม หรือซื้อขนมไป แต่แม่เขาเป็นเบาหวาน
3. เป็นตัวของตัวเอง อย่าเสแสร้ง ถ้า ครอบครัวเขาคุยเรื่องอะไรก็ตามที่คุณไม่ค่อยรู้เรื่อง การพยายามทำเป็นรู้อาจทำให้คุณตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ได้ ถ้าพวกเขาหันกลับมาซักคุณ เปลี่ยนเป็นถามพวกเขากลับไปให้เขาเล่ารายละเอียด เขาจะได้เห็นว่าคุณให้ความสนใจในสิ่งที่พวกเขาสนใจด้วย
4. เสนอตัวช่วยเหลือ ถ้าคุณไปกินข้าวที่บ้านเขาให้เสนอตัวช่วยเก็บโต๊ะและล้างจานด้วยไม่ว่าพวกเขาจะให้คุณช่วยล้างจานจริงๆ หรือไม่ก็ตาม Meet The Parent มันก็แสดงถึงความมีมารยาทและมีน้ำใจของคุณ
5. อย่าได้พูดไม่ดีเกี่ยวกับเขา การ ยกคุณสมบัติไม่ดีของเขาขึ้นมาพูดถึง แม้จะเป็นการพูดอย่างขำๆก็ตามทีจะทำให้สถานการณ์น่าอึดอัด อย่างน้อยนั่นก็คือลูกชายของพวกเขา คงไม่อยากฟังใครวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดีแน่นอน แม้จะแบบขำๆ ก็ตามที
6. ระวังการแสดงความรัก การ แสดงความรัก ด้วยการจูบ กอด หรือจับมือกันเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตคู่แต่พ่อแม่ของแฟนอาจไม่อยากเห็นคุณ นัวเนียกับลูกชายของพวกท่าน มันกระอักกระอ่วนและน่าอึดอัดใจที่ได้เห็นคนสองคนแสดงความรักต่อกันอย่าง โจ่งแจ้งจนเกินไปต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะกับลูกของตัวเอง! ใช่ ลูกน่ะโตแล้ว แต่บางทีพ่อแม่ก็ยังมองลูกเป็นเด็กอยู่นั่นเอง
7 .โยนคำถามยากๆ ไปให้เขาตอบ ถ้า แม่ของแฟนถามว่าอยากได้แหวนเก่าของเธอเป็นแหวนหมั้นมั้ย แต่คุณมีแหวนที่อยากได้อยู่แล้วในใจ แทนที่คุณจะพูดปฏิเสธเองให้หันไปถามเขาว่า “คุณว่าไงคะ” แม่แฟนก็คงได้คำตอบปฏิเสธเหมือนเดิมแหละ แต่มันคงดีกว่าที่ให้ลูกชายของเขาเป็นคนพูดเองนะคะ
8 .ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเคารพ และเป็นกันเองในขณะเดียวกัน  การพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปอย่างพยายามสุภาพอาจจะน่าเบื่อ พวกท่านก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกันนะไม่ใช่แค่พ่อแม่แฟน ฉะนั้นพยายามหาเรื่องสนุกๆ มาคุย ลองดูว่าพวกท่านชอบอะไรหรือมีงานอดิเรกอะไร นอกจากจะคุยกันได้สนุกกว่าแล้ว มันยังทำให้คุณดูน่าสนใจกว่าด้วย
เหนือสิ่งอื่นใด คือคุณต้องรักและให้ความสำคัญกับแฟนหนุ่มให้เหนียวแน่นด้วยนะคะ เพื่อแสดงความจริงใจ
ว่าคุณ รัก และพร้อมจะใช่ชีวิตกับเขาจริงๆ เพียงเท่านี้ พ่อแม่ของเขาก็จะรักและเข้าใจ คุณอย่างแน่นอนค่า
ขอบคุณที่มาจาก Lisaguru

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ปากดํา ทําอย่างไรให้หายได้

 ปากดำ ทำอย่างไรให้หายได้

367_2
คุณคงจะไม่ปฏิเสธว่า ริมฝีปากนั้น เป็นส่วนประกอบหนึ่งบนใบหน้าที่ความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ยิ่งถ้ามีริมฝีปากแดง อวบอิ่มได้รูป ก็จะยิ่งดึงดุดสายตาแก่ผู้พบเห็น ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงการมีสุขภาพที่ดีด้วยนะครับ
ดังนั้นถ้าใครประสบกับปัญหาริมฝีปากดำคล้ำ คงจะสร้างความหนักอกหนักใจให้ไม่น้อย บทความนี้จึงจะแนะนำง่ายๆ ในการป้องกันและดุแล หลีกเลี่ยง ไม่ให้เกิดรอยดำคล้ำที่ริมฝีปากดังนี้
การป้องกัน ดูแล แก้ไข ริมฝีปากดำคล้ำ
  1. ถ้าเป็นผุ้หญิง เลือกทาลิปติกที่ได้มาตรฐาน ในคุณภาพ อย่าเลือกแบบถูกๆ ไม่มีที่มาที่ไป เพราะอาจจะแพ้อักเสบ ดำได้ง่าย
  2. ทาลิปติก สีอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ ไม่ควรใช้ดินสอเขียนตัดขอบปากแรงๆ หรือเข้มจัดเกินไป
  3. ควรหมั่นทาลิปมันหรือลิปกลอสเพื่อบำรุงให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปาก อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งในหน้าหนาว ควรทาไว้ประจำ
  4. ถ้าริมฝีปากแห้ง ตกสะเก็ด ไม่ควรแกะให้ลอก เพราะอาจจะเกิดการอักเสบ เป็นรอยดำได้ง่ายๆ
  5. ควรงดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด (อันนี้สำคัญมากๆ )
  6. แต่ถ้าริมฝีปากดำคล้ำจากกรรมพันธุ์ ก็ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจนะครับ เรายังมีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ดังนี้
6.1 การเลือกลิปติกทาปากแบบผสมไวเทนนิ่ง ทาประจำ
6.2 การแต้มด้วยกรดเข้มข้นให้ลอกออก แต่ห้ามแกะให้เกิดการอักเสบ
6.3 การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งเลเซอร์ที่ได้ผลดี ควรเป็นกลุ่มเลเซอร์รักษาเม็ดสี (Q-Switch Laser) ที่ได้มาตรฐาน เช่น Revlite  laser  ซึ่งการรักษาปากดำด้วยเลเซอร์ จัดเป็นการรักษาได้ผลดี รวดเร็ว และถาวร โดยมีการยิง 2 วิธี คือ การยิงให้ค่อยๆ เลือน ด้วยความยาวช่วงคลื่น 1064 nm วิธีนี้เหมาะกับรอยดำคล้ำที่มาแต่กำเนิด หรือกรรมพันธุ์ เพราะจะช่วยลดเม็ดสีอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสามารถทำให้รอยดำจางลงถาวรได้ แต่ต้องทำหลายครั้ง ประมาณ 4-5 ครั้ง ทุกสองอาทิตย์ กับอีกวีธีหนึ่ง คือการยิงให้ลอก โดยจะใช้ความยาวช่วงคลื่น 532 m วิธีนี้จะเหมาะกับรอยดำที่เกิดจากการแพ้ลิปสติก หรือการอักเสบจากการแกะเกา เพราะเป็นรอยดำตื้น วิธีนี้หลังทำริมฝีปากอาจจะคล้ำลงได้บ้าง 3-4 วันแล้วลอกออก แต่จะทำไม่กี่ครั้ง 1-2 ครั้ง ห่างกันทุกสองอาทิตย์ก็พอแล้ว 
Revlite1064
ขั้นตอนการรักษาก็ไม่ยุ่งยาก โดยแพทย์จะเริ่มทายาชาบนริมฝีปากทิ้งไว้ 30-45 นาที จากนั้นจะใช้แสงเลเซอร์เข้าไปทำให้เม็ดสีกระจายเป็นขนาดเล็กๆ ขณะทำการรักษาจะไม่รุ้สึกเจ็บ หลังจากนั้นประมาณ 4-6 วัน ริมฝีปากจะมีสีอ่อนลง ซึ่งถ้ายังไม่พอใจ ก็สามารถทำซ้ำได้ทุก 2-3 อาทิตย์ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงมากมาย ประมาณ 3000 บาทต่อครั้ง สนใจรายละเอียด ที่คลินิกนีโอ มีให้บริการนะครับ โทร 02-6532211-202-6532211-2
อนึง เมื่อริมฝีปาก ที่ดำคล้ำได้รับการรักษาจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็อย่าลืมปฏิบัติตัวตามที่แนะนำให้ข้างต้นด้วยนะครับ เพื่อป้องกันมิให้ริมฝีปากกลับมาดำคล้ำ หมดสวย หมดหล่ออีกนะครับ
นอกจากนี้ เรื่องริมฝีปาก ในวงการความงาม ยังสามารถแต่งฉีดเสริมให้อวบอิ่มได้ ตามต้องการ สำหรับผุ้ที่มิริมฝีปากบาง หรือมีร่องแตก ก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้เช่นกัน สนใจก็สอบถามได้ที่คลินิกนีโอ เช่นกันนะครับ
เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ
โดย นพ.จรัสพล รินทระ วันที่ 12/12/2009

เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง เรื่องจริงที่ทีมงานวิจัยต่างทดลองมาแล้ว

เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง เรื่องจริงที่ทีมงานวิจัยต่างทดลองมาแล้ว

เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง
เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า สารธรรมชาติที่พบในไวน์แดง และช็อคโกแล็ต นั้นมีผลต่อการเสริมสร้างสมอง แต่ล่าสุดนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองออกมาว่า สารอีกตัวที่ช่วยในการเสริมสร้างสมองไม่แพ้กับ ของดังกล่าวในข้างต้นไม่แพ้กันนั่นก็คือเบียร์นั่นเอง ซึ่ง เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง จริงหรือไม่ วันนี้ทาง Men.MThai เราก็ไปหาคำตอบมาฝากเพื่อนๆ แล้วครับ
เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง
เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง
ทีมนักวิจัยที่ทดสอบ flavonoid ที่อยู่ในเบียร์กับสัตว์ทดลองอย่างหนู โดยให้หนูได้รับสารดังกล่าวและทดลองในเขาวงกตโดยแบ่งเป็นหนู 2 กลุ่ม ซึ่งผลออกมาว่า หนูกลุ่มแรกเป็นหนูอายุน้อยกว่า หลังจากที่ได้รับ flavonoid มีทักษะการแก้ไขปัญหาและออกจากทางเขาวงกตได้ดีกว่ากลุ่มที่สอง ซึ่งหมายความว่าหนูที่มีอายุน้อยกว่าแสดงช่วงกว้างของความสามารถในการมัลติทาสกิ้งในการพิชิตปริศนา ส่วนหนูอีกกลุ่มที่ไม่ได้รับ สาร flavonoid กลับแสดงผลต่างจากหนูกลุ่มแรกเพราะมันไม่สามารถไขปัญหาอะไรได้เลย ซึ่งสรุปได้ว่า flavonoid มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโปรตีนในร่างกายที่จะสร้างความฉลาดให้กับหนูนั่นเอง
เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง
เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง
อีกทั้งนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์ ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40% ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ เพราะเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรงสำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่นป้องกันโรคหัวใจ และ เบียร์ช่วยเสริมสร้างสมอง อีกด้วย

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

9 อาหารแคลอรี่ตํ่า ช่วยควบคุมนํ้าหนัก

จากการที่กระแสลดน้ำหนักและการทานอาหารคลีนยังคงไม่หายไปไหน อีกอย่างนึงที่ต้องควบคู่กันไปนั่นคือ การเลือกทานอาหารที่ดูแคลอรี่ เพื่อให้เราสามารถเผาผลาญพลังงานเหล่านั้นออกไปได้ ไม่เกิดการสะสม และอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ ก็มีอยู่มิใช่น้อย ซึ่งบางอย่างไม่อร่อย แต่พูดถึงคุณประโยชน์ก็มากพอสมควรค่ะ
health-003
1. ไข่
อาหารแคลอรี่ต่ำ อย่างไข่ มีแคลอรี่เพียง 70-80 แคลอรี่ต่อหนึ่งฟอง แน่นอนไข่เป็นอาหารที่ทำง่ายและมีอยู่เกือบทุกเมนู แต่เน้นการปรุงด้วยวิธีอบ ต้ม นึ่งดีกว่านะคะ ไม่เช่นนั้น อาหารแคลอรี่ต่ำ จะกลายเป็นอาหารเพิ่มความอ้วน เปลี่ยนจากไข่ดาว ไข่เจียวมาเป็นไข่ลวก ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น สารพัดไข่ซึ่งมันให้คุณได้รับแคลอรี่ไม่เกิน 100 แคลอรี่แน่นอน
2. มันเทศ
มันเทศเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่เหมาะจะนำมาเป็นขนมขบเคี้ยวที่ดี เพราะมันเทศมีแคลอรี่เพียง 55 แคลอรี่ ทั้งยังไม่มีน้ำมันและไม่ทำให้คุณต้องกังวลเกี่ยวกับการจำกัดจำนวนแคลอรี่
3. ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองคั่วกรอบเป็นอะไรที่อร่อยมาก และข่าวดีก็คือถั่วเหลืองนับเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่มีแคลอรี่ต่ำกว่า 100 แคลอรี่ ถั่วเหลือง 3 ช้อนโต๊ะจะมีปริมาณเพียงแค่ 80 แคลอรี่เท่านั้น คุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับมันได้อย่างน่าพอใจทีเดียว
4. แตงโม
อาหารแคลอรี่ต่ำ เช่น แตงโมช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น มีกำลังอยากจะทำสิ่งต่อไป แตงโมเป็นผลไม้ที่เหมาะมากกับฤดูร้อน คุณไม่ต้องกังวลกับการหม่ำแตงโมให้สดชื่นทุกวัน เพราะแตงโมให้แคลอรี่เพียง 90 แคลอรี่เท่านั้น
123151997
5. บลูเบอร์รี่
หากอาหารที่คุณทานเข้าไปไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไหร่แถมแคลอรี่ยังมหาศาล ลองหันมาหาอาหารว่างที่กินแล้วสดชื่นและเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ อย่างบลูเบอร์รี่ เพราะมันให้พลังงานแค่ 85 แคลอรี่ และยังอุดมสมบูรณ์ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน เกลือแร่ และบรรดาสิ่งดีๆที่ ร่างกายของคุณต้องการจริงๆ คุณสามารถทานบลูเบอร์รี่สดเป็นอาหารว่างยามบ่าย หรือนำมาผสมกับโยเกิร์ตและซีเรียลของคุณเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพของคุณเอง
6. ลูกพีช
อาหารแคลอรี่ต่ำ ได้แก่ พีชขนาดกลางหนึ่งลูกได้รับ 40 แคลอรี่ หมายความว่าคุณสามารถทานผลไม้ได้โดยไม่ทำลายขีดจำกัดของแคลอรี่ 100 แคลอรี่ คุณสามารถแบ่งครึ่งซึ่งมีประมาณ 20 แคลอรี่ใส่ไว้ในเครื่องปั่น แล้วเทโยเกิร์ต 6 ออนซ์ (อีก 80 แคลอรี่) และปั่นรวมกัน คุณก็จะได้ทาน อาหารแคลอรี่ต่ำ กว่า 100 เป็นของว่าง
7. Oyster Crackers
หากคุณชื่นชอบคุกกี้หรือแครกเกอร์ อาหารแคลอรี่ต่ำ อย่าง Oyster Crackers เป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่จะทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการทานกับเพื่อนได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกินขีดจำกัด เพราะว่าแคร๊กเกอร์ชนิดนี้มีเพียงแค่ 60 แคลอรี่เท่านั้น
8. ขนมเจลาติน
ขนมเจลาตินเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่น่าแปลกใจ เพราะมีแคลอรี่อยู่ในระดับ 10 ถึง 30 แคลอรี่ต่อถ้วยซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรส แต่ขนมเจลาตินอาจจะดูเป็นของหวานเกินไป หรืออาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี อาจจะต้องมีน้ำแข็งเพื่อทำให้อร่อยยิ่งขึ้นก็ได้
158773961
9. หัวไชเท้า
หัวไชเท้าฟังดูไม่ค่อยน่าทานเท่าไหร่ แต่มันเป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ ที่ให้แคลอรี่เพียงแค่ 14 แคลอรี่เท่านั้น หัวไชเทาเป็นแหล่งอาหารที่ดีของวิตามิน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสทองแดงและเหล็ก ซึ่งหมายความว่าคุณควรจะมีสารอาหารเหล่านี้ในร่างกายแม้ว่าคุณไม่ได้ใส่ใจที่จะทานก็ตาม
นอกจากแคลอรี่ต่ำแล้วยังมีประโยชน์มากมาย สามารถปรับเปลี่ยนเมนูอาหารเพื่อใส่พวกนี้เป็นส่วนประกอบ แต่อย่าลืมหาอย่างอื่นทานควบคู่ไปด้วย เช่น พวกคาร์โบไฮเดรต มันอาจไม่ได้เป็น อาหารแคลอรี่ต่ำ แต่คุณก็จำเป็นต้องรับประทานเพื่อทำให้สุขภาพคุณแข็งแรงด้วยการรับอาหารครบทุกหมู่ค่ะ
ขอบคุณที่มาจาก : www.womanplusmagazine.com