วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ขนน้องสาว บอกความร้อนแรงของเธอได้นะ รุ้ยัง

ขนน้องสาว บอกความร้อนแรงของเธอได้นะ รู้ยัง
ขนน้องสาว
1.ขนเส้นใหญ่แข็ง มักเอาแต่ใจตัวเอง บุคลิคค่อนข้างตรงไปตรงมา ถ้าขนออกแนวตรงๆเป็นแปรงให้ฟันธงเลยนะว่าหล่อน เข้าขั้นขวานผ่าซาก(หาได้ยาก)สาวหมู่นี้ดูๆไปก็จริงใจไม่น้อยอารมณ์พิศวาสออกจะรุนแรงและเปิดเผยพอควร ถ้าอวัยวะเพศสมบูรณ์ดีจะยิ่งดี
2. ขนน้องสาว หยาบกระด้างไม่ว่าจะดกหนาหรือบางชีวิตรักของเจ้าหล่อน เต็มไปด้วยอุปสรรค์ขวากหนามอาจโดนหลอกทำร้าย คนแล้วคนเล่าถ้าประกอบกับจิ๊มิลีบเล็ก แคบๆและไม่มีเนินจับลูบโดนแต่กระดูก ให้ฟันธงลงไปเลยว่าอาภัพรัก มักถูกหลอกฟันแล้วทิ้ง หาชายจริงใจด้วยยากยิ่งเวลาขึ้นขับแล้วแข็งกระด้าง หาความรัญจวญใจมิได้เลย ท่านให้เลี่ยงเสียจะดีกว่าประเภทนี้ มักเจ้าอารมณ์แสนงอนแบบรั้นๆไม่มีเหตุผล อาจโหดร้ายในบางคนแต่ถ้าอยู่บนอวัยวะที่สมบูรณ์ บวกความดีให้อีกกึ่งหนึ่ง
3.ขนเส้นเล็ก ถ้าเล็กแล้วแข็งแบบแปรงก็จะยังลำบาก อาภัพอยู่บ้าง จิตใจหล่อนหวั่นไหวไม่มั่นคงนัก แต่ไม่ดื้อรั้นเท่าสองข้อข้างบน ยังพอเอาอยู่
4 ขนน้องสาว เล็กละเอียดนุ่ม ยิ่งถ้าดุเงางามหน่อยจะดีกว่า หัวอ่อนกว่าอารมณ์ไม่ร้อนนัก แบบนี้ค่อนข้างดีให้พิจารณาประกอบกับอวัยวะด้วยเหมือนกัน
5.นุ่มสลวย ดุจแพรไหม อันนี้หญิงจริง มักจะเกิดในสาวมีสกุลสักหน่อย ใครได้แบบนี้ทายว่าดีเอาใจเก่ง สร้างความสุขความเจริญให้คู่ครอง ยิ่งถ้าไปอยุ่บนอวัยวะที่สะอาด สมบูรณ์ยิ่งเพิ่มค่าขึ้นไปใหญ่  แต่ถ้าอวัยวะลีบเล็กไม่ส่งเสริมกัน ท่านให้ทอนความดีลงครึ่งหนึ่ง
6.ไร้ขน นารีใดไร้ ขนน้องสาว โดยธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการโกนนะ ท่านว่าอาภัพนัก ขนแสดงถึงความสมบูรณ์และพลังในเรื่องลับ ถ้ามีดกหนามากเกินไปชีวิตก็จะยุ่งยากซับซ้อนมากหน่อยถ้าเบาบางมากเกินไปก็เสมือนไม่มีไรคอยรองรับ ปัญหาอุปสรรคจะมีปานกลาง แต่ถ้าไร้ขนปกคลุมเท่ากับว่าทุกอย่างวิ่งเข้าชนได้เต็มๆ ท่านว่าราคะของหล่อนจะร้อนแรง อาจแรงเกินไปจนเอาไม่อยู่ ถ้าอยู่ในสาวที่อวัยวะใหญ่โตจะยิ่ง มากตัญหาจนหยุดไม่อยู่ เก็บไม่มิดเลยที่เดียวแต่ในความคิดเห็นของ จขกท.ที่เคยเจอมา มันน่ารักดีนะโล้นนวลดีจัง แต่หล่อนก็ร้อนแรงแบบยั้งไม่อยู่จริงๆ สาวไร้ขนให้จัดไว้เป็นครู หายากมากและไม่เหมาะจะเป็นคู่ครอง
บอกให้ไว้พอเป็นแนวทางนะหาได้บังคับให้ต้องเชื่อทั้งหมดเพราะคนเราจะดีชั่ว มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง อวัยวะบางส่วนในกายอาจเอาไว้ประกอบการพิจารณาดู ขนน้องสาว และ ขนรักแร้ก็ได้(ถ้ามี) เพราะสองอย่างเหมือนกัน ดูแต่ลักษณะไม่รวมสีนะเพราะสีขนเป็นแค่ของปรุงแต่งไม่ใช่แก่นของอารมณ์

ที่มาเนื้อหาจาก av-group

10 ผลไม้เพื่อ ผิวพรรณ สวยเปล่งปลั่ง

คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า ถ้าอยากผิวสวย ต้อง “วิตามินซี” แต่วิตามินซีเพื่อผิวสวยจะต้องทานอะไรเข้าไป หรือเพียงแค่ใช้มาส์กผิว และผลไม้อะไรที่มีวิตามีนซีสูงบ้าง แล้วจริงๆ วิตามินซีทำไมถึงทำให้ ผิวพรรณ ของเราสวยได้ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ. ..
ประโยชน์ของวิตามินซีกับ ผิวพรรณ
วิตามินซี หรือชื่อเต็มว่า Ascobic Acid เป็นวิตามินที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีหน้าที่หลักๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากขบวนการในร่างกาย หรือจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อม หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติได้ วิตามินซียังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในขบวนการต่างๆ ของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวกับผิวหนัง และของเส้นเลือดให้แข็งแรง ไม่เปราะ ยืดหยุ่นได้ดี และยังช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว ดังนั้นจึงช่วยในการลดริ้วรอย ด่างดำ รอยสิวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับสีผิวที่คล้ำจากแสงแดดให้ดูกระจ่างใสขึ้น โดยจะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ซึ่งผลไม้เนี่ยแหล่ะ ที่จะเป็นแหล่งของวิตามินซี ที่สาวๆ ทุกคนควรจะรับทราบและหมั่นบริโภคเข้าไป เพื่อให้ ผิวพรรณ ของเราเปล่งปลั่ง สวยใส ด้วยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพี่งสารเคมีแต่อย่างใด แล้วผลไม้ที่มีวิตามินซี คือชนิดไหนบ้าง .. มาดูกันค่ะ
1. ส้ม
ส้มอุดมไปด้วยเส้นใยธรรมชาติ วิตามินซี เกลือแร่ และคอลลาเจนสูงทำให้ ผิวพรรณ มีความยืดหยุ่น และมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นขึ้น โดยนวดเปลือกส้มแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นนำไปทาบริเวณใบหน้า คอ และไหล่แล้วปิดทับด้วยผ้าบางๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เสร็จแล้วใช้ครีมบำรุงผิวตามปกติ สูตรนี้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้าได้มากเลยทีเดียว หรือ ผสมเนื้อส้ม 1 ผล กับ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย นำมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต โดยไม่ต้องปั่นระเอียดมากนัก นำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก
159153159
2. แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยทำให้เล็บแข็งแรง ซึ่งจะมีวิตามินซีที่สามารถช่วยให้ ผิวพรรณ สวย เปล่งปลั่ง และยังเป็นผลไม้ที่ทานแล้วไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย โดยนำแอปเปิ้ลไม่ปอกเปลือก 1 ผล น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นให้ละเอียดพอกให้ทั่วใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งแอปเปิ้ลจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนและลดเลือนจุดด่างดำ ส่วนน้ำผึ้งช่วยให้หน้านุ่มเนียนกระจ่างใสขึ้น
3. สตรอว์เบอร์รี่
วิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี่ รวมถึงวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แถมด้วยกรด Ascorbic acid ซึ่งสามารถช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เพียงรับประทานสตรอว์เบอร์รี่สดทุกวัน ก็จะทำให้ ผิวพรรณ ของสาวๆ ก็จะเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร โดยนำสตรอว์เบอร์รี่ 3-4 ผล โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดสตรอเบอร์รี่ให้ละเอียด เติมโยเกิร์ต และน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้นๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว ยกเว้นรอบบริเวณดวงตาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โยเกิร์ตจะช่วยสร้างความสมดุลให้ผิวในขณะที่สตรอเบอร์รี่ช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทำให้ผิวจะกระจ่างใสและสดชื่น
466106577
4. สับปะรด
อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อันได้แก่ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ผิวหนัง กินบ่อยๆ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีอีกด้วย โดยผสมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก สับปะรดช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวได้สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน A วิตามิน C สูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
5. ทับทิม
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินเอ ซี อีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านการเสริมสร้างผิวสวย กระจ่างใส ทั้งยังช่วยการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี ใครอยากมีผิวขาวสวย หัวใจแข็งแรง แนะนำให้ลองดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้วรับรอง ผิวพรรณ สวยขึ้นแน่นอน หรืออาจใช้มาส์กสำเร็จที่สกัดมาจากทับทิมก็ได้ค่ะ
6. มะเขือเทศ
จะช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทานเล่นๆ หรือปั่นเป็นน้ำผล ไม้ทานก็ดีต่อสุขภาพผิวเช่นกัน หรือมาส์ก โดยการผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
7. มะนาว
เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีที่ว่านี้ก็จะช่วยให้สาวๆ นั้นมี ผิวพรรณ ที่นุ่มเนียนสดใส และเปล่งปลั่งด้วย โดยผสมน้ำมะนาวครึ่งลูกและดินสอพอง 4-5 เม็ด นำดินสอพองและมะนาวมาผสมให้เข้ากัน จะได้ครีมที่เหนียวข้น พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง จะทำให้หน้าใสมากขึ้น หรือผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมมาคนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะทำให้ใบหน้าอ่อนวัย ใส่เปล่งปลั่งค่ะ
159163475
8. ฝรั่ง
มีวิตามินซีมาก รวมถึงมีวิตามินเอและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ช่วยขับสารพิษจนทำให้ผิวมีสุขภาพดีไร้ริ้วรอยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยนำเนื้อฝรั่งมาบดให้ละเอียด แล้วพอกหน้า จะช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น วิธีแก้จุดสัมผัสที่หยาบกร้าน ถ้าคุณมีผิวที่กร้านจากการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาทำให้ผิวหนังแห้งสากได้
9. แตงโม
มีทั้งแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิดที่มีอยู่มากมาย ช่วยบำรุง ผิวพรรณ ของสาวๆ ช่วงล้างไต และของเสียขับปัสสาวะในร่างกาย สามารถมาส์กได้โดยนำแตงโมมาฝานให้เป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด จากนั้นให้นำชิ้นแตงโมเหล่านั้นมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
10. อะโวคาโด
เพราะในผลไม้ชนิดนี้มีวิตามิน เอ ซี อี ที่ช่วยบำรุง ผิวพรรณ และสารแอนตี้ออกซิเดนท์อย่าง วิตามิน B1 B2 B6 โดยนำอะโวคาโดสดครึ่งลูกผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วมาส์กหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะทำให้ผิวหน้ากระชับตึง เฟิร์มขึ้นค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับผลไม้ 10 ชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีคุณสมบัติให้ ผิวพรรณ ของเรานั้นขาวใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งการรับคุณค่าของวิตามินซีจากผลไม้เหล่านี้ ได้ทั้งทานเข้าไปและใช้มาส์กหน้าตามสูตรข้างต้น อย่างนี้สาวๆ ก็หมั่นบำรุงผิวหน้าตัวเองนะคะ รับรองว่าใครเจอจะต้องทัก ว่าอายุ 20 แน่นอน

ขอบคุณที่มาจาก : www.womanplusmagazine.com

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คุณเข้าข่ายคน หูตึง หรือเปล่า

ตะโกนกันเข้าไปอีก ตะโกนอีก ตะโกนอีก แต่ก็ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ใช่ว่าต้นเสียงจะกระซิบกระซาบ หรือสภาพแวดล้อมจะอึกทึกครึกโครม แต่เป็นเพราะปลายทาง “หูตึง”
สำหรับวันนี้ เราขอชวนชาวอีแมกกาซีนมาทำความรู้จักกับโรค หูตึง ซึ่งเมื่อคนเราแก่ตัวการได้ยินอาจลดน้อยลง แต่ถ้าอายุยังน้อยแล้ว ทำไมยังไม่ค่อยจะได้ยินอีก เอาเป็นว่า เรื่องนี้ต้องขยาย
158542148
หูตึง
เมื่อเสียงจากภายนอกผ่านรูหูเข้ามา คลื่นเสียงจะทำให้แก้วหูสั่น จังหวะการสั่นของแก้วหูจะถูกส่งผ่านจากหูชั้นกลางเข้าสู่หูชั้นใน ภายในบริเวณหูชั้นในจะมีเซลล์ขน (Hair cell) ราว 30,000 เซลล์ ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งต่อไปยังสมอง เพื่อแปลความหมายของสัญญาณที่ได้รับ
การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากประสาทหูเสื่อมนั้น คลื่นเสียงสามารถเดินทางไปถึงหูชั้นในได้ แต่เซลล์ขนในหูตายไปแล้ว ดังนั้นสัญญาณต่างๆ จึงไม่สามารถเดินทางไปสู่สมองได้ ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการ หูตึง
หูตึง หมายถึง ความสามารถในการรับฟังเสียงลดลง จะตึงมากตึงน้อยขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยคนปกติจะมีระดับการได้ยินที่ 25 เดซิเบล หรือน้อยกว่า ขณะที่คน หูตึง ระดับการได้ยินจะมีค่าสูงกว่านั้น
สำหรับสาเหตุก็เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่จะเนื่องมาจากปัญหาที่หูชั้นนอกหรือหูชั้นกลาง เช่น เกิดจากเป็นโรคหูน้ำหนวก หูชั้นกลางอักเสบ ขี้หูอุดตัน กระดูกภายในหู คือ กระดูกค้อน ทั่ง โกลน มีหินปูนมาเกาะหรือแยกหลุดออกจากกัน ที่ยูสเตเชี่ยน ซึ่งเป็นท่อที่ทำหน้าที่ปรับความดันในหูชั้นกลางเกิดการอุด ตัน และแก้วหูทะลุ เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถให้ยาหรือผ่าตัดรักษาได้
อาการ หูตึง
อาการ หูตึง อาจเกิดขึ้นได้จากปัญหาที่หูชั้นใน คือที่ประสาทหู เช่น การติดเชื้อ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะบ้านหมุน มึนงง หรือมีเสียงดังในหู อาการ หูตึง ในลักษณะนี้ บางชนิดสามารถรักษาได้โดยการกินยา บางชนิดรักษาได้โดยการผ่าตัด
อาการ หูตึง อาจเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย ส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานในที่ที่มีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา หรือสัมผัสกับเสียงที่ดังเกินมาตรฐานความปลอดภัย 85 เดซิเบลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้สูงอายุก็มักจะมีอาการ หูตึง แบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน โดยเกิดจากประสาทหูเสื่อม หูตึง จากสาเหตุลักษณะนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้อุปกรณ์ช่วยฟังได้โดยทั่วไป
สำหรับปัญหาการได้ยินในเด็กจะมีระดับความรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ สาเหตุของ หูตึง ในเด็กส่วนมากเกิดจากมารดาติดเชื้อหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์ ทารกแรกคลอดมีน้ำหนักน้อยกว่า 1,500 กรัม ทารกมีอาการตัวเหลืองต้องเข้าตู้อบ ขาดออกซิเจนชั่วคราวขณะคลอด หรือเกิดจากกรรมพันธุ์ ที่มีญาติพี่น้อง หูตึง หรือหูหนวก
139541397
เด็กที่ หูตึง มาแต่กำเนิด ส่วนมากจะสูญเสียการได้ยินในระดับรุนแรง คือต้องใช้เสียงดังมากหรือตะโกนจึงจะได้ยิน แต่ถึงจะได้ยินก็จะได้ยินไม่ชัด เนื่องจากเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่แยกเสียงบกพร่อง เด็กที่ หูตึง จะพูดไม่ชัด เพราะจะพูดตามเสียงที่ได้ยิน และจะพูดได้น้อยหรือมีพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เด็กต้องเรียนรู้การอ่านริมฝีปากประกอบกับเสียงที่ได้ยิน หรืออาจต้องใช้ท่าทางประกอบเพื่อความเข้าใจ เด็ก หูตึง มักจะซน หรือเล่นก้าวร้าวรุนแรง เนื่องจากมีปัญหาในการสื่อสาร พ่อแม่จึงควรสังเกตการรับฟังของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ถ้าสงสัยว่าลูกมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที แต่ปัจจุบันนี้ก็มีการตรวจการได้ยินในเด็กเล็ก และสามารถใส่เครื่องช่วยฟังได้ตั้งแต่แรกเกิด การกระตุ้นการได้ยินตั้งแต่เล็กนั้น จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ใกล้เคียงกับวัย
นอกจากนี้ ควรให้เด็กเข้ารับการฝึกพูด โดยนักแก้ไขการพูด การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เด็กสามารถพูดได้ การที่พ่อแม่ฝึกพูดให้เด็กด้วยตัวเอง อาจได้ผลไม่ดีเท่า เนื่องจากการฝึกพูดนั้นมีเทคนิคและขั้นตอนต่างๆ โดยเฉพาะ
ส่วนการใส่ เครื่องช่วยฟัง ในเด็กโดยผู้ไม่ชำนาญหรือหาซื้อมาใส่เองตามคำโฆษณา เด็กอาจได้เครื่องช่วยฟังที่ไม่เหมาะสม เช่น เครื่องช่วยฟังที่เบาเกินไป เด็กจะไม่ยอมใช้เครื่องเพราะไม่ได้ประโยชน์จากการฟัง หรือเครื่องช่วยฟังที่ดังเกินไป เด็กก็จะไม่ยอมใช้เช่นกัน เนื่องจากฟังแล้วไม่สบายหูหรือปวดหู และที่สำคัญจะยิ่งทำให้สูญเสียการได้ยินมากขึ้นไปอีก
การใช้เครื่องช่วยฟังในผู้ใหญ่ก็เช่นกัน ควรพาผู้ป่วยไปตรวจวัดระดับการได้ยินก่อนว่า หูตึง มากน้อยเพียงใด และจะได้ประโยชน์จากการใช้เครื่องช่วยฟังหรือไม่ แม้ว่าปัจจุบันจะมีเครื่องช่วยฟังหลายแบบ ตั้งแต่ขนาดเล็กที่ซ่อนในช่องหูได้อย่างแนบเนียน แบบมีโปรแกรมแยกหลายช่องการทำงาน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการรับฟังเสียงได้ดีกว่าเครื่องในรุ่นก่อนๆ มาก อย่างไรก็ตาม ไม่ควรด่วนตัดสินใจซื้อตามคำโฆษณา
หูตึงในวัยชรา
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ทุกอย่างในร่างกายจะหย่อนยานลง ยกเว้นหูเท่านั้นที่ตึงขึ้น ปัญหาหูตึงในผู้สูงอายุมักจะค่อยๆ เกิดขึ้น โดยตัวผู้สูงอายุเองมักจะไม่ทราบว่าตัวเองหูตึง แต่คนรอบข้างจะรู้ได้เป็นอย่างดี เพราะในการสนทนาต้องใช้เสียงดังขึ้น เปิดทีวีดังขึ้น ในบางคนอาจจะมีปัญหาเสียงรบกวนในหู ซึ่งก่อให้เกิดความรำคาญจนต้องเข้าพบแพทย์
สาเหตุของปัญหาหูตึงในผู้สูงอายุมีอยู่มากมาย โดยสาเหตุเล็กๆ มักเกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทการได้ยิน โดยมักจะเริ่มเสื่อมจากความถี่สูงก่อนแล้วค่อยๆ เป็นมากขึ้น ปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดหูตึงในผู้สูงอายุ ได้แก่ โรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคทางไตที่ต้องใช้ยาเรื้อรัง เหล่านี้เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาหูตึง ได้ทั้งสิ้น
ปัญหาที่ตามมา
  1. คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุแย่ลง มีปัญหาในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ รอบๆ ตัว อาจจะเกิดความรำคาญกับบุคคลรอบตัวได้
  2. อาจเกิดอันตรายจากการที่ไม่ได้ยินเสียงเตือนต่างๆ เช่น ของตกใส่ อุบัติเหตุจราจร
  3. อาจจะเกิดปัญหาซึมเศร้าในผู้สูงอายุได้
การดูแลรักษา
  • ควรตรวจสมรรถภาพการได้ยินเป็นประจำทุกปี เมื่ออายุเกิน 60 ปี
  • ควบคุมดูแลโรคประจำตัวต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาแทรกซ้อนที่อาจทำให้หูตึงได้ ถ้าพบว่าประสาทหูเสื่อมถึงระดับปานกลาง การใช้เครื่องช่วยฟังก็เป็นวิธีที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุดีขึ้น

ขอบคุณที่มาจาก : www.emaginfo.com

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รังนก มีประโยชน์จริง ๆ หรือ?

เชื่อกันว่าชาวจีนนิยมกิน รังนก กันมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี ซึ่งแพทย์จีนจะเขียนใบสั่งยาโดยมี รังนก เป็นส่วนผสมด้วย เพราะเชื่อว่ารังนกสามารถรักษาโรคทางเดินหายใจ บำรุงสุขภาพเด็กที่ไม่แข็งแรง
ปัจจุบันคนเอเชียส่วนหนึ่งใช้ รังนก เป็นยาบำรุงปอดและเลือดฝาด ใช้บำรุงกำลังเด็ก ผู้ป่วยระยะพักฟื้น คนสูงอายุหรือสตรีหลังคลอดบุตร วัฒนธรรมการกิน รังนก ของคนไทย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ น่าจะได้รับการถ่ายทอดมาจากชาวจีน
ในประเทศไทย รังนก ที่มีคุณภาพดีที่สุดอยู่ที่ภาคใต้ตามเกาะแก่งต่างๆ ตั้งแต่เขตชุมพรลงไปถึงจังหวัดสตูล ผู้ที่จะเก็บ รังนก ต้องได้รับสัมปทานจากกระทรวงการคลังก่อน และมีสิทธิ์เก็บรังนกจากเกาะนั้นๆ ได้ปีละ ๓ ครั้ง จากสรรพคุณที่เชื่อกันดังกล่าวแล้ว บวกกับความยากลำบากในการเก็บ รังนก ทำให้รังนกมีราคาแพงอย่างที่เห็นกันอยู่
รังนก
รังนก
รังนก ได้มาอย่างไร
รังนก คือส่วนของนํ้าลายนกนางแอ่นที่ใช้ทำรังเพื่อวางไข่ แต่ละปีจะมีการเก็บรังนก ๓ ครั้ง ครั้งแรกจะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม หลังจากนั้นจะทิ้งช่วงประมาณ ๑ เดือนเพื่อให้นกทำรังเป็นครั้งที่ ๒ แล้วก็เก็บเหมือนครั้งแรก จากนั้นเว้นไปประมาณ ๓ เดือนเพื่อให้แม่นกวาง ไข่ก่อน แล้วรอให้ลูกนกฟักออกมาจนแข็งแรงบินออกไปหาอาหารได้จึงเก็บรังเป็นครั้งที่ ๓ หลัง จากนั้นก็รอถึงฤดูการเก็บ รังนก ในปีต่อไป
ผู้ได้รับสัมปทานจะต้องดูแลไม่ให้มีการรบกวนนก และดูแลสภาพแวดล้อมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อจำนวนนกนางแอ่น ซึ่งนั่นหมายถึงปริมาณรายได้ในปีต่อๆ ไป
รังนก มีส่วนประกอบอะไรบ้าง
จากการวิเคราะห์หาส่วนผสมของรังนกนางแอ่นโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พบว่าประกอบด้วย น้ำร้อยละ ๕.๑๑ โปรตีนร้อยละ ๖๐.๙ แคลเซียมร้อยละ ๐.๘๕ โพแทสเซียมร้อยละ ๐.๐๓
สำหรับ รังนก สำเร็จรูป พร้อมบริโภคที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ประกอบด้วยรังนกร้อยละ ๑ น้ำตาลกรวดประมาณร้อยละ ๑๒ นั้น เมื่อสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล นำมาวิเคราะห์พบว่ามีส่วนประกอบดังตาราง
รังนก

ความคิดเห็นในแง่โภชนาการ
จากผลการวิเคราะห์สารอาหารของ รังนก สำเร็จรูปทั้ง ๒ ยี่ห้อที่มีขายในท้องตลาด จะเห็นว่า พลังงานที่ได้จากรังนกสำเร็จรูปนี้ได้จากนํ้าตาลกรวดที่เติมลงไปและมีปริมาณน้อยกว่าไข่ไก่ ๑ ฟอง หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของนม ๑ กล่อง
ในแง่โปรตีนมีข้อมูลน่าสนใจดังนี้
ถ้าต้องการได้โปรตีนจาก รังนก สำเร็จรูปเท่ากับไข่ไก่ ๑ ฟอง จะต้องกินรังนกมากถึง ๒๖ ขวด (เป็นเงิน ๓,๒๕๐ กว่าบาท)
ถ้าจะให้ได้โปรตีนจาก รังนก สำเร็จรูปเท่ากับนม ๑ กล่อง จะต้องกินรังนกมากถึง ๓๔ ขวด (เป็นเงิน ๔,๒๕๐ กว่าบาท)
อีกนัยหนึ่ง ปริมาณโปรตีนใน รังนก สำเร็จรูป ๑ ขวด (๗๐-๗๕ มิลลิลิตร) เท่ากับนมสดประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ หรือถั่วลิสง ๒ เมล็ด
เมื่อทราบข้อมูลดังกล่าว ผู้บริโภคคงจะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ เพื่อให้ได้ชื่อว่า “ฉลาดซื้อ” หรือ “ฉลาดกิน” ขณะนี้ถ้าจะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับตนเอง บุตรหลาน หรือซื้อเป็นของฝากผู้่วยหรือผู้สูงอายุคงจะต้องหาข้อมูลจากสื่อต่างๆ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีการบังคับให้ระบุคุณค่าทางโภชนาการ แต่ถ้ามีฉลากโภชนาการก็จะทำให้ง่ายต้อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารให้เหมาะกับความต้องการของตนเอง และยังสามารถเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์ที่คล้ายๆ กันได้
ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 389
นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล 

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โยคะหัวเราะ ช่วยลดความเครืยดทางจิตใจ

โยคะหัวเราะ การปฏิวัติทางความคิดที่เรียบง่ายและลึกซึ้ง ซึ่งถ้าได้ฝึกฝนเป็นประจำก็จะช่วยให้คนในโลกคุณภาพชีวิตทั้งร่ายกายและจิตใจที่สมบูรณ์แข็งแรง
ดร. Madan Kataria แพทย์จากมุมไบในประเทศอินเดียได้มีการเปิดตัวคลับเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรกที่ สวนสาธารณะ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม คศ. 1995 โดยมีคนเข้าร่วมเพียง 5 คนในวันแรก วันนี้มันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลกที่มีมากกว่า 6000 ชมรมหัวเราะในสังคมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก


โยคะหัวเราะ ได้ผสมผสานการหัวเราะอย่างไม่มีเงื่อนไขและการหายใจแบบโยคะ (ปราณยามะ) เข้าด้วยกัน ทุกคนสามารถหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลโดยไม่ต้องอาศัยอารมณ์ขัน เรื่องตลก หรือ ตลกใดๆทั้งสิ้น เสียงหัวเราะจะถูกออกแบบให้เป็นออกกำลังกายในกลุ่มโดยการมองตาซึ่งกันและกัน และการเล่นสนุกสนานแบบเด็กๆ ซึ่งในไม่ช้าก็จะกลายเป็นการหัวเราะจริงและหัวเราะระบาดติดต่อกันไป แนวคิดของการฝึก โยคะหัวเราะจะขึ้นอยู่กับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าร่างกายไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการแกล้งหัวเราะและหัวเราะจริงๆได้ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถได้รับผลประโยชน์ทางร่างกายและจิตใจจากการหัวเราะที่เหมือนกันไม่ว่าเราจะแกล้งหัวเราะหรือไม่ก็ตาม
10418339_10152907599203776_2385380570859719130_n
โยคะหัวเราะ ช่วยลดความเครียดทางจิตใจได้อย่างไร
ลมหายใจของเราจะเชื่อมต่อกับสภาวะของจิตใจของเรา มันเป็นที่ชัดเจนว่าสภาวะของจิตใจของเรามีผลโดยตรงต่อการหายใจของเรา เมื่อความตึงเครียดในสภาวะอารมณ์หรือความวุ่นวายรูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางเดินหายใจอย่างมาก มันจะกลายเป็นเร็วขึ้นที่ตื้นและที่ผิดปกติ บางคนแม้จะกลั้นลมหายใจของพวกเขาอยู่ภายใต้ความเครียดที่นำไปสู่​​การสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด
ความเครียดทางจิตใจเกิดขึ้นเนื่องจากการเร้าอารมณ์ของสาขาสงสารของระบบประสาท อัตโนมัติของเราซึ่งเป็นที่สำคัญมากในระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด โยคะเสียงหัวเราะให้หัวใจการออกกำลังกายที่ดีและเรียกรูปแบบการหายใจที่มีประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญทางเดินหายใจ มันลดปริมาณของอากาศที่เหลือในปอด, แทนที่ด้วยอากาศที่อุดมด้วยออกซิเจน ซึ่งจะช่วยลดระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปอดและป้องกันไม่ให้ระบบเร้าอารมณ์ความเครียด
10450856_10152907599358776_8193446031582064669_n
การหายใจ diaphragmatic
วิธีที่ดีที่สุดเพื่อลดความเครียดทางจิตใจคือการเปิดใช้งานระบบประสาทซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของระบบสงสาร ซึ่งสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนวิธีที่เราหายใจ ถ้าเราสามารถเรียนรู้ที่จะหายใจจากไดอะแฟรม, ความเครียดทางจิตใจที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าคุณจะมีความคิดเครียดในใจของคุณร่างกายของคุณก็จะไม่ตอบสนองต่อความคิดเครียด
ไดอะแฟรมเป็นรูปโดมพาร์ทิชันของกล้ามเนื้อระหว่างหน้าอกและช่องท้อง มันมีบทบาทสำคัญในการทำงานที่สำคัญที่สุดของระบบหายใจ ใน ระหว่างการสูดดม, สัญญาไดอะแฟรมและดึงลงเพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับปอดที่จะขยายและในช่วง หายใจออกก็ผ่อนคลายและผลักดันในปอดเพื่ออำนวยความสะดวกการหายใจออก
โดย ขยับรูปแบบการหายใจจากตื้นไปลึกหายใจ diaphragmatic จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทระบบประสาทซึ่งเป็นสาขาการทำความเย็นของระบบประสาท อัตโนมัติและอยู่ตรงข้ามของระบบเร้าอารมณ์ความเครียดสงสาร ปรากฏการณ์ นี้ทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับภูมิปัญญา Yogic โบราณของการหายใจทำให้แนวคิดระบอบการออกกำลังกายที่ไม่ซ้ำกันเพื่อคลายความ เครียดและบรรเทาความวิตกกังวลนี้
หนึ่ง ในวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการฝึก โยคะหัวเราะ คือการเรียนรู้วิธีการย้ายไดอะ แฟรมและเปลี่ยนการรับรู้ของทางเดินหายใจจากหน้าอกที่หายใจเข้าลึก กับการเคลื่อนไหวของไดอะแฟรมที่เราสามารถนำอารมณ์ของเราภายใต้การควบคุมสติ
10457817_10152907599483776_7562695941154944553_n

ชมรมหัวเราะฟรีสำหรับทุกคน
ชมรม โยคะหัวเราะ เป็นชมรมฟรีทั้งหมด ไม่มีค่าสมาชิก ไม่มีการกรอกแบบฟอร์ม และไม่มีอะไรที่ยุ่งยาก ชมรมเหล่านี้จะดำเนินงานโดยอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นครูโยคะหัวเราะและผู้นำโยคะหัวเราะ ชมรมหัวเราะเป็นชมรมที่ไม่เกี่ยวข้องทางการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาและไม่แสวงหาผลกำไร และดำเนินงานโดยตรงโดยชมรมหัวเราะนานาชาติในประเทศอินเดียและโยคะหัวเราะนานาชาติในประเทศอื่นๆที่เหลือในโลก
หากสนใจเข้าร่วมกิจกรรมของสถาบันโยคะหัวเราะแห่งประเทศไทย สามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ที่ www.laughteryogathailand.com หรือติดตามข่าวสารกิจกรรมต่างๆได้ที่ www.facebook.com/LaughterYogaThailand
map-big copy
ขอบคุณที่มาจาก : สถาบันโยคะหัวเราะแห่งประเทศไทย
รายการ Good Morning Thailand ช่อง MONO29

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลิ้นบอกโรค

ลิ้นบอกโรค การอ่านลิ้นของแพทย์แผนจีน เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยด้วยการดู สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลักษณะลิ้นและฝ้าบนลิ้น เป็นส่วนสำคัญในการตรวจโรคของแพทย์แผนจีน โดยศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้กล่าวไว้ว่า เส้นลมปราณของอวัยวะภายในร่างกายล้วนแล้วเดินผ่านบริเวณลิ้นกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ลิ้นจึงสะท้อนถึงสภาวะภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี จากการดูลิ้นสามารถรู้ได้ถึงความสมดุลภายในร่างกาย ซึ่งแพทย์แผนจีนมองว่า ลิ้นเปรียบเสมือนกระจกเงาสะท้อนถึงภาวะสมดุลและไม่สมดุลในร่างกาย ว่าในร่างกายมีสิ่งใดผิดปกติอย่างไร โดยลักษณะของตัวลิ้นสามารถสะท้อนถึงอวัยวะภายในทั้งห้า(ปอด หัวใจ ม้าม ตับ ไต) ฝ้าบนลิ้นสามารถสะท้อนถึงอวัยวะกลวงทั้งหก(กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ ถุงน้ำดี และซานเจียว)
ลิ้น1
ความสัมพันธ์ระหว่างลิ้นกับอวัยวะภายในมีดังนี้
  • ปลายลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของหัวใจ และปอด เช่นปลายลิ้นแดงเป็นแผล แสดงว่าหัวใจมีความร้อนมาก
  • กลางลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของม้ามและกระเพาะอาหาร ถ้าลิ้นมีฝ้าหนา โดยเฉพาะบริเวณกลางลิ้น แสดงว่าระบบย่อยอาหารไม่ดี เกิดความชื้น หรือมีเสมหะสะสมอยู่ในร่างกาย
  • โคนลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของไต ถ้าฝ้าที่โคนลิ้นลอกออกจนเห็นผิวลิ้น แสดงว่าไตหยินพร่อง
  • ด้านข้างขอบลิ้น — บ่งบอกถึงความผิดปกติของตับและถุงน้ำดี เช่นด้านข้างขอบลิ้นมีจุดม่วงคล้ำ แสดงว่าลมปราณ(ชี่)ที่ตับติดขัด เลือดไหลเวียนไม่ดีการอ่านลิ้น ประกอบด้วยการดูสีลิ้น รูปร่างลักษณะของลิ้น การเคลื่อนไหวของลิ้น ลักษณะและสีของฝ้าบนลิ้น
การดูสีลิ้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 6 สี
  • ลิ้นสีแดงอ่อน – พบในคนปกติ หรืออาการป่วยยังเบา
  • ลิ้นสีขาวซีด – ลมปราณ(ชี่)และเลือดพร่อง หยางพร่อง
  • ลิ้นสีแดง — มีอาการร้อนแกร่ง หยินพร่องเกิดไฟ
  • ลิ้นสีแดงเข้ม — มีความร้อนอยู่ภายใน มีอาการหยินพร่อง
  • ลิ้นสีม่วง — ลมปราณ(ชี่)และเลือดไหลเวียนไม่คล่อง
การดูรูปร่างลักษณะของลิ้น
  • ลิ้นหยาบ — ผิวลิ้นหยาบด้าน สีลิ้นค่อนข้างคล้ำ แสดงว่าอาการป่วยเป็นอาการแกร่ง ภูมิต้านทานยังดีอยู่
  • ลิ้นอ่อน — ผิวลิ้นละเอียด ลิ้นบวม สีซีดอ่อน แสดงว่าอาการป่วยเป็นอาการพร่อง เช่นเลือดลมน้อย พลังหยางน้อย
  • ลิ้นบวมใหญ่ — ลิ้นบวมใหญ่และหนา เวลาแลบลิ้นจะเต็มปาก แสดงว่ามีความชื้นสะสมอยู่ภายใน
  • ลิ้นเล็กบาง — ลมปราณ(ชี่)และเลือดน้อย หยินพร่องเกิดไฟ
  • ลิ้นมีจุดแดงหรือเป็นจุดเหมือนหนามเล็กๆนูนอยู่บนลิ้น — อวัยวะภายในมีความร้อนอยู่มาก หรือในชั้นเลือดมีความร้อนอยู่มาก
  • ลิ้นมีรอยแตก — มีความร้อนมาก หยินน้อย เลือดน้อย ม้ามพร่อง
  • ลิ้นมีรอยหยักของฟัน — ม้ามพร่อง ภายในร่างกายมีความชื้นมาก
การดูลักษณะการเคลื่อนไหวของตัวลิ้น
  • ลิ้นอ่อนแรง —ชี่และเลือดพร่อง หยินพร่อง
  • ลิ้นแข็งทื่อ —ความร้อนเข้าสู่เหยื่อหุ่มหัวใจ หรือมีไข้สูง หรือมีลมและเสมหะอุดตันอยู่ที่เส้นลมปราณลั่ว
  • ลิ้นเอียงเฉ —มักเป็นอาการล่วงหน้าหรือพบในผู้ที่มีเส้นเลือดสมองตีบ หรือเส้นเลือดสมองแตก
  • ลิ้นสั่น —เป็นอาการเกิดลมในตับ หรืออาจเกิดจากหยินพร่อง เลือดน้อย หยางแกร่ง มีความร้อนมาก
การอ่านตัวลิ้น นอกจากดูผิวลิ้น ลักษณะของลิ้นแล้ว ยังสามารถดูเส้นเลือดที่อยู่ใต้ลิ้นได้อีก ถ้าเส้นเลือดใต้ลิ้นใหญ่ยาว มีสีแดงเข้ม หรือสีเขียว หรือสีม่วง หรือสีดำ ล้วนสะท้อนให้เห็นว่ามีเลือดคั่งอยู่ภายในแต่ถ้าเส้นเลือดใต้ลิ้นสั้นและเล็ก สีของตัวลิ้นก็ซีดขาว แสดงว่าลมปราณ(ชี่)และเลือดน้อย
การดูลักษณะของฝ้าบนลิ้นมีดังนี้
  • ฝ้าบาง — พบในคนปกติ หรืออาการป่วยที่ยังอาการเบา
  • ฝ้าหนา — มีความชื้นสะสมอยู่ในร่างกาย อาหารตกค้าง หรือร้อนใน
  • ฝ้าชื้น — พบในคนปกติ หรืออาการป่วยที่ยังไม่ลุกลามถึงระบบน้าในร่างกาย เช่น ไข้หวัดจากลมหนาว อาหารไม่ย่อย เลือดคั่ง
  • ฝ้าแห้ง — อาการป่วยลุกลามถึงระบบน้ำในร่างกาย เช่น มีไข้สูง อาเจียน ถ่ายท้อง
  • ฝ้าเหนียว — มีความชื้นสะสมอยู่ภายใน
  • ฝ้าร่อน — ฝ้าหนา แต่เมื่อขูดจะหลุดร่อนง่าย แสดงถึงอาหารตกค้างในกระเพาะอาหารและลำไส้ มีเสมหะสะสมอยู่ภายใน
  • ฝ้าหลุดลอก — ฝ้าบนลิ้นหลุดลอกเป็นบางบริเวณหรือทั่วลิ้น บริเวณที่ฝ้าหลุดลอกไป จะเห็นตัวเนื้อลิ้นเกลี้ยงไม่มีฝ้า แสดงถึงชี่ที่กระเพาะอาหารน้อย หยินในกระเพาะอาหารมีน้อยขาดแคลน ชี่และเลือดพร่อง ร่างกายอ่อนแอ
  • ฝ้าเต็มลิ้น — มีความชื้น เสมหะติดขัดอยู่ภายใน
  • ฝ้าไม่เต็มลิ้น — ฝ้ามีอยู่บางส่วนของลิ้น เช่น มีฝ้าอยู่เพียงบริเวณปลายลิ้น หรือโคนลิ้น หรือส่วนซ้าย หรือส่วนขวาของลิ้น ส่วนใดของลิ้นมีฝ้าแสดงว่าอวัยวะที่สังกัดบริเวณมีอาการผิดปกติ เช่น มีฝ้าอยู่บริเวณด้านข้างของลิ้น แสดงให้เห็นว่ามีความชื้นร้อนอยู่บริเวณตับและถุงน้ำดี
  • ฝ้าจริง — ฝ้าขึ้นจากตัวลิ้น ขูดออกยาก เมื่อขูดออกแล้วจะมีรอยฝ้าอยู่ เห็นผิวลิ้นได้ไม่ชัดเจน ถ้าป่วยเป็นเวลานาน ฝ้าลิ้นเป็นฝ้าจริง แสดงว่าพลังชี่ที่กระเพาะอาหารยังมีอยู่
  • ฝ้าหลอก — ฝ้าไม่ติดกับตัวลิ้นนัก เหมือนทาอยู่บนผิวลิ้น ฝ้าขูดลอกออกง่าย และเห็นผิวลิ้นชัดเจน ถ้าป่วยเป็นเวลานาน ฝ้าลิ้นเป็นฝ้าหลอก แสดงว่าอาการป่วยน่าวิตก
ลิ้น2
การดูสีของฝ้า สีของฝ้าแบ่งเป็นหลักๆได้ 3 สี คือ สีขาว สีเหลือง และสีเทาดำ
  • ฝ้าสีขาว — สามารถพบได้ในคนปกติ และในกลุ่มอาการภายนอก(เปี่ยวเจิ้ง) อาการหนาวเย็น มีความชื้นอยู่ภายใน และกลุ่มอาการร้อน
  • ฝ้าสีเหลือง — มักพบในกลุ่มอาการร้อน และเป็นอาการป่วยอยู่ภายใน
  • ฝ้าสีเทาดำ — บอกถึงมีความหนาวเย็นหรือมีความร้อนอยู่ภายในมาก
การดูลิ้นต้องดูทั้งตัวลิ้นและฝ้าบนลิ้นควบคู่กันไป เช่น ลิ้นแดง ฝ้าเหลืองและแห้ง บ่งบอกถึงมีอาการร้อนแกร่ง ถ้าลิ้นแดงและผอม มีฝ้าน้อยหรือไม่มีฝ้า บ่งบอกถึงมีหยินพร่องและมีความร้อนอยู่ภายใน ถ้าลิ้นม่วง ฝ้าขาวเหนียว บ่งบอกถึงชี่และเลือดไหลเวียนติดขัด มีเสมหะหรือความชื้นสะสมอยู่ภายใน
จากข้างต้น เราได้อธิบายลักษณะการดูลิ้นให้ท่านได้ทราบกันแล้ว ทั้งนี้ลักษณะลิ้นที่ปกติควรเป็นอย่างไร เรามาเฉลยกันค่ะ ลักษณะลิ้นที่ปกติคือ ตัวลิ้นอ่อน เคลื่อนไหวได้คล่อง สีลิ้นเป็นสีแดงอ่อน และมีความชุ่มชื้นพอเหมาะ ฝ้าบนลิ้นบางขาวและกระจายทั่วลิ้น รู้เช่นนี้แล้ว หมั่นตรวจสุขภาพลิ้นกันนะค่ะ และขอให้ทุกท่านมีสุขภาพลิ้นแข็งแรงค่ะ
ขอบคุณที่มาและรูปภาพจาก : คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ป้องกัน เข่าเสื่อม ด้วยตนเอง

นฐานะนักกายภาพบำบัด ผู้เขียนต้องรักษาผู้ป่วยเข่าเสื่อมอยู่เป็นประจำ เข่าเสื่อม เป็นอาการที่รักษาไม่หายขาด และมักจะมีอาการปวดเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ผู้ป่วยมักทุกข์ทรมาน ไม่สามารถทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ เช่น การนั่งกับพื้น การนั่งขัดสมาธิ ทำกิจกรรมทางศาสนาบางอย่างไม่ได้ ฉบับนี้ผู้เขียนอยากนำเสนอวิธีการดูแลเข่าไม่ให้เสื่อม โดยเฉพาะคนทำงานวัยที่เข่ายังไม่เสื่อม จะได้ใช้เข่าโดยไม่ปวดได้นานๆ
126488809
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เข่าเสื่อม
ปัจจัยหลักที่ทำให้ เข่าเสื่อม คืออายุ เมื่ออายุมากขึ้นย่อมมีอาการเสื่อมเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับกรรมพันธุ์ ปัจจุบันมีการพบยีนที่มีส่วนทำให้เข่าเสื่อม ปัจจัยทั้ง ๒ อย่างจะแก้ไขได้ยาก แต่ปัจจัยต่างๆ ข้างล่างต่อไปนี้ จะเป็นปัจจัยที่สามารถแก้ไขได้ ถ้าแก้ไขได้ก็สามารถป้องกันอาการเข่าเสื่อมได้ในอนาคต
๑. ความอ้วน
ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้เป็นโรคข้อเข้าเสื่อมโดยเฉพาะในผู้หญิง น้ำหนักตัวที่มากจะทำให้กระดูกอ่อนเข่าสึกกร่อนและทำให้เอ็นรอบเข่าไม่แข็งแรง ทุกๆ ครึ่งกิโลกรัมที่เพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว จะทำให้น้ำหนักลงไปที่เข่าเพิ่มขึ้น ๑-๑.๕ กิโลกรัม เพราะขณะที่เดินน้ำหนักจะลงที่ขาข้างที่เหยียบอยู่ รวมทั้งมีแรงของกล้ามเนื้อช่วยเสริมให้มีแรงกดที่เข่ามากขึ้น การศึกษาในผู้มีอาการปวดเข่า พบว่าอาการปวดจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถ้าน้ำหนักตัวลดลง
๒. ผู้หญิงมากกว่าชาย
ผู้หญิงมีโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อมมากกว่าชายโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทอง เชื่อว่าอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่ลดลง นอกจากนี้ พบว่าผู้หญิงที่เล่นกีฬามีโอกาสที่จะมีการฉีกขาดของเอ็นเข่าได้มากกว่า ๒ เท่าของผู้ชาย การขาดของเอ็นจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายในอนาคต
๓. การเรียงตัวของเข่า
ผู้ที่มีเข่าชิดกันมากกว่าปกติ (valgus knee) เข่าโก่ง (varus knee) หรือมีเข่าแอ่นมาก (Knee hyperextension) จะมีโอกาสเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่า
๔. มีประวัติบาดเจ็บของเข่า
เช่น กระดูกแตกบริเวณข้อเข่า หมอนรองกระดูกเข่า (meniscus) หรือเอ็นเข่าฉีกขาด จากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา การบาดเจ็บเหล่านี้จะทำให้ข้อสบกันไม่สนิท อาจมีบางส่วนของข้อที่มีการกดมากกว่าปกติจะทำให้ข้อเสื่อมได้ ลองนึกถึงบานพับประตูที่บิดเบี้ยว แรงที่กดไปที่บานพับจะไม่สม่ำเสมอ ทำให้บานพับสึกกร่อนได้ง่าย
๕. ท่าทาง งานหนัก และงานซ้ำชาก
ท่าทาง งานหนัก และงานซ้ำชาก มีผลทำให้เข่าเสื่อม ซึ่งคนทำงานที่ต้องคุกเข่า นั่งยอง  ยืนนาน หรือต้องยกของหนักจะมีอัตราการเกิดข้อเสื่อมได้ง่ายกว่าคนที่ทำงานเบา
นอกจากนี้ การบิดหมุนของเข่าขณะทำงาน เช่น การหมุนตัวขณะยกของหนักจะทำให้เข่าเสื่อมง่ายขึ้น จากงานวิจัย Framingham พบว่า งานเหล่านี้มีผลร้อยละ ๑๕-๓๐ ที่ทำให้เข่าเสื่อมโดยเฉพาะผู้ชายทำงาน
สำหรับผลของการเดินขึ้นบันไดหลายชั้น การเดินมาก หรือ นั่งนานๆ วันละหลายชั่วโมงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อมยังไม่ชัดเจนนัก
๖. การเล่นกีฬา
กีฬาที่มีการแข่งขันจะมีผลทำให้ข้อเสื่อมมากขึ้น นักกีฬาฟุตบอลมีความเสี่ยงจะเกิดข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะมีอาการบาดเจ็บสะสมจากการกระโดดและการบิดของเข่าเป็นประจำ การที่ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกายที่มากเกินไป เช่น การเดินระยะทางไกล การทำสวน (ต้องนั่งยองหรือเก้าอี้ต่ำบ่อย) มีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้สูงอายุทั่วไป
มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการวิ่งกับข้อเข่าเสื่อม พบว่าถ้าไม่มีประวัติบาดเจ็บของข้อเข่ามาก่อน มีโอกาสที่จะเป็นข้อเข่าเสื่อมเท่าๆ กับคนที่ไม่ได้วิ่ง
๘. ความยาวขาไม่เท่ากัน
ความยาวของขาที่ไม่เท่ากันมีความสัมพันธ์กับอาการเข่าและสะโพกเสื่อม พบว่าถ้าความยาวของขาทั้ง ๒ ข้างห่างกันเกิน ๑ เซนติเมตร จะมีโอกาสเกิดเข่าเสื่อมได้มากกว่าคนที่ขายาวเท่ากันทั้ง ๒ ข้างประมาณร้อยละ ๔๐
๙. กล้ามเนื้อหน้าขาอ่อนแรง
กล้ามเนื้อหน้าขามีหน้าที่เหยียดข้อเข่า ลองนั่งห้อยขาและเตะขาขึ้น กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะทำงาน พบว่าผู้หญิงที่มีกล้ามเนื้อหน้าขาอ่อนแรง (เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว) จะมีโอกาสที่เข่าเสื่อมได้มากกว่าคนที่กล้ามเนื้อแข็งแรง ยังไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) กับ อาการเข่าเสื่อม
นอกจากนี้ อาหารการกินยังมีผลทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ การขาดวิตามินดีและซีลีเนียม จะทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายขึ้น
136712740
ป้องกันไม่ให้ เข่าเสื่อม ได้อย่างไร?
จากความรู้เกี่ยวปัจจัยเสี่ยงข้างต้น สามารถนำมาประยุกต์กับการใช้ชีวิตไม่ให้เข่าเสื่อมในอนาคตได้ดังนี้
๑. อย่ากินและนั่งมากจนอ้วน
พบว่าถ้าลดน้ำหนักตัวลงได้ประมาณ  ๕ กิโลกรัม สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเข่าเสื่อมได้ถึงร้อยละ ๕๐ มีหลักฐานยืนยันในผู้มีอาการปวดเข่า พบว่าอาการปวดจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถ้าน้ำหนักตัวลดลง
ออกกำลังด้วยการเดินเร็วปานกลางอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ร่วมกับการควบคุมอาหารจะช่วยลดความอ้วนได้ดี
๒.โครงสร้างเข่าผิดปกติ
ลักษณะของโครงสร้างเข่าปกติมีหลายชนิด (เข่าโก่ง เข่าชิด หรือเข่าแอ่น) ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางแก้ไขตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น การเสริมรองเท้า การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุง หรือถ้าไม่สามารถทำอะไรได้
ควรใช้เข่าอย่างระมัดระวัง ไม่เสี่ยงเล่นกีฬาหนักที่ใช้เข่ามาก เช่น  แบดมินตัน เทนนิส ฟุตบอล ไม่นั่งยอง หรือนั่งพื้นนานๆ
๓. หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาปะทะที่จะนำมาซึ่งอาการบาดเจ็บของเข่า
ควรเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่เอามัน ไม่ควรเสี่ยงปะทะ เอาชนะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
๔.ไม่ควรอยู่ในท่าคุกเข่า นั่งยอง ยืน เป็นเวลานาน
ผู้ที่ต้องคุกเข่าทำงานอาจต้องหาวัสดุที่นิ่มมารองบริเวณเข่าเพื่อกระจายแรงกด ถ้าจำเป็นอยู่ในท่าเหล่านี้นานๆ ให้พยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้แรงกดที่ข้อสลับเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ในกิจกรรมทางศาสนาที่ต้องนั่งพับเพียบกับพื้นเป็นเวลานาน ให้สลับนั่งพับเพียบซ้าย-ขวาบ่อยๆ ไม่ควรรอจนเข่าปวดแล้วจึงขยับ
๕.เลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกหรือแรงบิดต่อข้อเข่าสูง เช่น การกระโดดซ้ำๆ การยกของหนักเกินกำลัง การหมุนตัวด้วยการใช้หัวเข่า
๖.ลองวัดความยาวขาดู
นอนหงาย ปล่อยขาตามสบายแต่ไม่กาง ให้เพื่อนคลำปุ่มกระดูกบริเวณที่เท้าสะเอว (anterior superior iliac spine, ASIS) และกลางตาตุ่มของเท้าด้านใน วัดระยะห่างจากทั้ง ๒ จุดในขาข้างหนึ่ง ถ้าขาสองข้างยาวไม่เท่ากันเกิน ๒ เซนติเมตร ต้องเสริมรองเท้าในระยะที่ขาด
๗.ออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าขาให้แข็งแรง
อาจใช้วิธีการที่ทำกันทั่วไป คือ ถุงทรายน้ำหนัก ๑-๒ กิโลกรัม มาผูกกับข้อเท้า นั่งห้อยขาแล้วยกขึ้น-ลง ช้าๆ ถ้าได้ ๑๐  ครั้ง แล้วเมื่อยพอดี ให้ทำซ้ำอีก ๒ เซท ถ้ายังง่ายไปก็เพิ่มน้ำหนักถุงทรายทีละ ๐.๕ กิโลกรัม จนได้น้ำหนักที่ยกได้ ๑๐ แล้วเมื่อยพอดี  หรือจะออกกำลังด้วยการยืนย่อเข่าทั้ง ๒ ข้างประมาณ ๒๐ องศา ค้างไว้ ๑ วินาที แล้วเหยียดเข่า ทำซ้ำประมาณ ๑๐ ครั้ง ถ้ารู้สึกว่าง่ายไป อาจยืนขาเดียวพิงฝา ปรับจนทำได้ประมาณ ๑๐ ครั้ง แล้วเมื่อยพอดี ทำซ้ำอีก ๒ เซท
๘. ถ้ามีอาการบาดเจ็บของเข่า มีอาการบวม ต้องทำการรักษา และงดการทำกิจกรรมที่ทำให้มีอาการปวดมากขึ้น เมื่อหายยังไม่สนิทต้องระวังไม่ให้เป็นซ้ำและอย่าปล่อยให้มีอาการเรื้อรัง
๙. ไม่ควรใส่ส้นสูง จะทำให้เข่าแอ่น มีโอกาสที่เข่าจะเสื่อมได้ง่าย
สวมใส่รองเท้าที่เหมาะกับกีฬาแต่ละประเภท เช่น รองเท้าวิ่งก็ควรมีส้นรองเท้าที่นิ่มรับแรงกระแทกได้ดี รองเท้าสำหรับใส่เล่นแบดมินตันหรือเทนนิสควรมีพื้นบางเพื่อไม่ให้พลิกได้ง่าย เป็นต้น
ถ้าดูแลเข่าของเราให้ดีวันนี้ จะปราศจากอาการปวดในวันหน้า
เอกสารอ้างอิง
ZhangY, Jordan J. Epidemiology of osteoarthritis.Rheum Dis Clin N Am 2008;34: 515–29.

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารหมอชาวบ้าน 391 พฤศจิกายน 2011
คนกับงาน ดร.วรรธนะ ชลายนเดชะ

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ย้อนรอย 5 โรคร้ายที่เคย ระบาดคร่าชีวิตผุ้คนไปทั่วโลก!

ในปี 2557 นี้ โรคระบาดที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างหวาดกลัวคงจะหนีไม่พ้น โรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา ที่เริ่ม ระบาด ในทวีปแอฟริกา มาตั้งแต่กลางปีจนถึงปัจจุบันก็ยังมีผู้ติดเชื้ออยู่ และเริ่มหลุดรอดกระจายไปยังทวีปอื่นๆ ซึ่งทำให้เป็นที่วิตกกังวลของผู้คนทั่วโลก เนื่องจากยังไม่มียารักษาที่ได้ผล 100% ทำให้องค์การอนามัยโลกและสาธารณสุขของทุกประเทศเฝ้าระวังกันอย่างต่อเนื่อง นอกจาก โรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา ที่เราติดตามกันอยู่ในขณะนี้ ในอดีตก็เคยมีโรค ระบาด ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น และได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปเป็นจำนวนมาก วันนี้เราจะพาไปย้อนรอยโรคร้ายที่เคย ระบาด บนโลกใบนี้กันค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
13965769292342
ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์สเปน (Spanish flu)
Spanish flu ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ สเปน ที่ระบาดในปี 1918 คือ การแพร่ ระบาด ของเชื้อไข้หวัดใหญ่ ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสาเหตุมาจาก เชื้อไวรัส (Virulent) ที่มีอันตรายถึงตายสายพันธุ์ A สายพันธุ์ย่อย H1N1 โดยเริ่มมีการ ระบาด ในช่วงแรกเมื่อ เดือนมีนาคม 1918 ถึง มิถุนายน 1920 โดยเริ่มแพร่ระบาดจาก ฝั่งอาร์กติกข้ามมายังฝั่ง แปซิฟิกและมีการประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิต จากไข้หวัดใหญ่ ครั้งนี้ไม่น้อยกว่า 50 – 100 ล้านคนทั่วทั้งโลก หรือเท่ากับประชากร 1 ใน 3 ของทวีปยุโรปในยุคนั้น และประมาณ 500 ล้านคน หรือ ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั่วทั้งโลกในขญะนั้นเป็นผู้ติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์ได้เก็บกระดาษทิชชู่ที่เปื้ยนเชื้อโรค ทำการแช่แข็งไว้ เพื่อไว้เป็นตัวอย่างสำหรับการศึกษาเชื้อโรค และพัฒนาการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นับเป็นหนึ่งในการแพร่ ระบาด ของเชื้อโรคครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในโลกที่สุดสยอง
ลักษณะโรคเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยอาการจะมีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่มีบางรายที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดบวม ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเสียชีวิต ได้แก่ ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ความน่ากลัวของโรค : แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์สเปนจะหายไปนานถึง 96 ปีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถกลับมาได้อีก เพราะเคยกลับมา ระบาด ในช่วงปี 1977 เช่นกัน และเพราะเชื้อไข้หวัดใหญ่ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์นี้อย่างเดียว ดังเช่นที่ผ่านมามีทั้ง ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
กาฬโรค (Plague)
โรคกาฬโรคเป็นโรคติดต่อเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Yersinia pestis เกิดจากหมัดหนูที่มีเชื้อกัด เมื่อมีการ ระบาด ของโรคหนูจะตายก่อน หมัดหนูจะกระโดดมายังสัตว์อื่น และกัดทำให้เกิดโรคขึ้นมา การดูแลเรื่องความสะอาด และควบคุมการแพร่พันธ์ของหนูทำให้โรคนี้มีการระบาดน้อยลง
โดยอาการของกาฬโรคแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ ติดเชื้อที่ต่อมน้ำเหลือง ติดเชื้อในกระแสเลือด และติดเชื้อจากการสูดเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศเข้าปอด ผู้ป่วยจะมีอาการ ไข้สูง หนาวสั่น ต่อมน้ำเหลืองโต เลือดออกในปาก จมูก ก้น เกิดภาวะช็อก shock ปวดท้อง คลื่นไส้ และท้องเสีย
ความน่ากลัวของโรค : ในอดีตกาล การ ระบาด ของกาฬโรคเกิดขึ้นหลายครั้งในหลายทวีป และทำให้ผู้ป่วยหลายล้านคนเสียชีวิต จึงจัดเป็นโรคติดต่อที่อันตรายร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่ง แต่ในปัจจุบันพบผู้ ป่วยเพียงประปรายเฉพาะในพื้นที่แถบชนบทของบางประเทศเท่านั้น และในประเทศไทยก็ไม่พบผู้ป่วยมากว่า 60 ปีแล้ว
หนู
หนู พาหะของกาฬโรค ภาพจาก : wikipedia.org
โรคไทฟอยด์ แมรี่ (Typhoid Mary)
ไทฟอยด์ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Salmonella Typhi และ  และ Samonella paratyphi เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำและอาหาร สามารถติดต่อโดยการดื่มน้ำและกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ หลังจากได้รับเชื้อนี้1-2 สัปดาห์ผู้ป่วยจะเริ่มเกิดอาการเบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดตามตัว มีไข้สูงไข้จะสูงขึ้นเรื่อยๆสูงได้ถึง 40.5 องศาโดยไข้จะคงที่หลังจากเกิดไข้แล้ว 7 วัน มีอาการท้องร่วง บางรายอาจจะมีผื่นขึ้นตามตัว บางรายอาจจะมีอาการแน่นท้อง หากไม่รักษาผู้ป่วยบางรายหายเองได้ใน3-4 สัปดาห์ แต่ก็มีบางส่วนที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ทะลุ หรืออาจแพร่กระจายไปตามอวัยวะเกิดถุงน้ำดีอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ และเกิดภาวะเลือดเป็นพิษในที่สุด
ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา โรคไทฟอยด์ แมรี่ เป็นที่โด่งดังมาก “แมรี่ มัลลอน” หญิงสาวที่อพยพจากไอร์แลนด์เหนือมาอยู่ที่นิวยอร์ค ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โรคไทฟอยด์ กำลังแพร่ ระบาด ในอเมริกา ครอบครัวที่แมรี่ทำงานด้วยก็ป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนที่ทำงานไปหลายที่มากๆ ในระหว่างนี้มีผู้ป่วยไทรอยด์เพิ่มขึ้นอีก 22 ราย และจากการตรวจสอบแทบทุกครอบครัวจะป่วยเป็นโรคไทฟอยด์หลังจากที่แมรี่เข้ามา ทำงานได้ไม่นานนัก หลังจากนั้นเธอถูกจับและกักตัวไว้เพื่อตรวจ พบว่าเธอมีเชื้อไทฟอยด์จริง แต่เชื้อกลับไม่แสดงอาการใดใด เธอจึงใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่เธอคือพาหะของโรคนี้ หลังจากเธอถูกกักตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 3 ปี เธอจึงขอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ทำงานเกี่ยวกับอาหาร และจะรายงานตัวว่าเธออยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่เป็นระยะ แต่ 5 ปีให้หลังเธอก็ขาดการติดต่อไป เธอปลอมชื่อและเข้าไปทำงานที่ฝ่ายการครัว อยู่ในโรงพยาบาลสูตินารีของนิวยอร์ค ทำให้ในโรงพยาบาล มีผู้ป่วยด้วยโรคไทฟอยด์ 25 คนและเสียชีวิต 2 คน ด้วยเหตุนี้ แมรี่จึงถูกกักตัวอีกครั้งและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโรงพยาบาลจนกระทั่งเสีย ชีวิตไปในปี 1938
ความน่ากลัวของโรค : หาก คุณรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ปรุงสุกและผ่านความร้อนมาแล้ว อาจจะติดเชื้อโรคไทฟอยด์ได้ และการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับ เชื้อเช่นกันเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครบ้างที่เป็นพาหะของโรคนี้ดัง เช่น แมรี่ มัลลอน
s01_e0101_06_138911364917___CC___640x360
โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome : SARS)
โรคซาร์ส หรือโรคไข้หวัดมรณะ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ”โคโรน่าไวรัส” ที่เป็นตัวการก่อไข้หวัด  ผู้ติดเชื้อไวรัสจนเป็นโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงจะมีอาการไข้ขึ้นสูง 38-40 องศาเซลเซียส, ไอแหบแห้ง, หายใจขัดและเป็นช่วงสั้นๆ เมื่อนำตัวผู้ป่วยไปเอกซเรย์ จะพบความผิดปกติที่ปอด ซึ่งดูคล้ายเป็นปอดบวม สามารถติดต่อได้ทางละอองน้ำลาย หรือการไอ จาม เชื้อไวรัสซาร์สยังสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศนอกตัวคนไข้ได้นานราว 3-6 ชั่วโมง การรักษาควรแยกผู้ป่วยไว้อีกห้อง และผู้ดูแลควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน หน้ากากป้องกันการติดเชื้อ แว่นตา ผ้ากันเปื้อน ผ้าคลุมศีรษะ และถุงมือ เพื่อป้งกันการติดเชื้อ
ความน่ากลัวของโรค : ในปีพ.ศ. 2546 โรคซาร์ส หรือโรคไข้หวัดมรณะ ได้มีการแพร่ ระบาด ไปยัง 29 ประเทศ รวมมีรายงานป่วย 8,098 ราย และเสียชีวิต 774 ราย ถึงแม้ว่าโรคซาร์สจะหายไปนานเป็น 10 ปีแล้ว แต่เมื่อปี 2556 ก็มีผู้ป่วยต้องสงสัยที่มีอาการคล้ายโรคซาร์สเช่นกัน องค์การอนามัยโรคบอกว่า มันคือ “ไวรัสโคโรนาใหม่ 2012” และล่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 องค์การอนามัยโรคออกมาประกาศว่ามีการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาใหม่ 2012 อีกครั้ง ซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 896 ราย เสียชีวิต 357 ราย แต่ยังไม่พบการ ระบาด นี้ในประเทศไทย
โรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา (Ebola Virus Disease : EVD)
ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาจะมีไข้สูงทันทีทันใด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และเจ็บคอ ตามด้วยอาการ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว ในรายที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต จะพบมีเลือดออกง่าย โดยเกิดทั้งเลือดออกภายในและภายนอกร่างกาย มักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวาย หรือก่อให้เกิดอาการของระบบประสาทส่วนกลาง ช็อก และเสียชีวิตได้ ไวรัสนี้สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย ได้แก่ เลือด น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย ของใช้ของผู้ป่วย หรือสัตว์ที่ป่วย รวมทั้งการนำสัตว์ที่ป่วยมาทำเป็นอาหาร โดยผ่านทางเยื่อบุในปากและทางเดินอาหาร, เยื่อบุตา และรอยแยกหรือแผลบนผิวหนัง3 ระยะที่เกิดการติดต่อได้เริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการนำ (ประมาณ 7 วัน) ซึ่งในระยะนี้ยังจัดเป็นความเสี่ยงต่ำ การติดต่อจะติดได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้ายของโรค การรักษาไม่มีการรักษาจําเพาะ ในรายที่มีอาการรุนแรงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ให้สารนํ้าอย่างเพียงพอ
ความน่ากลัวของโรค : อย่างที่ทราบกันดีว่าโรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา ยังไม่มียาป้องกันและรักษาที่มั่นใจได้ 100% ตัวยาต่างๆยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ ทำให้โรคนี้น่ากลัวมากหากได้รับเชื้อ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิต องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า พบโรคติดเชื้ออีโบลา ระบาด ในวงกว้าง จำนวน 3 ประเทศ ได้แก่ กินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน รวมทั้งสิ้น 9,191 ราย เสียชีวิต 4,546 ราย และพบในประเทศที่มีผู้ป่วยรายแรกหรือมีการ ระบาด ในพื้นที่จำกัด จำนวน 4 ประเทศ ได้แก่ ไนจีเรีย เซเนกัล สเปน และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้น 25 ราย เสียชีวิต 9 ราย ตอนนี้ทางองค์การอนามัยโลกและสาธารณสุขของประเทศต่างๆก็ต่างเฝ้าระวังกันอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เชื้อกระจายไปในประเทศต่างๆมากขึ้น

เรียบเรียงโดย : health.mthai.com
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักระบาดวิทยา 

สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่
สารานุกรมเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
www.siamhealth.net/
wowboom.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลด กลิ่นกาย ด้วยแพทย์แผนจีน

ผู้หญิงจะอินเลิฟใคร หรือชายใดจะอินเลิฟสาวคนไหน กลิ่นกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ บางทีคนที่เราชอบ ถูกใจบุคลิกท่าทางของเขาหรือเธอ แต่พออยู่ในระยะใกล้ชิด กลิ่นที่ไม่ใช่ กลับทำให้ความรักที่ดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้นจางหายไปเกือบทันที กลิ่นจึงมีความสัมพันธ์กับความรัก เพราะมาจากสัญชาติญาณในการหาคู่ที่เหมาะสมเพื่อที่จะมีลูกด้วยกัน ผู้ชายและผู้หญิงเลือกหาคนรักที่มีกลิ่นเข้ากับยีนของตัวเอง
Woman in bathroom applying deodorant and smiling
ทั้งนี้ กลิ่นกาย ช่วยสร้างอารมณ์ความเป็นตัวเอง และเป็นตัวเสริมบุคลิกภาพที่สำคัญในการเข้าสังคมการใกล้ชิดพูดคุยกับผู้อื่น การมีกลิ่นที่พึงประสงค์ย่อมเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นแต่ในหน้าร้อนปัจจัยที่ส่งให้มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จะมากกว่าฤดูอื่น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นมากขึ้น เน้นดูแลเรื่องความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้ารวมถึงการรับประทานอาหาร จากนั้นจึงค่อยแต่งเติมกลิ่นที่คุณชื่นชอบ
กลิ่นตัวเกิดจากต่อมเหงื่ออะโพครายน์ ที่มีอยู่มากบริเวณรักแร้ รอบหัวนม ทวารหนัก และอวัยวะเพศ ต่อมเหล่านี้จะหลั่งของเหลวสีขาวขุ่น ซึ่งเป็นอาหารอย่างดีของแบคทีเรียที่จะเข้าไปกินแล้วปล่อยสารเคมีออกมาย่อย จึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้น เรามักพบปัญหาเรื่องกลิ่นบ่อยๆ บริเวณรักแร้ เพราะรักแร้มีอุณหภูมิที่อุ่นชื้น เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
กลิ่นเต่า…มาจากไหน
แพทย์จีน (พจ.) บุญเหลือ รุ่งสกาวเลิศ คลินิกเครือรพ.กล้วยน้ำไท กล่าวว่า สภาพอากาศที่ร้อนชื้นในช่วงเดือนเมษายน จะยิ่งทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีและมีจำนวนมากขึ้น ยิ่งหนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องใส่ชุดฟอร์มเสื้อผ้าหนาๆ หรือเนื้อผ้าใยสังเคราะห์ไปทำงานทำให้การระบายความอับชื้นได้ไม่ค่อยดี
นอกจากนี้ บรรดาความเครียด และความกระวนกระวายใจ รวมไปถึงความรีบเร่งในช่วงเวลาก่อนและหลังเลิกงาน จะยิ่งทำให้เหงื่อออกมากขึ้น  โดยสาเหตุก็มาจากในตอนเช้าที่การเดินทางไปทำงานอาจมีเหงื่อออก แต่ก็แห้งไปเมื่อเดินเข้าออฟฟิศที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ช่วงกลางวันไปกินข้าว แถมด้วยเดินช็อปปิ้งกับเพื่อนสาวมีเหงื่อออกแต่ก็กลับแห้งสะสมเป็นชั้นที่ 2 หลังกลับเข้าออฟฟิศ แต่ตอนเย็นที่มักรู้สึกว่าเหนียวตัว และมีกลิ่นมากกว่าช่วงอื่นเพราะเหงื่อผ่านการหมักหมมบนผิวหนังมา 2 รอบแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะไปออกเดท ปาร์ตี้สังสรรค์ นัดคนสำคัญ ก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจและทำให้เสียบุคลิกไปด้วย
ถ้าคุณเคยสูดกลิ่นกายของบรรดาชาวตะวัน คุณเคยสังเกตไหมว่า ผู้คนแถบนั้นมักมีกลิ่นตัวที่แรง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหลักของกลิ่นตัวในทัศนะแพทย์แผนจีน
พฤติกรรมการกิน ซึ่งในปัจจุบันนี้คนไทยเริ่มมีปัญหาเรื่องกลื่นตัวกันมากขึ้น นั่นเพราะหันมานิยมการกินอาหารแบบตะวันตก ซึ่งให้พลังงานสูง เช่น แฮมเบอร์เกอร์ ชีส ถั่ว นม และขนมหวานที่มีเนย นม ฯลฯ โดยการกินอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูงทำให้เกิดความร้อนในตัว ส่วนไขมันก็ไปเคลือบปิดทับรูขุมขนทำให้น้ำและกลิ่นระเหยออกจากตัวได้น้อย กลิ่นจึงหมักหมมเข้มข้นอยู่ในตัวมาก พอค่อยๆ ระบายออกมาได้ กลิ่นจึงแรงกว่าปกติ ยิ่งสาวๆ ที่ดื่มน้ำและทานผักผลไม้น้อย ชอบทานของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ ผัก และเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุนก็มักมีปัญหาเรื่องกลิ่นตัวแรงกว่าปกติอีกด้วย
พจ.บุญเหลือ ยังกล่าวต่อไปว่า ปัญหาเรื่องกลิ่นตัวปัจจุบันมักพบจาก 2 สาเหตุ คือ การรับประทานหารประเภทฟาสต์ฟู้ด และอาหารประเภททอดมากเกินไป ซึ่งอาหารเหล่านี้ให้พลังงานสูง ร่างกายเกิดการสะสมความร้อน และขับถ่ายยากเพราะอาหารมีกากใยน้อย เมื่อความร้อนและการขับถ่ายระบายออกได้ไม่ดีจึงเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่น
kem1

อย่างไรก็ตาม บรรดาปัญหากลิ่นเต่าก็สามารถรักษาได้โดยการใช้สมุนไพรจีน ซึ่งจะช่วยในการระบายของเสียและปรับสมดุลล้างพิษในร่างกาย ช่วยให้กลิ่นบรรเทาลดลงได้ อีกกลุ่มคือคนที่มีปัญหาต่อมใต้รักแร้อุดตัน ความร้อนและเหงื่อจึงระบายออกได้ไม่ดี คนกลุ่มนี้ต้องใช้การรักษาโดยการฝังเข็มเพื่อกระตุ้นให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น ลดการอุดตันของต่อมให้สามารถระบายความร้อนและเหงื่อออกมาได้ปกติ ช่วยลดปัญหากลิ่นตัวลงได้ แต่ละคนมีปัญหาที่แตกต่างกันจึงควรมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย
จบปัญหากลิ่นเต่า
วิธีง่ายๆ ในการเป็นสาวสวยกลิ่นน่าประทับใจ ก่อนอื่นก็ต้องทำให้ตัวเองปราศจากกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ แล้วค่อยเติมกลิ่นที่ชอบเสริมเข้าไป ซึ่งเราสามารถลดกลิ่นได้โดยดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 1-2 ลิตร (ขึ้นอยู่กับปริมาณเหงื่อที่เสียต่อวัน) เพราะน้ำเปล่าช่วยลดความร้อนในร่างกาย และช่วยเจือจางกลิ่นที่ขับออกมาทางเหงื่อ, ควรรับประทานผัก ผลไม้ที่ให้พลังงานน้อย เช่น แตงโม สับปะรด ฝรั่ง หลีกเลี่ยงผักผลไม้ และอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน เนื้อสัตว์ติดมัน ของหวาน อาหารขยะต่างๆ รวมทั้งช่วงหน้าร้อนควรเลี่ยงสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ฯลฯ เพราะมีสารกระตุ้นการระเหยของกลื่นตัว รวมทั้งอาหารรสจัด เผ็ดร้อนเกินไป และคุณหมอยังแนะนำเพิ่มเติมด้วยว่า ควรมีผ้าชนหนูผืนเล็กๆ ไว้ซับเหงื่อเวลารู้สึกเหนียวตัว หรือใช้แป้งฝุ่นโรยตัวเพื่อช่วยลดปัญหาที่อาจก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้
หลังจากลดกลิ่นได้แล้วเพื่อให้มีกลิ่นหอมให้หนุ่มข้างกายประทับใจ การเติมกลิ่นที่หนุ่ม ๆ ชอบเข้าไปก็ยิ่งทำให้หนุ่ม ๆ ต้องหันมองจนคอเคล็ด เช่น กลิ่นหอมหวานที่สาว ๆ หลายคนหลงใหลอย่างวานิลลาที่ได้รับการยอมรับมากกว่า 300 ปีแล้วว่ามีส่วนกระตุ้นความต้องการทางเพศ และยังพบว่ายังช่วยทำให้เกิดความอิ่มเอิบ ปลาบปลื้มยามใกล้ชิดสาวกลิ่นวานิลลา
จากข้อมูลวิจัยพบว่าผู้ชายกว่า 30 เปอร์เซ็นต์อ่อนไหวต่อสาวที่มีกลิ่นโดนัท และชะเอมติดตัว และก็คงเป็นสาเหตุเดียวกันที่สาวๆ เองก็ต้องหันตามกลิ่นเมื่อเดินผ่านร้านโดนัทแทบทุกครั้ง อีกกลิ่นที่พบว่าผู้ชาย 40 เปอร์เซ็นต์พบว่าน่าหลงใหลคือกลิ่นพายฟักทอง โดยเฉพาะเมื่อเจือด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งน่าจะมาจากพายฟักทองจะมีกลิ่นหอมหวานของวานิลลา และอบเชยผสมอยู่
การฉีดน้ำหอมก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ควรฉีดในระยะห่างจากตัวประมาณ 6 นิ้ว และฉีดในบริเวณลำคอ แขน และที่ด้านหลังของหัวเข่า เพราะกลิ่นหอมก็เหมือนกับความร้อนที่จะลอยตัวขึ้นข้างบน ไอระเหยจากน้ำหอมจะทำให้คนข้างกายรู้สึกว่าคุณเป็นสาวที่หอมทั่วเรือนร่าง การฉีดเติมระหว่างวันก็ขึ้นอยู่กับประเภทน้ำหอมที่คุณเลือกใช้ ถ้าเลือกใช้หัวน้ำหอมกลิ่น 15 -30 เปอร์เซ็นต์ก็จะติดกายอยู่ประมาณ 6 – 8 ชั่วโมง เออ ดิ เพอร์ฟูม 10 – 20 เปอร์เซ็นต์กลิ่นจะติดอยู่ประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ถ้าเลือกใช้เป็นเออ ดิ ทอยเลตต์อาจต้องฉีดเติมทุก 3 – 4 ชั่วโมง ส่วนน้ำหอมที่เป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มวัยรุ่นเพราะหาซื้อง่าย และมีราคาไม่แพงคือ เออ ดิ โคโลญจน์ซึ่งกลิ่นจะติดตัวอยู่ประมาณ3 ชั่วโมง

ขอบคุณที่มากจาก : emaginfo.com