วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สูตรอาหารล้างอุจจาระตกค้าง

สูตรอาหารล้างอุจจาระตกค้าง
 


ใครท้องอืด..ไม่ถ่ายหลายวัน ต้องอ่านน!!!  สูตรอาหารล้างอุจจาระตกค้าง

     เห็นเค้าแชร์กันใน FACEBOOK  เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ ต่อผู้อ่าน เลยนำมาแบ่งปันกันจ้า!!  เป็นสูตรอาหารธรรมชาติ ล้างอุจจาระตกค้าง สำหรับผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ ดีไม่ดียังไง หรือใครมีข้อมูลเพิ่มเติม มาแชร์กันได้นะคะ ^^






สาระดีๆ สำหรับคนที่กินแล้วไม่ค่อยขับถ่าย อนาคต.. มะเร็งลำไส้..! "ตะลึง"
....คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระ
ตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง
10 โล... แล้วเป็นเพราะอะไร???


"อุจจาระตกค้าง" เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า


หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้าลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบนเวลาถ่าย จะ ถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอมาจ่ออปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึหลัง 7 โมงเช้า ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุดแต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะ และกดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมายเช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัวอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน 5 สาเหตุข้างต้น แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้

สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้
สูตรที่ 1
เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว
ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวันหรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ
สูตรที่ 2
นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ
500 มิลลิลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร
สูตรที่ 3
ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออก


--------------------------------------------------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิธีบีบนํ้ามะนาว ให้นํ้าออกหมด

แค่บีบน้ำมะนาวธรรมดา ยังต้องมีเทคนิค!! ใครจะคิดบ้างล่ะว่า การหั่นมะนาวผ่าครึ่ง กับผ่าริมๆ แล้วบีบน้ำมะนาวออกมา นั้นได้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน … เคล็ดลับดีๆ เอาไว้ใช้ ในยามที่มะนาวแพงแสนแพง รีบนำเคล็ดลับนี้ไปใช้โดยพลัน ..

วิธีบีบน้ำมะนาว ให้น้ำออกหมดจนหยดสุดท้าย

วิธีบีบน้ำมะนาว ให้น้ำออกหมดจนหยดสุดท้าย
ผ่าด้านข้างทั้ง 4 มุม เหลือไว้ตรงกลาง แล้วบีบน้ำมะนาว ตามรูปภาพนะคะ
วิธีบีบน้ำมะนาว ให้น้ำออกหมดจนหยดสุดท้าย
* ไม่ควรผ่ากลาง แล้วบีบ เพราะจะได้น้ำมะนาว น้อยกว่าการผ่าข้างๆ ทั้ง 4 ด้าน
เคล็ดลับการบีบน้ำมะนาวแบบนี้ ใช้ได้กับการคั้นน้ำผลไม้อื่นๆ อย่าง ส้ม ได้อีกด้วย .. จะได้ผลดีหรือไม่ อย่างนี้ต้องลองเองแล้วนะคะ
ที่มา wonderhowto.com

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

7 ความลับใต้กระโปรง ที่ ผุ้หญิงต้องรุ้

7 ความลับใต้กระโปรง ที่ ผู้หญิงต้องรู้





  ความลับที่ 1 ออกัสซั่ม รักษาปวดหัวไมเกรนและปวดท้องเมนส์
  ไม่ได้เป็นข้ออ้าง แต่เป็นความจริง ผู้ชายคนไหนมีแฟนปวดท้องเมนส์มากๆ คงต้องรักเธอมากๆ และบ่อยๆ มีงานวิจัยล่าสุดออกมาว่าผู้หญิงมากกว่า 20 % ที่หลังจากมีเซ็กซ์อย่างมีความสุขแล้ว อาการปวดหัวไมเกรนจะหายไป ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหม่หรอกนะ ที่ออกัสซั่มช่วยให้คุณหายป่วยได้ เพราะผู้หญิงหลายคนที่ต้องทรมานเพราะปวดท้องเวลามีประจำเดือนรู้ว่า แฟนของเธอช่วยได้ ช่วยรักเธอมากๆ นะ
  ความลับที่ 2 กินยาคุมกำเนิดนานๆ อาจจะทำให้เบื่อๆ ไม่อยากจู๋จี๋กับที่รัก  ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะนอกจากยาคุมจะช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยังไปคุมกำหนัดด้วยนะสิ ไม่ต้องแปลกใจถ้ากินยาเม็ดคุมกำเนิดนานๆ แล้วอาการซู่ซ่าอยากเซ็กซี่มันจะลดน้อยลง มันเป็นอย่างนั้นจริง วิธีแก้ไข ก็ให้ลองพักไปใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นบ้าง เช่น ใช้ถุงยางอนามัย
  ความลับที่ 3 ก่อนที่อาการไมเกรนกำเริบจะเป็นช่วงที่คุณฮอตที่สุด
  ใช่เลย ถึงใครจะถืออาการปวดหัวเป็นข้ออ้างให้ที่รักอยู่ห่างๆ แต่เวลาก่อนที่คุณจะปวดหัวไมเกรนสัก 24 ชั่วโมงล่วงหน้า คุณจะรู้สึกฮอต ซู่ซ่า อยากชวนเขาเข้าห้องเป็นที่สุด ซึ่งยังไม่มีคุณหมอคนไหนออกมายืนยันสาเหตุที่แท้จริง แต่มีการศึกษาวิจัย จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพโอกลาโฮม่า บอกว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อสารเคมีในสมองอย่างเซโรโทนินขยับขึ้น อาจจะไปส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้นได้
  ความลับที่ 4 ใส่ผ้าอนามัยแบบสอดนานเกินไปอาจติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นช็อกได้  เรื่องจิรง โดยเฉพาะผ้าอนามัยแบบสอดที่ดูดซับได้ดีเยี่ยม เราจะไม่รู้ถึงถึงความเหนอะหนะหรือรำคาญ จนต้องเปลี่ยน แต่เลือดที่ออกมาก็ยังค้างอยู่ในช่องคลอดพร้อมกับแท่งผ้าอนามัยนั้น ในสภาวะที่ช่องคลอดอ่อนแอโอกาสที่จะติดเชื้อมีได้สูง ถ้าคุณใส่นานๆ แล้วเริ่มมีอาการปวดท้องมาก ไข้สูงอย่างรวดเร็ว ต้องระวัง ทางที่ดีเปลี่ยนทุก 1-2 ชั่วโมงจะดีกว่า
  ความลับที่ 5 ใส่ชุดชั้นในผ้าฝ้าย + เปลี่ยนน้ำยาซักผ้าบ้างจะลดอาการอักเสบของช่องคลอดได้  เพราะพื้นที่ลับเราไม่ชอบความอับ ผ้าฝ้ายหรือชุดชั้นในใยธรรมชาติจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้อับชื้น และทางที่ดีเปลี่ยนน้ำยาซักผ้าให้หลากหลายบ้าง จะช่วยลดอาการผื่นคัน หรืออาการคันลงได้ และที่สำคัญอย่าใช้สบู่ที่มีน้ำหอมกับน้องหนูสุดที่รัก เพราะจะเกิดอาการแพ้ได้
  ความลับที่ 6 การหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีเซ็กซ์ เพื่อจะได้ไม่เจ็บปวดเวลามีเซ็กซ์ จะทำให้เจ็บตัวมากขึ้น  ผู้หญิงหลายคนที่ไม่แฮปปี้เวลามีเซ็กซ์ ไม่ใช่แค่ไม่มีความสุขแต่ยังเจ็บปวดอีกด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปมี ปล่อยให้พื้นที่บอบบางได้พักผ่อนมากที่สุด แต่ความจิรงๆ แล้ว นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เพราะถ้าคุณไม่ทำกิจกรรมเลย ทุกอย่างก็จะแย่ลงไปกว่าเดิม ต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรแล้วแก้ที่ต้นเหตุดีกว่า
  ความลับที่ 7 มีโอกาสติดโรคทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD มากถ้าคุณชอบฝ่าไฟแดง
  ไม่ใช่ไม่สะดวก แค่ที่นอนจะกลายเป็นสมรภูมิเลือด แต่สุขภาพอนามัยของน้องหนูเราจะบอบบางเซ็นซิทีฟมาก เพราะจะเป็นช่วงที่ความเป็นกรดด่างในช่องคลอดนั้นเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ธรรมดาช่องคลอดเราจะเป็นกรด ซึ่งเป็นสภาวะที่แบคทีเรียเกลียด แต่เวลามี่มีประจำเดือนนั้นจะมีความเป็นด่างสูงขึ้น ซึ่งทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี แต่ก็น่าแปลกนะ เวลาวันแดงเดือดทีไรซู่ซ่าเอาเรื่องทุกทีเลย

ขอขอบคุณข้อมูล จาก นิตยสาร CLEO

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย มาไขความเชื่อและข้อเท็จจริง

    โรคซึมเศร้า
    โรคซึมเศร้า อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คิดสั้นฆ่าตัวตายได้

     
    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 

              โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่คุกคามชีวิต เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตายได้ แต่ยังมีความเชื่อที่เราเข้าใจผิด ๆ กันอยู่มากเกี่ยวกับโรคนี้ เรามาดูกันเถอะว่ามีอะไรที่เรายังไม่ทราบกันบ้าง
              จากเหตุการณ์การสูญเสียนักแสดงฮอลลีวูดมากความสามารถอย่าง โรบิน วิลเลียมส์ ด้วยการฆ่าตัวตายจากอาการโรคซึมเศร้าที่สะเทือนใจแฟนภาพยนตร์ไปทั่วโลกนั้น ทำให้ผู้คนต้องหันกลับมาให้ความสนใจกับโรคนี้กันมากขึ้น ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยด้วยปัญหาจิตเวชนั้นมากกว่า 1 ใน 4 หรือ 450 ล้านคนของประชากรทั่วโลก ขณะที่ในประเทศไทยนั้นกรมสุขภาพจิตได้เปิดเผยว่าสถิติของผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีถึง 1.1 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับการรักษา
     
              ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดโรคซึมเศร้านั้นก็มาจากการสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเกิดจากเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนถึงจิตใจ ซึ่งโรคซึมเศร้านี้มีความอันตรายมากกว่าที่คิด และมีข้อเท็จจริงหลายอย่างที่หลายคนอาจยังไม่รู้ อย่างเช่นที่เว็บไซต์ health.com ได้บอกกล่าวเอาไว้ รู้เอาไว้เผื่อจะได้ช่วยกันสังเกตเพื่อป้องกันและรักษาเยียวยาอาการของผู้ป่วยได้ทันท่วงทีนะคะ

    ความเชื่อเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย

     1. วัยรุ่นเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายมากที่สุด?

              แม้ว่าการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นนั้นจะเป็นหัวข้อข่าวใหญ่อยู่เสมอ แต่ความจริงแล้วผู้สูงวัยมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายมากกว่าวัยอื่น ๆ โดยพบว่าชายผิวขาวในช่วงอายุ 85 ปี มีอัตราในการฆ่าตัวตายเฉลี่ยสูงถึง 49.8 คนต่อ 100,000 คน ซึ่งมากกว่าชายผิวขาวในช่วงอายุ 65 ปี ซึ่งมี 14 คนต่อ 100,000 คน และ 11 คนต่อ 100,000 คนในกลุ่มคนทั่วไป แต่วัยรุ่นนั้นก็ยังมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูง ซึ่งหนึ่งในห้าของนักเรียนมัธยมมักเคยมีความพยายามในการฆ่าตัวตาย โดยอัตราการฆ่าตัวตายของเด็กวัยรุ่นนั้นอยู่ในช่วงวัย 15-19 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่ที่ 6.9 คน ต่อคนในวัยเดียวกัน 100,000 คน

     2 การฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เกิดจากอาการของโรคซึมเศร้า?

              จริงอยู่ที่ว่าในทุก ๆ 2-3 คนของคนที่ฆ่าตัวตายนั้นจะมีอาการของโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นในช่วงก่อนการฆ่าตัวตาย แต่รู้ไหมว่า คนจำนวน 1 ใน 3 ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ มักดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อมูลนี้ออกมา แต่โรคซึมเศร้าก็จะคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการฆ่าตัวตายอยู่ดี

     3. ประเทศที่ยากจนมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าประเทศอื่น?

              ในความเป็นจริงแล้วประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราในการฆ่าตัวตายสูงกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำที่สุดอยู่ในประเทศแถบละตินอเมริกา อย่างเช่น บราซิล และสาธารณรัฐโดมินิกัน ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น และฝรั่งเศสมีอัตราในการฆ่าตัวตายสูงที่สุด นอกจากนี้ยังมีการพบว่ามีชาวรัสเซียอย่างน้อย 54 คนใน 100,000 คน ฆ่าตัวตายในทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการดื่มแอลกอฮอล์สูง

    โรคซึมเศร้า

     4. การฆ่าตัวตายในปัจจุบันมีอัตราสูงขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต?

              ความจริงแล้วอัตราการฆ่าตัวตายนั้นอยู่ในระดับคงที่มานานแล้วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและมีการลดลงเล็กน้อย แต่มีรายงานจากองค์การอนามัยโลกว่า อัตราในการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นถึง 60% ในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา โดยเกิดขึ้นในเยาวชนช่วงอายุ 15 - 24 ปี ซึ่งมีแนวโน้มในความพยายามฆ่าตัวตายมากกว่า 2 ครั้ง เมื่อเทียบกับผู้คนในช่วงอายุ 50 ปี 

    5. มีคนจำนวนน้อยนิดที่โทรหาสายด่วนสาธารณสุข เพื่อปรึกษาปัญหาชีวิต?
     
              ในปัจจุบันสายด่วนที่ให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ นั้นเป็นหนทางช่วยแก้ปัญหาการฆ่าตัวตายที่ได้ผลดี และมีผู้คนมากมายที่กำลังประสบปัญหาได้โทรหาสายด่วนเหล่านี้เป็นจำนวนมาก และไม่ใช่ว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้นที่จะสามารถโทรไปปรึกษาได้ ผู้ที่ใกล้ชิดหรือเกี่ยวข้องก็สามารถโทรไปเพื่อขอคำปรึกษาได้เช่นกัน โดยในประเทศไทยสามารถโทรไปได้ที่สายด่วนของกรมสุขภาพจิต 1667

     6. การฆ่าตัวตายมักจะเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์?

              มีการศึกษาที่ไม่ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือฉบับไหนบอกว่า การฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในวันจันทร์ ซึ่งแพทย์หญิง Valenstein ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชแห่งศูนย์โรคซึมเศร้ามหาวิทยาลัยมิชิแกน ก็สนับสนุนข้อมูลนี้ว่า ถึงแม้จะไม่ชัดเจนแต่มีการสันนิษฐานถึงเหตุที่คนเลือกที่จะฆ่าตัวตายในวันจันทร์ เพราะวันจันทร์นั้นเป็นวันเริ่มต้นของสัปดาห์และเริ่มต้นการทำงาน ซึ่งคนจะมีความเครียดสูงในวันนี้

    โรคซึมเศร้า

    ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย

     1. สไตล์การเขียนเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย

              ความคิดสร้างสรรค์, อาการซึมเศร้า และการฆ่าตัวตายนั้นมีส่วนเชื่อมโยงกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่นักสร้างสรรค์ในประวัติศาสตร์ที่มีความเจ็บป่วยทางร่างกาย และความซึมเศร้าจะมีผลกระทบต่อความคิดของพวกเขา ตัวอย่างเช่น Charles Dickens, John Keats และ Tennessee Williams และมีนักเขียนบางส่วนที่ฆ่าตัวตายได้แก่ Ernest Hemingway, Sylvia Plath และ David Foster Wallace. ซึ่งนักเขียนเหล่านี้ได้มีบางอย่างที่เหมือนกันนั่นก็คือผลงานเขียนของเขาถูกเล่าผ่านบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งมันคือสัญญาณของการฆ่าตัวตาย

     2. ภาวะซึมเศร้าสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้

              ในครอบครัวที่สมาชิกมีประวัติเป็นโรคซึมเศร้าจะยิ่งที่ให้เด็กที่อยู่ภายในครอบครัวมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นในช่วงอายุ 11 ปี ทั้งนี้ ครอบครัวหรือเพื่อนมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตาย และแรงสนับสนุนทางสังคมก็เป็นส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายได้เช่นกัน

     3. ส่วนใหญ่แล้วการฆ่าตัวตายมักจะล้มเหลว

              แพทย์หญิง Valenstein ได้เปิดเผยว่า มีความพยายามเพียง 1 ครั้ง จากความพยายามในการฆ่าตัวตาย 10 ถึง 25 ครั้งเท่านั้นที่สำเร็จ และในปัจจุบันอัตราก็ยิ่งต่ำลง พร้อมกับแนะนำว่าวิธีที่จะช่วยทำให้ความคิดในการพยายามฆ่าตัวตายลดลงได้ก็คือการนำสิ่งที่สามารถใช้ในการฆ่าตัวตายออกให้ห่างจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ให้พวกเขารู้สึกว่าการฆ่าตัวตายนั้นยากลำบากมากขึ้น 

    โรคซึมเศร้า

     4. การบำบัดรักษาช่วยตัดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายออกไปได้

              แม้ว่าในตอนนี้จะมีไม่กี่วิธีที่จะช่วยในการป้องกันการฆ่าตัวตายได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการรักษาโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยทำให้ความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายนั้นลดลงได้ โดยแพทย์หญิง Valenstein พบว่าในกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี นั้นจะมีความคิดในการฆ่าตัวตายที่ลดลง หลังได้รับการรักษาโรคซึมเศร้า

     5. การฆ่าตัวตายทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้

              การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายในปัจจุบันนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบมากขึ้น ซึ่งหลายประเทศได้ออกกฎให้สื่อมวลชนจะต้องไม่รายงานละเอียดของการตาย หรือการฆ่าตัวตาย และในท้ายของการรายงานก็จะต้องมีการอ้างอิงถึงสายด่วนสุขภาพจิตด้วย เพื่อให้ผู้คนที่กำลังมีปัญหาจะได้รู้สึกว่าอยากจะแก้ไขมันมากกว่าที่จะเลียนแบบสิ่งที่เห็นในข่าว

     6. ผู้ชายมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายได้สำเร็จสูงกว่าผู้หญิง

              ในขณะที่มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่าที่พยายามฆ่าตัวตาย แต่จำนวนของผู้ชายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จกลับมีมากกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า และมีการพบว่ามากกว่าครึ่งของผู้ที่ฆ่าตัวตายนั้นมักใช้อาวุธปืน ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้ชายส่วนใหญ่ใช้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นจะใช้วิธีกินยาเกินขนาดซึ่งจะเสียชีวิตน้อยกว่าหากรักษาได้ทันท่วงที

              ผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้นเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับความรัก ความเข้าใจ และการดูแลที่ดีจากคนใกล้ชิด ผู้ป่วยจะอาการดีขึ้นได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนรอบข้าง ถ้าเราคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ ร่วมกับการรักษาอย่างถูกวิธี รับรองว่าผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคนี้ได้อย่างแน่นอนค่ะ 

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อุ่นอาหารซํ้าๆ เสื่ยง ! คุณค่าทางโภชนาลดลง

ปัจจุบันโรคอ้วนเป็นปัญหาอย่างมากใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่อาจเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
ดังนั้นโรคอ้วนจึงจำ เป็นต้องได้รับการรักษา ซึ่งการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การใช้ยารักษา และการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันพบว่าการนำยาลดความอ้วนไปใช้ในทางที่ผิดมีมากขึ้น เนื่องจากการซื้อยาลดความอ้วนสามารถหาซื้อเองได้ง่าย โดยไม่ได้มีการแนะนำ ปัจจุบันประชาชนนิยมซื้ออาหารสำเร็จรูปหรือปรุงประกอบ อาหารในปริมาณที่มาก เมื่อรับประทานไม่หมดก็นำไปเก็บไว้ในตู้เย็น แล้วนำมาอุ่นรับประทานในมื้อต่อไป

2588-attachment
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงอันตรายจากอาหารค้างคืนที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพว่า อาหาร ที่มีการอุ่นซ้ำซากหรือต้มตุ๋นเป็นระยะเวลานานเกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป จะมีโอกาสทำให้ คุณค่าทางโภชนาการ ลดลง ดังนั้น ควรปรุงอาหารแต่พอกินในแต่ละมื้อ เพราะอาหารที่ปรุงสุกใหม่ คุณค่าทางโภชนาการ จะมีมากกว่าอาหารที่ผ่านการอุ่นหลายๆครั้ง โดยเฉพาะอาหารประเภทเป็ดพะโล้ ห่านพะโล้ หมูสามชั้น ซึ่งในขณะปรุงจะมีการเคี่ยวด้วยน้ำตาลเพื่อให้รสชาติที่อร่อย
อย่าง ไรก็ตาม ข้อควรระวังคือ เมื่อโปรตีนจากเนื้อสัตว์ถูกความร้อนจากการเคี่ยว ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน อาหารพวกนี้มักถูกตรวจพบสารกลุ่มเฮ็ตเตอโรไซคลิกเอมีน ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเกิดที่ความร้อนไม่สูงนัก คือเป็นการรวมตัวระหว่างครีเอตินีนหรือครีเอติน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของน้ำในเนื้อสัตว์ที่มักไหลออกมาเวลาเอาเนื้อสัตว์ออก จากตู้แช่แข็ง กับสารสีน้ำตาลในเนื้อที่ถูกทอดหรือตุ๋น ซึ่งเรียกสารนี้ว่าเมลลาร์ดรีแอคชั่นโพรดักซ์ ส่วนกลุ่มที่สองเกิดจากความร้อนค่อนข้างสูงมาก จากการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนในเนื้อสัตว์ระหว่างปรุงอาหาร เช่น การปิ้งหมู
อาหารประเภทผักสด ผัดผัก ผักลวก นึ่ง ต้ม ถ้าเหลือแล้วนำไปเก็บไว้รับประทานมื้อต่อไป คุณค่าทางโภชนาการ จะลดลง หากเก็บรักษาไม่ดีพอ จุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในระหว่างเก็บก็จะทำให้ท้องเสียได้ ส่วนการรับประทานเนื้อแดงมากๆจะมีแนวโน้มทำให้การรับประทานผักและผลไม้ลดลง ทำให้ป้องกันเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไปจากกระบวนการ oxidation หรือการเกิดอนุมูลอิสระ เมื่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด ดังนั้น จึงควรกินผักสดเป็นประจำ อย่างน้อยมื้อละ 2 ทัพพี เพราะในผักมีวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกาย
ทั้งนี้ การปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดีด้วยการกินอาหารที่ถูกต้อง ทั้งปริมาณ คุณภาพ ตามหลักโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีคือ
  1. กิน อาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
  2. กินผักชนิดต่างๆอย่างน้อยมื้อละ 2 ทัพพี
  3. กินผลไม้อย่างน้อยมื้อละ 1-2 ส่วน เช่น กล้วยน้ำว้าหรือส้ม ฃ
  4. เลือกวัตถุดิบในการปรุงอาหารที่ปลอดภัยจากการปนเปื้อนของสารเคมีและสิ่ง เจือปน
  5. ลดการกินอาหารมัน ได้แก่ อาหารทอดน้ำมัน เช่น ไก่ทอด หมูทอด อาหารที่มีกะทิ เช่น แกงกะทิ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันทอดซ้ำ
  6. ลด การกินอาหารหวาน
  7. ลดการกินเค็ม โดยเฉพาะเครื่องปรุงรสเค็ม
  8. ลดการกินอาหารแปรรูป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีเกินความเป็นสีธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์แปรรูปสีแดง
  9. หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงไว้ค้างคืน
  10. ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปรกติ ผู้ชายรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. ผู้หญิงรอบเอวไม่เกิน 80 ซม.
  11. ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
  12. ทำใจให้สบาย คิดบวกเสมอ
ขอบคุณที่มาจาก : เว็บไซต์กรมอนามัย
thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผอมไม่ผอม ฮอร์โมน คือตัวกําหนด

ฮอร์โมน ไม่ใช่เพียงสารเคมีจากต่อมไร้ท่อที่คอยควบคุมการทำงานของร่างกายให้สมดุล เท่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวของเราตั้งแต่ความรู้สึกหิวจนถึงกระบวนการ สะสมไขมัน
ฮอร์โมนเป็นกุญแจสำคัญที่กำหนดรูปร่างให้ผอมเพรียว หรืออ้วนเผละ ‘ทั้งความอยากอาหาร หรือกระบวนการเผาผลาญในร่างกายล้วนขึ้นอยู่กับสารเคมีจากต่อมไร้ท่อเหล่า นี้’ หากคุณพยายามควบคุมสารเคมีอย่าง เลปติน คอร์ติซอล เซโรโทนิน อินซูลิน และอิริซินได้ ก็อาจปั้นหุ่นในฝันขึ้นมาได้ไม่ยาก
153813791
หลายคนแยกไม่ออกว่าอาการอ้วนที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้น เกิดจากกินเยอะไปหรือฮอร์โมนกันแน่ เรามีวิธีสังเกตุง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
  1. กินไม่เยอะ แต่ลดน้ำหนักยาก
  2. ให้สังเกตที่ตาตุ่มและหลังเท้า ถ้ามีอาการบวม อาจเป็นไปได้ว่าคุณอ้วนเพราะฮอร์โมน
  3. มี ภาวะอื่นๆ ในร่างกายที่ดูแปลกไป เช่น ขนหรือผมร่วงมากเกินไป หรือมีขนงอกเพิ่มขึ้นผิดปกติ เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวอาจทำให้ผู้หญิงมีขนงอกเพิ่มขึ้น
  4. สภาพผิวหนังแห้งหรือชื้นผิดปกติ
  5. หน้าท้องแตกลายทั้งที่ไม่ได้ตั้งท้อง
และ หากคุณเป็นคนที่อ้วนเพราะฮอรโมน ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถกำหนดให้เจ้าสารเคมีทรงพลังสร้างเรือนร่างที่อยากให้เป็นได้ นั้นตามมาทำความรู้จัก และดูวิธีต่างๆ ที่จะพาให้คุณเอาชนะ ฮอร์โมนกำหนดน้ำหนักตัว
1. ฮอร์โมน : เลปติน
เลป ตินเป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่ผลิตจากเซลล์ไขมัน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร โดยนักวิจัยพบว่า คนที่มีไขมันส่วนเกินในร่างกายมีสิทธิเผชิญภาวะต้านฮอร์โมนเลปตินซึ่งสมองจะ ไม่ตอบสนองต่อเลปตินแม้มันจะหลั่งออกมามากก็ตาม จนปัจจุบันยังคงไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
แต่ทฤษฎีหนึ่งบ่งชี้ว่า เซลล์ไขมันผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบแล้วไปปิดกั้นการทำงานของเลปติ นร่างกายก็เลยคิดว่ามันกำลังหิว ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ตลอดจนสมองจะส่งสัญญาณกระตุ้นให้คุณหิวและสวาปามได้ไม่ยั้ง โดยเฉพาะอาหารแคลอรีสูง
วิธีสร้าง สมดุลฮอร์โมน : ภาวะต้านฮอร์โมนเลปติน สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกาย โดยคุณลองกินผัก 1ถ้วย ก่อน 10 โมงเช้าทุกวัน
โดยแพทย์ด้าน ระบบต่อมไร้ท่อ ในแอตแลนต้า ได้ยืนยันแล้วว่า คนที่กินตามคำแนะนำมีแนวโน้มการกินน้อยลง รวมถึงไฟเบอร์และสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ก็ช่วยลดอาการอักเสบที่รบกวนการทำงานของเลปติน นั้นช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญไขมันและลดความรู้สึกอยากอาหารได้
2. ฮอร์โมน : คอร์ติซอล
เคย สงสัยไหมคะ ว่าในวันที่เคร่งเครียดยุ่ง เหยิงทำไมถึงคุณรู้สึกกอยากกินของหวานเป็นพิเศษ นั่นเพราะต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาเพื่อเตรียมพลังงานให้อยู่ ในโหมดพร้อมสู้หรือถอยหนี ร่างกายก็เลยต้องการแป้งกับน้ำตาลมากขึ้น
นอก จากนี้ คนที่ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำทั้งวันทั้งคืน มีระดับคอร์ติซอลสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า ซึ่งฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายนี้ จะเป็นต้นเหตุของห่วงยาง 3 ชั้น
วิธี สร้างสมดุลฮอร์โมน : หากไม่ต้องการพึ่งยาแต่ต้องการควบคุมตัวเองให้หยุดตั้งหน้าตั้งตากินแป้งและ น้ำตาล การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยได้ค่ะ แต่ควรหันไปกินอาหารโฟเลตสูงอย่างหน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเมล็ดแบนเช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ฯลฯ และผักโขม วิตามินบีในอาหารเหล่านี้ช่วยสร้างเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้สมองสงบลงจากความเครียด
ฮอร์โมน ความอ้วนที่ซ่อนอยู่รอบตัวคุณ
ปัจจุบัน นี้ ‘ฮอร์โมนไม่ได้ผลิตแค่ภายในร่างกายเราเท่านั้น มันอยู่รอบๆ ตัวเรา…จะอะไรซะอีกล่ะ ก็ผลิตภัณฑ์ 3 ชนิดที่เราใช้กันอยู่ทุกวี่วัน ใครจะรู้ว่า ‘มันมีสารเคมีที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความอ้วนออกมา’
1. น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
น้ำ หอม เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ในครัวเรือนรอบตัวเราหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแชมพู น้ำยาทำความสะอาดพื้น มีสารเคมีที่เรียกว่า “พทาเลต (phthalates)” ช่วยให้กลิ่มหอมทนนาน สบายจมูก แต่สารเคมีชนิดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับน้ำหนักส่วนเกินของสาวๆ ทางที่ดีคุณหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารนี้จะดีกว่า แต่หากยอมตุ้ยนุ้ยเพื่อเนื้อตัวหอมนานก็ช่วยไม่ได้ค่ะ
2. อาหารกระป๋อง
ตัว กระป๋องอาจมีสารเคมีที่ทำหน้าที่คล้ายเอสโตรเจน นั่นก็คือ Bishenol A (BPA) โปรดระวังอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น มะเขือเทศ ซึ่งอาจทำปฏิกิริยากับกระป๋องแล้วปล่อยสาร BPA เจือปนในอาหารได้ หากสารนี้สะสมในร่างกายเยอะๆ มันจะส่งผลต่อร่างกายหลายด้าน ดังนั้นเลือกใช้กระป๋องปลอด BPA หรือทานอาหารที่ใส่บรรจุภัณฑ์อื่นจะดีกว่าค่ะ
3. เครื่องครัวที่เคลือบสารกันติดกระทะ
มี การวิจัยหนึ่ง เปิดเผยว่า เด็กที่เกิดจากคุณแม่ที่มีระดับกรด Perfluorooctanoic (PFOA) สูงช่วงตั้งท้อง มีแนวโน้มจะอ้วนง่ายกว่าเด็กที่เกิดจากคุณแม่ที่มีสารเคมีชนิดนี้ในร่างกาย ต่ำ
ซึ่งไอ้เจ้าสารPFOA นี้ มักพบในเครื่องครัวที่เคลือบผิวกันติด ซึ่งหากเปลี่ยนมาใช้เครื่องครัวทำจากเหล็ก หรือสเตนเลส ก็จะปลอดภัยและดีต่อคุณเองและลูกน้อยมากกว่า
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ความอ้วนไม่อยู่ที่การกินเท่านั้น แต่ฮอร์โมนก้ยังมีส่วนกำหนด และก็ไม่เพียงแต่ฮอร์โมนในร่างกายเท่านั้น ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านและเครื่องสำอางค์ ของใกล้ตัวที่มีสารเคมีซึ่งกระตุ้นหรือรบกวนการทำงานภายในร่างกายของคุณก็ ให้คุณอ้วนได้
สิ่งที่คุณจะทำให้ฮอร์โมนไม่สามารถมีผลต่อน้ำหนักตัว และความอ้วนได้ คือเข้าใจ และรู้วิธีในสร้างสมดุลและพยายามควบคุมฮอร์โมนเหล่านี้ให้ได้ค่ะ
ขอบคุณที่มาจาก : emaginfo.com

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาบนํ้าด้วย สบุ่เหลว ตายเร็วจริงหรือ

หลังจากที่มีการแชร์บทความที่บอกว่า การอาบน้ำด้วย สบู่เหลว ทำให้ตายเร็ว ออกไปเป็นจำนวนมากในสังคมออนไลน์ ทำให้หลายคนสงสัยว่าเป็นจริงอย่างที่บทความนี้บอกหรือ โดยบทความที่แชร์กันออกไปนั้น มีข้อความดังนี้
10464225_702009419870285_414141125784354409_n
“…..อาบน้ำด้วย สบู่เหลว ตายเร็ว!!
ถ้าคุณชอบอาบน้ำด้วย สบู่เหลว ละก้อ ควรอ่านบทความนี้…
เดี๋ยว นี้สบู่เหลวได้รับ ความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบาย เป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลว ที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่ แต่ เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจน ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์ อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำ สบู่เหลว มีความเจือจางกว่าเท่านั้น
ผล กระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะ ภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วน ผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฏหมายห้ามใช้ แล้ว และบางประเทศก็จำกัด ให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กัน
อย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับ สารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้ สบู่เหลว ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้ สบู่เหลว สำหรับเด็กก็จะดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือ จางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด……”
ซึ่ง หลังจากที่ลองตรวจสอบที่มาของข้อมูลนี้นั้น กลับเป็นบทความเก่าที่เป็นฟอร์เวิร์ดเมลแบบผิดๆส่งต่อกันมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว แต่กลับมามีคนเอามาแชร์ต่อเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้งในหมู่สังคมออนไลน์ ที่บางคนอาจจะยังไม่เคยเห็นข่าวนี้ วันนี้เราเลยจะมาตอบข้อสงสัยของทุกคนกันค่ะ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ออกมาให้ข้อมูลแก่ประชาชน ดังนี้
นาย แพทย์ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่าในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลายชนิด เช่น แชมพูสระผม สบู่เหลว น้ำยาล้างจาน มีการใช้สารลดแรงตึงผิว ( Surfactant ) เป็นส่วนผสม ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
1.  สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ ( anionic surfactant ) มีคุณสมบัติทำความสะอาดได้ดี มีราคาถูก และมีความแรงมากกว่าชนิดอื่น จึงอาจทำให้เกิดการระคายต่อผิวได้มาก เช่น sodium lauryl sulfate ( SLS )
2.  สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุบวก ( cationic surfactant ) มักใช้ร่วมกับชนิดประจุลบในการแก้ไขจุดบกพร่องของผลิตภัณฑ์ เช่น benzalkonium chioride
3.  สารลดแรงตึงผิวชนิดประจุบวกและประจุลบ ( amphoteric surfactant ) เช่น cocamidopropyl betaine
4.  สารลดแรงตึงผิวชนิดมีประจุระคายเคืองต่อผิวหนังน้อย เช่น nonyl phenol groups ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กหรือ สบู่เหลว จึงมักใช้สารลดแรงตึงผิวประเภทที่ 3 และ 4 เป็นส่วนผสม เนื่องจากมีความอ่อนโยนกว่าประเภทอื่น
       ส่วนกรณีที่มีการเสนอข่าวว่า หาก สบู่เหลว ซึ่งมีส่วนผสมของสารโซเดียมลอริลซัลเฟต( SLS ) ไปผสมกับสารประกอบตระกูลเอมิน ( amine ) แล้วจะกลายเป็นสารก่อมะเร็งนั้นจากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สารโซเดียมลอริลซัลเฟตสามารถทำปฏิกิริยากับสารตระกูลเอมินแล้วเกิดเป็นสารไน โตรซามิน จะต้องมีองค์ประกอบหรือสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาในโตรเฟ ชั่น ( nitrofation ) เช่น ต้องมีอุณหภูมิที่สูงกว่า 100 C ทำให้มีโอกาสเกิดสารก่อมะเร็งได้น้อยมาก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่ายังมีการนำสารโซเดียมลอริลซัลเฟตมาเป็นส่วนผสม ของผลิตภัณฑ์ แต่ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับสูตรให้เหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐานและความ ปลอดภัย รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการติดตามตรวจสอบส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ปลอดภัยอยู่เสมอ
อธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่าสำหรับ สบู่เหลว ทั่วไปและที่ใช้ในสปาไม่น่าจะมีอันตราย หากผลิตภัณฑ์มีการใช้สารลดแรงตึงผิวในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกใช้ให้ถูก ต้องตรงวัตถุประสงค์ของแต่ละสูตรตำรับ ซึ่งอาจมีการเติมสารอื่นๆ นั้น ไม่น่าจะเกิดอันตราย เพราะเป็นการเจือจาง สบู่เหลว เวลาใช้ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เหมือนกันในแต่ละบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน อาจจะทำให้เกิดผิวหนังแห้งได้ ดัง นั้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นภายหลังการแช่น้ำด้วย และเนื่องจาก สบู่เหลว เป็นเครื่องสำอางทั่วไป กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย จึงได้ตรวจสอบการปนเปื้อนของ เชื้อจุลินทรีย์และการระคายเคืองเบื้องต้น ซึ่งจากการตรวจตัวอย่างที่ผ่านมาไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์เกิน มาตรฐาน และเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อโรค รวมทั้งไม่เกิดการระคายเคืองเบื้องต้น
อย่าง ไรก็ตาม ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องหลายแห่งได้ร่วมกันติดตามข้อมูลต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ หากมีปัญหาหรือมีข้อมูลของความไม่ปลอดภัย ก็จะมีการแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งเร่งดำเนินการตามกฎหมายและพิจารณายกเลิกห้ามใช้ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน
ขอบคุณที่มาจาก : webdb.dmsc.moph.go.th

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มหากาพย์กิลกาเมช ตํานานนํ้าท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก


ไม่ นานมานี้เพื่อนๆ หลายคนอาจจะได้ดูภาพยนตร์เรื่อง NOAH ที่เกี่ยวกับตำนานน้ำท่วมโลกที่ทำให้เกิดโดยพระเจ้าหรือเทพเจ้าเพื่อทำลาย อารยธรรม โดยเป็นการตอบสนองผลกรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นที่แพร่หลายในตำนานกรีก และตำนานในวัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมาย เรื่องราวของโนอาห์และเรือของโนอาห์ในเจเนซิส, มัสยาวตาร ในคัมภีร์ ปุราณะ ของฮินดู, ดูเคเลียน ในตำนานเทพเจ้ากรีก และ อุตนาปิชติม ในมหากาพย์ กิลกาเมช เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานต่างๆที่เราคุ้นเคยกันดี และนี่คือ มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่นัก โบราณคดีหลายๆ คนบอกว่า มหากาพย์เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์ ว่าบุคคลที่ถูกพูดถึงในนิยายเล่มนี้อาจจะเคยมีชีวิตอยู่จริงๆก็ได้! 
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) เป็นตำนานน้ำท่วมโลกที่เก่าแก่ที่สุดในยุคของเมโสโปเตเมียโบราณ และเป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมประเภทนิยายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย นักวิชาการเชื่อว่ามหากาพย์เรื่องนี้มีกำเนิดมาจากตำนานกษัตริย์สุเมเรียน และบทกวีเกี่ยวกับวีรบุรุษในตำนานที่ชื่อว่า กิลกาเมช ซึ่งถูกรวบรวมเอาไว้ กับบรรดาบทกวีอัคคาเดียนในยุคต่อมา
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก เป็น เรื่องราวการผจญภัยของวีรบุรุษนามว่า กิลกาเมช (Gilgamesh) กษัตริย์ในตำนานแห่งนครอุรุค ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติส อารยธรรม เมโสโปเตเมีย (ประเทศอิรักปัจจุบัน) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกิลกาเมช กับเพื่อนของเขาชื่อ เอนกิดู เนื้อหาส่วนใหญ่ในมหากาพย์เน้นย้ำถึงความรู้สึกสูญเสียของกิลกาเมช หลังจากเอนกิดูเสียชีวิต และกล่าวถึงการกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งพร้อมกับเน้นย้ำเรื่องความเป็นอมตะ
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
รูปปั้นกิลกาเมช ที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์
มหากาพย์กิลกาเมช
  • มหา กาพย์ในต้นฉบับสุเมเรียนที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 3 ของอูร์ (Ur) คือระหว่าง 2150-2000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนฉบับอัคคาเดียนที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในช่วงต้นๆ ของสหัสวรรษที่ 2
  • มหากาพย์อัคคาเดียนฉบับ “มาตรฐาน” ประกอบด้วยแผ่นดินเหนียว 12 แผ่น ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่าง 1300-1000 ปีก่อนคริสตกาล ค้นพบอยู่ในหอจารึกของ Ashurbanipal ที่เมืองนีนะเวห์ (Nineveh) หอสมุดแห่งนี้ถูกพวกเปอร์เซีย ทำลายเมื่อ 612 ปีก่อนคริสตกาล และจารึกทั้งหมดก็พินาศไปด้วย
  • มหากาพย์ชุดที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันปรากฏในแผ่นดินเหนียว 12 แท่งซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอเก็บจารึกของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เมื่อราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล
  • มหา กาพย์อัคคาเดียนนี้ ถูกจารึกระบุชื่อผู้แต่งไว้ด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เนื่องจากในสมัยโบราณ แทบจะไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเรื่องใด ๆ (จารึกไทยในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาก็ไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเช่นกัน) ผู้แต่งจารึกนี้คือ ชิเนฆิอุนนินนิ (Shin-eqi-unninni) อาจกล่าวได้ว่า บุคคลผู้นี้เป็นนักเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกวรรณกรรม ที่เราสามารถระบุชื่อได้
  • มหากาพย์ มีชื่อดั้งเดิมว่า ผู้มองเห็นเบื้องลึก (He who Saw the Deep) หรือผู้ยิ่งใหญ่กว่าราชันทั้งปวง (Surpassing All Other Kings)
  • มี การคาดเดาว่า  กิลกาเมชอาจจะเป็นผู้ปกครองที่มีตัวตนจริงในอดีตระหว่าง ราชวงศ์ที่ 2 ของยุคต้นของสุเมเรีย (ประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล)
  • การ ค้นพบวัตถุโบราณอายุประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับ Enmebaragesi แห่ง Kish ผู้ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานว่าเป็นบิดาของศัตรูคนหนึ่งของกิลกาเมช ทำให้มหากาพย์เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์มากขึ้น และช่วยยืนยันว่ากิลกาเมชน่าจะมีตัวตนจริง
  • มหากาพย์กิลกาเมช หลง เหลืออยู่เป็นวรรณกรรมในหลายภาษา เช่น ของชาวอัคคาเดีย (ภาษาตระกูลเซมิติค ซึ่งมีความสัมพันธ์กับภาษาฮีบรู, เป็นภาษาที่พูดกันในอาณาจักรบาบิโลน) นอกจากนี้ยังมีปรากฏบนแผ่นจารึกดินเหนียว เป็นภาษาฮูร์เรียน และภาษาฮิตไตต์ (ภาษาหนึ่งในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ซึ่ง พูดกันในเขตรอยต่อยุโรปและเอเชีย นับเป็นหนึ่งในบรรดาภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก) ภาษาทั้งหมดที่พูดมานี้ จารด้วยอักษรลิ่ม หรือที่เราคุ้นเคยกันด้วยชื่อ คูเนฟอร์ม

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
มหากาพย์กิลกาเมช ตามตำนานได้เล่าไว้ว่า …
กิลกาเมช เป็น ษัตริย์แห่งนครอูรุก ซึ่งเป็นนครรัฐใหญ่ของชาวสุเมอร์เรียน พระองค์ทรงมีพระมารดาเป็นเทพและมีพระบิดาเป็นมนุษย์ ทำให้ทรงมีเลือดเทพอยู่ในวรกายครึ่งหนึ่ง
กิลกาเมชเป็นกษัตริย์ที่มัว เมาในเรื่องของกามารมณ์เป็นอย่างมาก พระองค์ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการหาสาวงามมาสนองตัณหาของตัวเอง โดยไม่ละเว้นว่า หญิงสาวผู้นั้นจะเป็นสาวโสดหรือมีคู่ครองแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์มักจะไปปรากฏตัวในงานแต่งงานและเรียกร้องสิทธิในการนอนกับเจ้าสาวใน คืนแรกของการสมรส ซึ่งการกระทำเหล่านี้ทำให้พลเมืองชาวอูรุกพากันคับแค้นใจอย่างมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ เนื่องจากเกรงกลัวในอำนาจของกษัตริย์และสายเลือดแห่งเทพของกิลกาเมช
ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาปวงชนผู้ทุกข์ร้อนจึงพากันไปสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าให้ทรงจัดการกับกิลกาเมช และเมื่อเสียงสวดอ้อนวอนของประชาชนไปถึงสวรรค์ เหล่าเทพเจ้าจึงลงมติที่จะต้องจัดการกับมนุษย์ครึ่งเทพผู้นี้ โดยเหล่าเทพได้ให้เทพีอารารูปั้นดินเหนียวเป็นรูปบุรุษผู้หนึ่งและให้นามว่า เอ็นคิดู โดยเทพเจ้าได้นำความป่าเถื่อนของสัตว์ป่า 12 ชนิดใส่ลงไปในตัวของเขา เพื่อให้เขาทรงพลังพอที่จะจัดการกับกิลกาเมชได้
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
เอ็นคิดู
เอ็นคิดูมีร่างกายท่อนบนเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ขณะที่ขาทั้งสองข้างนั้นเป็นขาของวัวกระทิง ส่วนบนศีรษะยังมีเขากระทิงงอกออกมาอีกด้วย เหล่าเทพได้ส่งเอ็นคิดูลงมาอยู่กับบรรดาสัตว์ป่าในป่านอกเมืองอูรุก ซึ่งเอ็นคิดูได้ใช้พลังของตนปกป้องสัตว์เหล่านั้นจากสัตว์นักล่าและนายพราน
บรรดา นายพรานต่างไม่พอใจที่มีผู้มาขัดขวางการล่าสัตว์ ทว่าเมื่อพวกเขาได้พบกับเอ็นคิดูแล้ว ก็เกิดความพรั่นพรึงในตัวของมนุษย์ครึ่งกระทิงผู้นี้ พวกนายพรานจึงคิดหาวิธีจัดการกับเอ็นคิดู โดยพากันไปว่าจ้าง แซมฮัต ยอดหญิงนครโสเภณีประจำเทวาลัยแห่งอูรุก ให้ไปล่อลวงเอ็นคิดูออกมาจากป่าและทำให้พลังกับความป่าเถื่อนของมนุษย์ผู้นี้ลดน้อยลง
แซม ฮัตใช้มารยาหญิงยั่วยวนจนเอ็นคิดูหลงในบ่วงสวาทของเธอ ทั้งคู่อยู่ร่วมกันถึงเจ็ดราตรีและการที่เอ็นคิดูมาใช้ชีวิตอยู่กับนางได้ทำ ให้เหล่าสัตว์ป่าที่เคยแวดล้อมเขา พากันหนีหายไป อีกทั้งพลังของเอ็นคิดูเองก็ลดน้อยลงด้วย จากนั้นแซมฮัตก็ชักชวนเอ็นคิดูเข้าเมืองและนำเขาไปรู้จักการใช้ชีวิตแบบชาว เมืองจนในที่สุด เอ็นคิดูก็หมดสภาพความป่าเถื่อนและกลายเป็นชาวเมืองโดยสมบูรณ์
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
กิลกาเมช VS เอ็นคิดู
วัน หนึ่งขณะที่เอ็นคิดูกับแซมฮัตพำนักอยู่ด้วยกันกับเหล่าคนเลี้ยงแกะ พวกเขาก็ได้ข่าวว่า ราชากิลกาเมชกำลังจะเสด็จไปที่งานแต่งงาน งานหนึ่งเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการนอนกับเจ้าสาวในคืนแรก ซึ่งเมื่อเอ็นคิดูทราบเรื่องก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารีบตรงดิ่งไปที่งานและเข้าขัดขวางกิลกาเมชไม่ให้กระทำการอันน่าบัดสีนั้น
กษัตริย์ หนุ่มทรงกริ้วที่มีผู้มาขัดขวาง พระองค์จึงเข้าต่อสู้กับเอ็นคิดูอย่างดุเดือดจนบ้านเรือนรอบข้างพังพินาศ ทว่าหลังจากทั้งสองขับเคี่ยวกันเป็นเวลานานต่างก็ไม่มีใครปราบใครลงได้ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทำให้กิลกาเมชทรงประทับใจในพละกำลังของอีกฝ่าย พระองค์จึงได้ยุติการต่อสู้และขอให้เอ็นคิดูมาอยู่กับพระองค์ในฐานะพระสหาย
มิตรภาพทำให้กิลกาเมชเปลี่ยนไป กษัตริย์หนุ่มทรงเลิกพฤติกรรมร้ายกาจที่เคยทำจนหมดสิ้นและด้วยคำแนะนำของ เอ็นคิดู พระองค์ได้หันมาใส่พระทัยกับการดูแลบ้านเมือง จนนครอูรุกเจริญรุ่งเรืองและประชาชนต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในคุณงามความดี ของราชากิลกาเมช
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
นครอูรุก
ทว่าในขณะที่ประชาชนทั่วทั้งนครพากันมีความสุขภายใต้การปกครองของราชาหนุ่ม กิลกาเมชกลับเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่สงบสุขนี้ พระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาความตื่นเต้นในชีวิต จึงได้ตรัสชวนเอ็นคิดูเดินทางไปยังป่าซีดาร์แห่งทิศตะวันตกเพื่อเผชิญหน้า กับอสูรฮูวาวา
เมื่อได้ยินดังนั้น เอ็นคิดูก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของสหาย เขากล่าวเตือนกิลกาเมชว่า ”อสูรตนนี้สูงใหญ่เทียมฟ้า ลมหายใจของมันเป็นเปลวไฟที่นำมาซึ่งความตายอย่างน่าสยดสยอง อีกทั้งเทพเอนลิลยังประทานพละกำลังให้มันเพื่อเป็นผู้ปกป้องป่าซีดาร์แห่ง ทิศตะวันตก การเผชิญหน้ากับมันไม่ผิดอะไรกับการเดินเข้าหาความตาย”
“หาก ข้าชนะ ข้าจะได้รับเกียรติอย่างยิ่งใหญ่หรือหากข้าตายในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็ยังได้รับชื่อเสียงว่า เป็นผู้กล้าที่จะเผชิญหน้ากับจอมอสูรฮูวาวา ซึ่งนั่นคือการตายที่มีศักดิ์ศรี” กิลกาเมชตรัส ก่อนจะตำหนิ เอ็นคิดูว่า ไม่มีความกล้าหาญที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเมื่อถูกผู้เป็นสหายตำหนิดังนั้นแล้ว เอ็นคิดูจึงตัดสินใจที่จะร่วมเดินทางไปกับกิลกาเมชเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรฮู วาวา
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
อสูรฮูวาวา
ทั้ง สองออกเดินจากนครอูรุกโยปราศจากผู้ติดตามและหลังจากเดินทางเป็นเวลานับเดือน ก็มาถึงเขตป่าซีดาร์ยักษ์ของอสูรฮูวาวา หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันโค่นต้นซีดาร์ลงเพื่อท้าทายจอมอสูรให้ปรากฏตัว เมื่อฮูวาวารู้ว่ามีมนุษย์บุกเข้ามาโค้นต้นไม้ของมัน เจ้าอสูรก็ปรากฏกายขึ้นด้วยรูปร่างอันสูงใหญ่เทียมฟ้า เสียงคำรามของมันดังไปไกลทั่วผืนป่า ขณะที่ดวงตาแดงก่ำจ้องมองสองมนุษย์ผูอหังการ์
กิล กาเมชและเอ็นคิดูต่างรวมกำลังกันเข้าต่อสูกับฮูวาวาอย่างกล้าหาญ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรง จนในที่สุด กิลกาเมชก็สามารถสังหารฮูวาวาลงได้ ด้วยการทิ่มดาบลงบนเท้าอันมหึมาของจอมอสูรจนมันถึงกับทรุดลง จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบ่าและใช้ดาบตัดหัวของอสูรร้ายขาดกระเด็น ร่างมหึมาที่ไร้ศีรษะของฮูวาวาล้มครืนราวภูเขาถล่มทลาย
เมื่อ สังหารจอมอสูรลงได้แล้ว กิลกาเมชกับเอ็นคิดูก็ช่วยกันโค่นป่าซีดาร์จนราบเรียบ ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้ชื่อเสียงของทั้งคู่เลื่องลือระบือไกล จนแม้ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ก็ยังรับรู้
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
เทพีอิชตาร์
ในยามนั้น เทพีอิชตาร์ เทพี แห่งความงาม ความรัก สงคราม และตัณหา ทรงได้ยินเรื่องราวของกิลกาเมช พระนางจึงเสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรราชาหนุ่มและเมื่อได้เห็นแล้ว องค์เทพีก็บังเกิดความเสน่หาในตัวกิลกาเมช พระนางจึงมาปรากฏองค์ต่อหน้าเขาและขอให้เขาเสกสมรสกับพระนางโดยทรงยื่นข้อ เสนอว่าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาเป็นการตอบแทน ทว่ากิลกาเมชกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ทั้งยังตรัสกับเทพีด้วยว่า เขารู้ดีว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอดีตคู่รักของพระนาง ยามเมื่อพระนางสิ้นรักแล้ว และเขาไม่ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้น
เทพีทรงโกรธและอับอายที่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้า จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าเทพอนู พระบิดาของพระนางเพื่อขอให้ลงโทษมนุษย์โอหังผู้นี้ “กิลกาเมชทำให้ข้าได้รับความอับอายยิ่งนัก ขอพระบิดาได้โปรดส่งกระทิงสวรรค์ไปสังหารมันและทำลายนครของมันให้พินาศสิ้น ด้วยเถิด และหากพระบิดามิทรงยอมตามที่ลูกร้องขอ ลูกจะไปทลายประตูนรกเพื่อปลดปล่อยเหล่าผีร้ายให้ขึ้นมาย่ำยีมวลมนุษย์”
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
กิลกาเมชและนครอูรุก ต่อสู่กับ กระทิง
เมื่อทรงได้ฟังคำขอของพระธิดาแล้ว เทพอนูจึงส่งกระทิงสวรรค์ลงมาเพื่อสังหารกิลกาเมชและทำลายนครอูรุก โดยในทันทีที่กระทิงสวรรค์เหยียบลงบนแผ่นดินอูรุก เพียงครั้งแรกที่มันพ่นลมหายใจออกมา ก็เกิดแผ่นดินแยกและสูบเอาทหารของกิลกาเมชลงไปถึง 100 คน และเมื่อมันพ่นลมหายใจครั้งที่สองก็ทำให้ทหารถูกสูบลงไปอีก 500 คน และในการพ่นลมหายใจครั้งที่สาม เอ็นคิดูก็พลัดตกลงไปในรอยแยกของแผ่นดิน
ทว่า ชายหนุ่มสามารถปีนกลับขึ้นมาได้และพุ่งเข้าจับเขาของกระทิงสวรรค์เอาไว้ พร้อมกับร้องบอกให้กิลกาเมชใช้ดาบแทงเข้าไปยังจุดตายที่อยู่ระหว่างเขาและคอ ของมัน กษัตริย์หนุ่มใช้ดาบแทงเข้าไปตามที่สหายร้องบอกและกระทิงสวรรค์ก็สิ้นชีพลง ในทันที
ความอหังการ์ของสองสหาย ทำให้เหล่าเทพตัดสินใจให้บทเรียนที่สำคัญแก่กิลกาเมช
โดยบันดาลให้เอ็นคิดูล้มป่วยและเสียชีวิตลง
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
มหากาพย์กิลกาเมช
ความ ตายของสหายทำให้กิลกาเมชเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจมอยู่กับความทุกข์เป็นเวลานาน ทั้งยังเกิดความหวาดหวั่นสิ่งหนึ่งขึ้นภายในใจ นั่นคือ ความหวาดหวั่นว่า วันหนึ่ง พระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงเช่นเดียวกับสหาย
ใน ที่สุด กิลกาเมชจึงตัดสินพระทัยหาวิธีที่จะทำให้พระองค์ไม่ต้องตาย โดยออกเดินทางไปยังต้นน้ำแห่งแม่น้ำทั้งมวลของโลก เพื่อค้นหา อุชนาปิชติม มนุษย์ผู้รอดตายจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ
กิล กาเมชออกเดินทางเพียงลำพังและเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกประหลาดมากมาย เช่น มนุษย์แมงป่องยักษ์ที่น่ากลัวสองตนที่ทำหน้าที่เฝ้าหนทางสู่โลกใต้พิภพ มนุษย์แมงป่องทั้งสองรู้ว่า กิลกาเมชมีสายเลือดของเทพเจ้าอยู่ในตัวโดยกล่าวว่า “ท่านมีความเป็นเทพอยู่สองในสามส่วน มีความเป็นมนุษย์อยู่หนึ่งในสามส่วน” และเมื่อพวกมนุษย์แมงป่องรู้ถึงความตั้งใจของกิลกาเมช พวกนั้นก็เอ่ยเตือนเขาถึงอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เขาเดินทางต่อไป
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
กิลกาเมช เดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล
หลัง เดินทางผ่านดินแดนแห่งความมืดแล้ว กิลกาเมชก็มาถึงหุบเขาแห่งแสงสว่างและสวนพฤกษาแห่งอัญมณีซึ่งต้นไม้ทุกต้นมี ผลเป็นอัญมณีเลอค่า จากนั้นกิลกาเมชก็ไปถึงยังฝั่งทะเลแห่งมรณะและเมื่อข้ามพ้นทะเลแห่งนั้น เขาก็ได้พบกับอุชนาปิชติม
ซึ่งอุชนาปิชติมบอกกับกิลกาเมชว่า “ความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะเหล่าเทพเจ้ามีประสงค์ให้ชีวิตมนุษย์เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” แต่ กิลกาเมชก็ยังคงดึงดันที่จะเป็นอมตะ อุชาปิชติมจึงเล่าถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและกล่าวถึงการที่เทพเจ้าสั่งให้ตน ต่อเรือช่วยสิ่งมีชีวิตบนโลกให้รอดตาย จากนั้นจึงได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
กิลกาเมชดำน้ำลงไปต้นมหาสมุทร
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด อุชนาปิชติมก็ทนการอ้อนวอนของกิลกาเมชไม่ไหว เขาจึงบอกให้กิลกาเมชดำน้ำลงไปต้นมหาสมุทร ณ จุดสิ้นสุดของโลก เพื่อนำเอาต้นไม้แห่งการกลับคืนสู่ความหนุ่มสาวขึ้นมา กิลกาเมชทำได้สำเร็จและดีใจมาก
เขา ตั้งใจจะนำต้นไม้นี้กลับไปทดลองกับคนชราที่เมืองอูรุก ทว่าระหว่างเดินทางกลับ งูตัวหนึ่งได้มาขโมยต้นไม้ต้นนั้นไป ทำให้เหล่างูทั้งหลายสามารถลอกคราบเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ อีกครั้ง
มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก
งูตัวหนึ่งได้มาขโมยต้นไม้ต้นนั้นไป
แม้ กิลกาเมชจะผิดหวังกับความพยายามที่สุดท้ายก็สูญเปล่าของตน แต่ในที่สุด เขาก็ได้เข้าใจถึงสัจจะธรรมของชีวิตและยอมรับชะตากรรมของชีวิตโดยไม่คิด ดิ้นรนเป็นอมตะอีกต่อไป จากนั้นกิลกาเมชก็สั่งให้ขุนนางจารึกเรื่องราวการเดินทางของพระองค์ไว้ที่ ฐานของประตูเมืองและกลายเป็นตำนานที่เล่าขานมานานนับพันปี กล่าวขานสืบมาและเป็นอมตะในความทรงจำของคนรุ่นต่อมา สืบมาจนกระทั่งถึงวันนี้
ขอบคุณข้อมูล wikipedia, komkid, earthunseen.blogspot, myfirstbrain
เรียบเรียงโดย teen.mthai.com

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อาหารที่ยี่งกินยี่งหิว รุ้แล้วเลื่ยงเลย



อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว รู้แล้วเลี่ยงเลย




          เปิด 11 อาหารที่กินเข้าไปแล้วทำให้คุณยังรู้สึกหิวอยู่ เรามาดูกันเถอะว่าอาหารชนิดไหนควรเลี่ยงถ้าไม่อยากจะอ้วนเพราะกินไม่หยุด

          คุณเคยรู้สึกหิวทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินอะไรเข้าไปหรือเปล่า ? เรื่องเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของอาหารที่กินเข้าไปเพียงอย่างเดียวนะ แต่เป็นเพราะอาหารที่กินเข้าไปด้วยล่ะ อาหารบางชนิดแทนที่จะไปช่วยทำให้รู้สึกอิ่มแต่กลับไปกระตุ้นให้รู้สึกหิวมาก ขึ้นกว่าเดิม เหมือนอาหาร 11 ชนิดต่อไปนี้ที่เว็บไซต์ health.com ได้บอกเล่ากันเอาไว้ ลองไปดูกันดีกว่าว่าเพราะอะไรทำไม่อาหารเหล่านี้ถึงกินแล้วยิ่งทำให้รู้สึกหิวยิ่งกว่าเดิม

 ขนมปังเนื้อสีขาว

          ขนมปังเนื้อสีขาวนั้นมาจากแป้งสาลีสีขาวซึ่งแปรรูปมาจากข้าวสาลี ที่ถูกสีจนจมูกข้าวซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์หลุดไป จึงทำให้ในแป้งสาลีนั้นแทบจะไม่มีกากใยอาหารมีแต่แป้งและน้ำตาล ซึ่งจะเมื่อเรากินเข้าไปแล้วก็จะทำให้ขัดขวางระดับของอินซูลิน โดยการศึกษาในสเปนล่าสุดกับคนจำนวน 9,000 คน พบว่าคนที่กินขนมปังเนื้อสีขาวเป็นประจำมีถึง 40% ที่แนวโน้มจะมีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนภายในห้าปีเมื่อเทียบกับคนที่กิน น้อยกว่า

อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว รู้แล้วเลี่ยงเลย



น้ำผัก หรือ น้ำผลไม้

          แม้ว่าน้ำผักและผลไม้จะมีประโยชน์แต่ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะในน้ำผักและผลไม้เหล่านั้นอุดมไปด้วยน้ำตาลจากผลไม้ แถมยังไม่มีกากใยอะไรเลย ทำให้เมื่อกินเข้าไปแล้วนอกจากจะไม่อยู่ท้องแล้วยังช่วยทำให้หิวมากขึ้นกว่า เดิมเพราะน้ำตาลที่อยู่ในน้ำผลไม้จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและต่ำลงอย่าง รวดเร็ว ดังนั้นถ้าหากอยากดื่มน้ำผักหรือผลไม้ล่ะก็ ควรเปลี่ยนจากการคั้นน้ำดื่มมาปั่นแทน เพราะนอกจากจะได้ดื่มน้ำผลไม้แล้วก็ยังได้กากใยจากผักผลไม้ทำให้อยู่ท้องอีก ด้วยล่ะ

ฟาสต์ฟู้ด

          ฟาสต์ฟู้ดแม้จะเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต แต่ก็ไม่มีไฟเบอร์ที่ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง แถมยังมีสารอาหารต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายต้องทำงานอย่างหนัก อย่างเช่น ไขมันทรานส์ซึ่งอาจทำให้ลำไส้อย่างหนัก และอาจทำใหความสามารถในการปผลิตสารโดปามีนและเซโรโทนินในสมองลดลง

         และ ในขณะเดียวกันระบบทางเดินอาหารยังดูดซับน้ำตาลฟรุกโตสที่พบได้ในขนมปัง เครื่องปรุงและของหวานได้เร็วขึ้น ทำให้เกิดการแปรปรวนของระดับอินซูลิน ส่วนเกลือที่อยู่ในอาหารฟาสต์ฟู้ดจะไปกระตุ้นการคายน้ำของร่างกายและทำให้ เกิดความกระหาย ซึ่งทั้งหมดนี้ล่ะที่จะทำให้คุณรู้สึกหิวเร็วขึ้นหลังจากกินอาหารฟาสต์ฟู้ด เข้าไปไม่นาน


อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว รู้แล้วเลี่ยงเลย

ขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็ม

           ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอดกรอบ หรือเพรทเซล ขนมเหล่านี้จะถูกย่อยได้เร็วกว่าคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ระดับอินซูลิ​นแปรปรวนขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เมื่อเรากินขนมที่มีรสเค็มเข้าไปแล้ว สมองจะทำการสั่งงานให้เกิดความอยากอาหารที่มีรสชาติหวานทันทีเมื่อเรากินขนม ที่มีรสชาติเค็มเสร็จ ทำให้เรารู้สึกอยากกินของหวานอีก และถึงแม้ว่าจะกินอาหารที่มีรสชาติหวานตามเข้าไปก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ก็ยังจะรู้สึกหิวอีก เพราะอาหารที่มีรสชาติหวานก็จะทำให้เกิดความรู้สึกหิวขึ้นได้อีกเช่นกัน


เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

           นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงแล้ว ยังทำให้คุณหิวมากขึ้นด้วย จากการวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และพิษสุราเรื้อรังพบ ว่า การดื่มเพียงสามแก้วก็จะสามารถทำให้เลปติน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ขจัดความหิวและทำให้คุณรู้สึกอิ่ม ถูกทำลายลงไปถึง 30%

          นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังขจัดคาร์โบไฮเดรตที่สะสมในร่างกายหรือที่ เรียกว่าไกลโคเจน ซึ่งทำให้เรารู้สึกอยากที่จะกินคาร์โบไฮเดรตเพื่อนำไปทดแทนในส่วนที่หายไป แพทย์หญิง Sue Decotiis อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนัก บอกว่า ถ้าเกิดคุณเกิดอยากกินขนมที่มีรสชาติเค็มล่ะก็ นั่นแปลว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะขาดน้ำและเกลือแร่

อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว รู้แล้วเลี่ยงเลย


เส้นพาสต้าสีขาว

           เช่นเดียวกับขนมปังที่มีเนื้อสีขาว เส้นพาสต้าสีขาวก็สามารถทำให้หิวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกัน และยิ่งคุณกินมันเข้าไปเยอะ ก็จะยิ่งทำให้ตับอ่อนของคุณทำงานอย่างหนักและผลิตอินซูลินออกมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณต่ำลงและเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึก หิวอีกด้วย

อาหารที่มีโมโนโซเดียมกลูตาเมต

           โมโนโซเดียมกลูตาเมต หรือที่รู้จักกันในชื่อสามัญว่าผงชูรส มีการศึกษาวิจัยของสเปนซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Obesity พบว่าผู้ที่กินอาหารที่มีผงชูรสในปริมาณมากติดต่อกันสามครั้งมีแนวโน้มที่จะ มีน้ำหนักเกินมากกว่าคนที่กินน้อยกว่า เพราะผงชูรสนั้นจะไปทำลายการทำงานเลปตินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ขจัดความหิวและ สร้างความรู้สึกอิ่ม ให้อ่อนประสิทธิภาพลงจนไม่สามารถทำลายผลกระทบจากผงชูรสที่มีต่อสมองส่วนหน้า ที่เรียกว่าไฮโปทาลามัสได้ และจะทำให้เรารู้สึกหิวบ่อยขึ้นนั่นเอง


อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว รู้แล้วเลี่ยงเลย

ซูชิ

           แม้ว่าซูชิจะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่การกินซูชินั้นจะทำให้หิวเร็วขึ้น เพราะในซูชิมีข้าวเสียเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ต่างอะไรจากการกินขนมปังเนื้อสีขาว อย่างการทานแคลิฟอร์เนียโรลนั้นเทียบเท่ากับการกินขนมปังเนื้อขาวสามแผ่น ซึ่งถ้าหากคุณไม่กินอะไรลงไปอีกเลย ซูชิเหล่านี้ก็จะถูกย่อยไปอย่างรวดเร็วเพราะซูชินั้นเป็นอาหารที่ไม่มีกากใย


สารให้ความหวานแทนน้ำตาล

           คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพื่อหวังจะลดความ อ้วน ซึ่งสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่าง ซูคราโลว แอสพาแทม หรือขัณฑกรนั้นแม้ว่าจะเป็นสารให้ความหวานที่ช่วยลดการกินหวานได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหิวน้อยลง แถมยังทำให้เรากินเยอะขึ้นอีกด้วย เพราะสารเหล่านี้จะไปกระตุ้นเซลล์สมองให้รู้สึกเหมือนกำลังกินน้ำตาลอยู่ ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เกิดความแปรปรวนในระดับอินซูลินเช่นเดียวกับการบริโภค น้ำตาล และทำให้คุณหิวง่ายเหมือนเดิมค่ะ

ซีเรียล

           ถึงแม้ว่าซีเรียลจะเป็นมื้อเช้าที่ง่าย แต่ซีเรียลส่วนใหญ่นั้นทำมาจากแป้งสาลีสีขาวแล้วน้ำตาล การกินซีเรียลเหล่านี้ในมื้อ เช้าจะทำให้ระดับอินซูลินแปรปรวน

           โดยแพทย์หญิง Decotiis ได้กล่าวว่า การกินคาร์โบไฮเดรตจำนวนมากในตอนเช้าซึ่งเป็นช่วงที่ระดับคอร์ติซอลอยู่ใน ระดับสูงที่สุดจะทำให้ระบบการเผาผลาญมีปัญหา เพราะในช่วงกลางคืนและช่วงเช้านั้นร่างกายจะผลิตสารคอร์ติซอลในระดับสูง ซึ่งเมื่อมีระดับคอร์ติซอลในร่างกายสูงจะทำให้ระบบการเผาผลาญน้ำตาลนั้นมี ประสิทธิภาพน้อยลง และจะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนล้าและเกิดความหิว

           แต่หากคุณต้องการจะกินซีเรียลเป็นอาหารเช้าล่ะก็ ควรเลือกซีเรียลที่ทำมาจากธัญพืชที่มีไฟเบอร์อย่างน้อย 5 กรัม และมีน้ำตาลน้อยกว่า 5 กรัม ต่อหนึ่งที่

อาหารที่ยิ่งกินยิ่งหิว รู้แล้วเลี่ยงเลย

พิซซ่า

           แม้ว่าพิซซ่าจะมีขนาดใหญ่แต่ไหน แต่ก็อย่าลืมว่าแป้งพิซซ่านั้นทำมาจากแป้งสาลี น้ำมัน ชีส และสารกันบูดซึ่งจะลดระดับน้ำตาลในเลือดและความสามารถในการผลิตฮอร์โมนควบ คุมความอิ่มแถมยังทำให้หิวเร็วขึ้นอีกด้วย

          ถ้าคุณอยากจะกินพิซซ่าล่ะก็ ลองทำพิซซ่าทานเองที่บ้านสิ เพียงทำพิซซ่าจากแป้งที่มาจากธัญพืช โรยหน้าด้วยเนื้อสัตว์ไขมันน้อย ใส่ผักเยอะ ๆ และชีสอีกนิดหน่อย คุณก็จะได้โปรตีนและไฟเบอร์ในปริมาณที่เหมาะสมกว่าพิซซ่าที่ไปกินตามร้านและ จะทำให้อยู่ท้อง ไม่หิวเร็วอีกด้วยล่ะ

            เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากจะอ้วนล่ะก็ ต้องลดการกินอาหารเหล่านี้แทนอาหารมื้อหลักเลยนะ หันไปกินอาหารที่ดีและสามารถช่วยทำให้อิ่มอยู่ท้องกันดีกว่า เพื่อจะได้มีสุขภาพและรูปร่างที่ดีนะคะ